ฉันไป..ด้วยเหตุผลบางประการ และกลับมาพร้อมประสบการณ์ครูอาสาบนดอย : )

กระทู้นี้อาจจะยาว แค่อยากแบ่งปันประสบการณ์ที่เชื่อว่าหลายคนอยากไปแต่ยังไม่มีโอกาสได้ไป

Edit 12/07/2558
เรื่องราวภาคต่อ เดือนที่สอง ที่มีโอกาสได้กลับไป อยู่อีกกระทู้นะคะ
"ฉัน(จะพยายาม)กลับไป..ด้วยเหตุผลบางประการ คือคิดถึงประสบการณ์ครูอาสาบนดอย : )"
--------------------------------------------------------------------------------
“บนโลกใบนี้ยังมีเรื่องราวที่รอให้เราค้นหาและเรียนรู้อีกตั้งมากมาย ขึ้นอยู่กับเราเองว่าจะย่ำอยู่กับที่เดิมๆ
หรือจะก้าวออกไปเผชิญกับสิ่งใหม่ๆ ฝันได้คิดได้ แต่ไม่ลงมือทำ นั่นก็เท่ากับไม่มีความสำเร็จใดๆเกิดขึ้นในชีวิตเลย...
คนเรามีเวลาเท่าๆกันคือ 24 ชม. ใน 1 วัน อย่ารอให้มีเวลาว่างหรือรอให้มีเงินมากๆ แล้วถึงตามหาสิ่งที่ฝัน
เพราะถ้าเรารอถึงวันนั้น ฝันไม่อาจเป็นจริงได้ ...ทำเถอะค่ะ เพื่อความสุขเพื่อความฝันของเราเอง....
จาก facebook fanpage “ชีวิตบนดอย”
--------------------------------------------------------------------------------
เชื่อว่าทุกคนต่างมีปัญหา มีความกังวลใจเป็นของตัวเอง
สำหรับเราแล้วคิดว่าสิ่งที่ต้องการที่สุดตอนนั้นคือ ไปไหนก็ได้ที่ไม่มีสิ่งเดิมๆ

(1) จุดเริ่มต้น ..
อยากจะใช้เวลาระหว่างรอบางอย่างให้คุ้ม อยากพักผ่อนจากความเหน็ดเหนื่อยที่ผ่านมา พอมีเวลาเลยเปรยๆกับครอบครัว
ว่า “ไปเป็นครูบนดอยสักพักได้ไหม” ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกว่าจะไปที่ไหนเมื่อไหร่ หลังจากนั้นกูเกิ้ลเจอเพจนึงรับสมัคร
พอดีเลยสมัครไปโดยที่ยังไม่บอกใคร ถ้าได้ไปชัวร์ๆค่อยบอกข่าวแต่มีถามเพื่อนๆนิดหน่อย ซึ่งได้คำตอบสวยๆ
สนับสนุนให้ไปอีก ;)


(2) เตรียมตัวเดินทาง
พอรู้วันเวลาที่ต้องเดินทางจากพี่ที่ประสานงานก็รู้สึกว่าตัวเองวุ่นวายๆ (โชคดีที่ได้อยู่ยินดีกับเพื่อนๆพี่ๆ ในวันซ้อมย่อย)
คร่าวๆ คือต้องไปเจอกันที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ พี่เค้าก็แนะนำวิธีเดินทางมาให้ แต่เพราะไปคนเดียวและไม่อยากเพลีย
จากการเดินทางก่อนขึ้นดอยซึ่งไม่รู้จะเป็นยังไง เลยนั่งเครื่องไปลงเชียงใหม่พักกับเพื่อนคืนนึงแล้วค่อยนั่งรถตู้ไปอมก๋อย
(มีวันละ 3 คัน ออกตอนตีห้า ถ้าใครจะไปแนะนำให้โทรไปจองก่อนนะคะ คิวรถอยู่แถวๆประตูหายยา)
เป็นที่รู้กันว่าแถวหลังสุดเป็นทำเลที่นั่งสบายน้อยสุด ซึ่งเราได้นั่งตรงนั้นแต่หลับตลอดทาง ไม่ได้รับรู้ว่าเส้นทางเป็นยังไง

