เรื่องราวสมัยเด็ก ๆ ของดิฉันค่ะ

ตั้งแต่ดิฉันจำความตอนที่ดิฉันอายุ5-6ขวบนี่แหละค่ะ
ตอนนั้นที่ดิฉันอายุได้5-6ขวบนี่ค่ะ   ฉันคิดว่าเรื่องตอนตัวเองเป็นทารกเป็นแค่ความฝันค่ะ   ดิฉันเพิ่งจะลืมตาตื่นขึ้นมาเอง
ตอนนั้นดิฉันคิดแบบนั้น   แต่พอ ๆ นานเข้าดิฉันถึงได้รู้ตัวว่ามันไม่ใช่ความฝัน   แต่คือความจริงที่เราเติบโตชึ้นมาน่ะเอง
ที่บ้านตอนนั้นมีทีวีเครื่องนึงถึงจะเป็นจอเล็กภาพขาว,ดำก็ตาม
มีอยู่วันหนึ่งที่ทีวีลงภาพโฆษณาประกาศรับสมัครสาวๆอายุ15-26ปีเข้าประกวดมิสยูนิเวิรด์ขึ้นมา
ครั้งแรกที่ดิฉันเห็นรายการนั้น   ดิฉันรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการประกวดนั่นมาก
จึงเกิดมีความฝันและความเพ้อฝันนั้นขึ้นมาว่าโตขึ้นดิฉันจะประกวดมิสยูนิเวิรด์นั้น
ซึ่งเด็กกับความฝันหรือความเพ้อฝันเป็นเรื่องปกติของเด็ก   แต่มีบางคนที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้
นั่นก็คือแม่ของดิฉัน   แม่ของดิฉันพยายามพูดให้ดิฉันเลิกความคิด   ความพยายามที่จะทำให้ความฝันเป็นจริง
โดยไม่รอเวลาดูตอนที่ฉันโตก่อน   ไม่ว่าดิฉันจะเพ้อฝัน   หรือฝันอะไรก็ตามแม่ของดิฉันก็พยายามพูดให้ดิฉันล้มเลิกความฝันให้ได้
แม้จะต้องพูดจา-ดันดูถูกลูกตัวเองก็ตามแม่ก็ทำได้
ตอนนั้นดิฉันยังแข็งแรง  พัฒนาการทางสมองของดิฉันมันยังไม่แสดงออกมาว่าดิฉันมีพัฒนาการทางสมองผิดปกติ
จนกระทั่งเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่1-ประถมศึกษาปีที่6   ดิฉัก็ปกติดีทุกอย่าง
ดิฉันจำไม่ได้ว่าพัฒนาการทางสมองของดิฉันมันปรากฎขึ้นมาตอนไหน
หลังจากดิฉันจบป.6   พ่อกับแม่อยากให้เข้าเรียนโรงเรียนดี ๆ  จึงพาดิฉันไปสมัครแล้วจับฉลากว่าได้เข้าโรงเรียนนี้รึเปล่า
แต่ดิฉันจับฉลากไม่ได้   แต่จะเข้าให้ได้ต้องใช้เงินจำนวนมากเข้า
ระหว่างที่รอพ่อแม่และญาติที่เป็นครูนั่นคุยกันเรื่อการที่ให้ดิฉันเข้าเรียนที่นั่น
ดิฉันได้เรียนโรงเรียนใกล้บ้านนี่เอง   พอได้เรียนไปถึงเกือบครึ่งเทอมดิฉันได้ย้ายกลับมาที่โรงเรียนที่พ่อแม่และตัวดิฉันอยากเรียน
เพราะดิฉันคิดว่ามันสนุกและที่สำคัญมันอยู่ในเมือง
แต่ดิฉันคิดผิดมันไม่ได้สนุกเลยสักนิด
ตอนเช้า   เข้าโรงเรียนมานักเรียนจะต้องถือกระเป๋าข้างเดียว   ไม่ว่าจะหลายใบแค่ไหนก็ต้องถือข้างเดียวเท่านั้น
พอเข้าโรงเรียนมาจะมีคุณครูยืนรออยู่   นักเรียนเดินเข้ามาต้องทำความเคารพคุณครูก่อน
ทำความเคารพคุณครูของร.ร.นี้
1.วางกระเป๋าไว้กับพื้น
2.ทำความเคารพคุณครูด้วยการไหว้
หลังจากทำความเคารพคุณครูแล้วก็เก็บกระเป๋าขึ้นมาและไปได้
แล้วทุกคนลองคิดว่าถ้าหากมีคนที่เค้าถือของหลายอย่าง ๆ มา  แต่ต้องวางมันไว้กับพื้นแล้วมาทำความเคารพคุณครู
เค้าจะลำบากขนาดไหน   แม้แต่กระทั่งคนมาสาย   จะมีเวลามาวางกระเป๋าหรือของเพื่อมาทำความเคารพคุณครู