(3) สิ่งที่รู้ก่อนเดินทาง
“..ต้องเป็นคนที่ กินง่าย อยู่ง่าย สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวัน ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์
ไม่มีไฟฟ้าสายส่ง มีโซล่าร์เซลล์ ใช้น้ำประปาภูเขา ในแต่ละวันที่อยู่บนดอย อาจจะได้เจอแต่ชาวบ้านและเด็กๆชาวไทยภูเขา
เผ่ากะเหรี่ยง ปกาเกอะญอ ซึ่งบางคนฟังหรือพูดภาษาไทยไม่ได้”
ในเพจโพสไว้แบบนี้ ไม่น่ายากเท่าไหร่ใช่ไหมคะ แต่ถ้าเทียบกับชีวิตประจำวันของเราแอบกังวลเล็กๆ เราเป็นคนต่างจังหวัด
(แต่ก็อยู่ในเมือง) มาเรียนที่มหาวิทยาลัยใจกลางอโศก เป็นที่รู้กันนะคะว่าการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯชีวิตดีๆ ที่ลงตัวเป็นยังไง
ภาพแรกของหมู่บ้านที่เห็นจากเพจค่ะ พอไปถึงก็เป็นแบบนี้จริงๆ

.. ก่อนขึ้นไปเลยอัพเดตสเตตัสแจ้งข่าวไว้ในเฟสบุ๊คสักหน่อย

(4) เพื่อนร่วมทาง
ตลอด 2 สัปดาห์นี้อยู่กันแปดคน ผู้ชายห้า ผู้หญิงสาม ประกอบด้วย ครูประจำ ศศช.บ้านห้วยบง รุ่นน้องคนสนิทของครู
พี่ที่ประสานงาน และอีกห้าคนที่ต่างคนต่างมาเพื่อจุดหมายเดียวกัน ทั้งหมดนี้ต่างวัยต่างที่มาแต่ไม่ใช่ปัญหาอะไร
ที่สำคัญคือนอกจากคนเหล่านี้แล้วก็แทบไม่มีใครที่จะพูดภาษาไทยกับเราแล้วค่ะ อีกอย่างที่ไปได้ไม่กี่คนเพราะมีข้อจำกัด
หลายๆอย่าง ทั้งสถานที่ การเดินทาง ฯ และที่สำคัญคือน้ำ

(5) ขึ้นดอยกัน
จุดหมายของเราคือ ศูนย์การศึกษาชุมชนชาวไทยภูเขา "แม่ฟ้าหลวง" บ้านห้วยบง ต.นาเกียน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่
ระยะทางห่างจากตัวอำเภออมก๋อยประมาณ 70 กม. ใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง พิมพ์ไม่ผิดหรอกค่ะ สามชั่วโมงจริงๆ
อันนี้คือกรณีที่ฝนไม่ตกและขับโดยคนชำนาญเส้นทาง ซึ่งพวกเราอาศัยไปกับรถขนอาหารที่จะขึ้นไปส่งของที่ ศศช. ทุกเดือน
(เพราะการไปครั้งนี้ไม่มีเงินสนับสนุนจากที่ไหนและไม่ได้รับค่าตอบแทนอะไร) กลับมาเรื่องเส้นทาง
ลองนึกภาพถนนกว้างแค่รถวิ่งได้ ถ้ามีรถสวนมาต้องถอยกันไกลทีเดียว เป็นดินแดงๆ โดนน้ำเซาะเป็นร่องลึก ชันมาก
โค้งหักศอก เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง ข้างทางมีแต่ต้นไม้ อยู่ในรถเหมือนถูกใส่ไว้ในกล่องแล้วเขย่าแรงๆ ถ้าอยู่ท้ายกระบะคงตัวลอย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

รถที่พาขึ้นไปค่ะ ขับโดยทุกัง มือหนึ่งของที่นั่น ใจหายใจคว่ำตลอดทาง ฮ่าๆๆ

(6) Hello.. my new world !
ถึงหมู่บ้านห้วยบง รถขนของบีบแตรก็มีเด็กๆ มีชาวบ้านยิ้มให้ แล้วก็วิ่งตามรถมาที่ ศศช. ซึ่งต่อไปขอเรียกว่าโรงเรียนนะคะ
พอถึงโรงเรียนเด็กๆปีนขึ้นรถ ต่อแถวช่วยกันขนข้าวของเข้าห้องเก็บของ บางคนตัวเล็กกว่าเรามากแต่ถือของหนักๆไหว


วันนี้ครูยังไม่ได้ขึ้นมาแต่จะขี่มอเตอร์ไซค์ตามขึ้นมาวันต่อไป แต่เด็กๆก็มาที่โรงเรียนกันตอนเย็น พอถามว่ามาทำอะไร
เด็กตอบว่า “มากวาดโรงเรียนครับ” เรานี่อึ้งไปนิดนึง


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ปกติแล้วครูที่ประจำ ศศช. แต่ละหมู่บ้านจะมีไม่เกิน 2 คน ซึ่งที่นี่ตอนเราไปมีคนเดียวค่ะ ครูจะขึ้นมาประมาณ 2-3 สัปดาห์
แล้วลงไปพัก การเรียนการสอนวันเสาร์ครึ่งวันและวันอาทิตย์หยุดเรียน แต่เด็กๆก็มาเล่นที่โรงเรียนกัน


(7) กิจกรรมการเรียนการสอน
ที่นี่แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ อนุบาล ป.1 ป.2 แล้วก็ ป.3 จัดตามความสามารถของแต่ละคน ทำให้แต่ละชั้นมีหลายอายุ
เพิ่งจะมีนักเรียนได้วุฒิ ป.6 ไปรุ่นแรกตอนครูคนปัจจุบันมาอยู่ที่นี่ และมันมีอยู่จริงค่ะ ห้องเรียนที่อยู่ในพื้นที่อาคารเดียวกัน
มีแค่กระดานกั้น และสำหรับ ป.1 กับ ป.3 ไม่มีอะไรคั่นเลย เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงตอนเป็นนักเรียน นึกถึงนักเรียนที่เคยสอน
อยากให้เห็นว่ามีคนอีกมากมายที่ไม่มีโอกาสได้รับอย่างที่พวกเขาได้


วิชาที่เด็กเรียนหลักๆ จากที่เปิดสมุดดูจะเป็นวิชาภาษาไทยกับคณิตศาสตร์ แต่สำหรับพวกเราที่ไปเป็นครูอาสา
สามารถสอนอะไรก็ได้แล้วแต่ถนัดหรืออยากจะสอน สลับชั้นวนกันไป เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ที่สังเกตเด็กไม่ถึงกับที่จะเรียกว่าสมาธิสั้นแค่ทำให้สนใจเป็นเวลานานๆได้ยาก บางคนเข้าใจได้ช้า อาจจะเพราะภาษาที่ใช้
เพราะในหมู่บ้านไม่ได้ใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร เวลาพูดอะไรเด็กโตจะเป็นคนแปลให้เด็กเล็กๆอีกทีว่าครูบอกอะไร
ช่วงเช้าจะสอนเนื้อหาในห้องเรียน สังเกตว่าเด็กชอบเรียนภาษาอังกฤษ เข้าทางครูอาสารอบนี้ที่มีคนถนัดภาษาไปหลายคน
ส่วนเราพยายามสอนวิทยาศาสตร์แบบง่ายๆ และน่าจะนำไปใช้ได้ มีครั้งนึงสอนเรื่องโรคต่างๆ ที่อาจจะเกิดข้างบนได้
เด็กแทบไม่รู้จัก แต่คนที่นี่แข็งแรงและอดทนมากค่ะ เพราะทุกอย่างทำให้เป็นแบบนั้น ต่างจากคนเมือง


ช่วงบ่ายจะสอนเนื้อหาเบาๆ ไม่ก็เล่นเกม ทำกิจกรรมด้วยกัน แต่ที่พิเศษสุดที่เห็นคือพาอนุบาลไปอาบน้ำ
มีวันนึงตามไปช่วย เด็กๆจะถอดเสื้อผ้าวางไว้ ต่อแถวไปยืนใต้ก๊อกน้ำให้เปียก แล้วครูจะใส่แชมพูให้ที่หัว
จากนั้นไปถูสบู่โดยมีครูอาสาอีกคนช่วยขัด ขัดที่ว่าคือใช้แปรงซักผ้าขัดเท้ากันเลยทีเดียว พอลองขัดตัวเองดูแทบจะถลอก
แต่เด็กยืนนิ่ง ส่วนเราช่วยเช็ดผมกับเช็ดตัว ก่อนจะปล่อยให้ไปใส่เสื้อผ้า ครูบอกว่าบางบ้านไม่ค่อยได้ดูแลเรื่องพวกนี้หรอก

เวลาว่างเราชอบตัดเล็บให้เด็กๆค่ะ ที่จริงเด็กผิวดีนะคะแต่ไม่ค่อยได้ทำความสะอาดจนสะสมติดแน่น

อะไรที่ไม่เคยทำก็ได้ทำข้างบนนี่แหละค่ะ

อนุบาลที่นี่นอนกลางวันกันแบบนี้นะคะ ไม่มีฟูก ไม่มีผ้า ไม่มีหมอน ไม่มีพัดลมมีแต่ลมธรรมชาติที่พัดมาพร้อมฝุ่น


ส่วนพักกลางวันช่วงแรกๆที่ขึ้นไปจะทำอาหารให้เด็ก เพราะจะมีพวกของสด ผัก เนื้อสัตว์ ที่ใส่ถังแช่กับน้ำแข็งขึ้นไป
โดยเด็กจะมีกล่องพลาสติกมาใส่แล้วปล่อยกลับไปกินที่บ้าน ค่อยกลับมาเรียนอีกทีช่วงบ่าย แต่ถ้าไม่มีน้ำจะแจก
ให้กลับไปทำกินเองที่บ้าน ของที่แจ

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่