ร.ร.นี้พอเวลา08.00น.   นักเรียนทุกคนเข้าแถวเตรียมเคารพธงชาติ   เค้าก็จะปิดปะตูทันทีทุกด้าน
เพื่อไม่ให้นักเรียนแอบเข้ามาได้โดยเฉพาะนักเรียนที่มาสาย
คำขวัญของโรงเรียนนี้ที่ดิฉันได้ยินตอนเข้ามาเรียนครั้งแรก   ดิฉันตกใจมาก   แต่ดิฉันยังไม่ได้คิดอะไร
คำขวัญของโรงเรียนนี้คือ
เรียนดี   กีฬาเด่นทุกอย่างต้องดีต้องเด่นไปหมด
ครั้งแรกที่เข้าเรียนเหนื่อยมาก ๆ เลย   ต้องแบกกระเป๋าเดินเรียนทั้งวัน   เรื่องเรียนไม่เท่าไรหรอกถึงจะจดไม่ทันแต่ก็ยังมีเพื่อนช่วยอยู่
ช่วงพักเที่ยง
แทนที่เราจะได้พักสมองได้พุดคุยกับเพื่อนๆสักหน่อย
เวลากินข้าวก็น้อยนิดแทบไม่มีเวลาคุยกันเลย
แถมยังเปิดสารคดีให้ฟังอีกต่างหาก
เวลามีคาบอิสระบังคับให้เข้าห้องสมุด   ให้อาจารย์ห้องสมุดเป็นคนเซ็นในคาบอิสระทุกครั้ง
จดไม่ทันแล้วดิฉันจะมีเวลาไหนไปขอยืมเพื่อนจดล่ะค่ะ
พอเรียนไปนาน ๆ จนกระทั่งเราเกิดปวดแขนขึ้นมา
เราจึงบอกพ่อแม่ว่าเราปวดแขนจังเลย
พ่อแม่จึงให้เราหยุดโรงเรียนพาเราไปหาหมอ
หมอตรวจเสร็จแล้ว   หมอก็บอกว่าเป็นเส้นเอ็นอักเสบให้ยามากินค่ะ
ตอนอยู่ม.1ดิฉันได้เกรดดีค่ะ   ถึงจะมีวิชาที่ตกบ้างเพราะไม่ถนัดและไม่ชอบวิชานั่น
แต่มีวิชาหนึ่งที่ดิฉันได้เกรด4ค่ะ   จึงได้รับของขวัญจากคุณแม่ค่ะ   เป็นกล่องดนตรีที่ใส่เครื่องประดับได้ค่ะ
พอดิฉันอยู่ที่โรงเรียนนาน ๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับโรงเรียนนี่
จนเครียดขึ้นมา   เผลอเรอลืมกระเป๋าสำรองที่ซื้อมาใหม่ไว้   พอได้สติกลับมาหาปรากฎว่ามันหายไปแล้ว
ที่นี่ความเครียดมันก็เกิดขึ้นมาอีก   ทำกระเป๋าสำรองหายไปจะไม่ได้โดนพ่อแม่ดุได้อย่างไง
เครียดมากจนเอาหนังเอาละครมาเป็นชีวิตของตนเอง   ตอนนั้นดิฉันแยกแยะไม่ออกว่าชีวิตจริงหรือละครกันแน่
สุดท้ายป้าที่เป็นครูในโรงเรียนแนะนำให้พ่อแม่พาดิฉันไปที่โรงพยาบาลจิตเวช
เพื่อตรวจสุขภาพจิตค่ะ
ตรวจครั้งแรกเข้าวัดIQหรือEQนี่แหละค่ะ
ผลปรากฎว่าIQหรือEQของดิฉันต่ำค่ะ
หลังจากนั้นดิฉันจำไม่ได้ว่ายังไงต่อค่ะ
ดิฉันมาจำได้แค่ว่าดิฉันไม่สามารถเรียนที่นี่ได้อีกแล้ว   ไม่อยากเรียนอีกแล้ว
แต่มาคิดถึงที่พ่อแม่เสียเงินเพื่อให้เราได้เข้าโรงเรียนนี่   ยอมอดทนสักหน่อย
ช่วงม.2ได้เรียนแต่ตัวเองไม่สนใจมัน   ไม่มีสติเหมือนกับคนบ้า
จนเกรดเริ่มลดลง
ช่วงม.3ถือว่าเป็นช่วงสุดท้ายที่เราจะทนเรียนในโรงเรียนนี่
ดิฉันก็พยายมเรียน   แต่ตัวดิฉันใจดิฉันไม่อยากเรียนเลย
เกรดตกลงมาฮวบแทบติด0   ติดร.   ติดมผ.อีกต่างหาก
พอซ่อมเสร็จก็ออกจากโรงเรียนนี้ไปอยู่โรงเรียนเดิมที่อยู่ใกล้ ๆ บ้าน
พอตอนสมัครเข้าจะให้เข้าม.3เลย   เพราะเค้าดูเกรดและผลสอบไม่มีอะไรที่จะทำให้ซ้ำชั้นได้
แต่ดิฉันเป็นคนขอซ้ำชั้นเอง   เพราะตอนที่อยู่โรงเรียนนั้นไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย   ไม่สนใจเรียนเลยสักนิดเดียวมีแต่วิงเข้าห้องพยาบาลอย่างเดียวเพราะไมอยากเรียนค่ะ
ดิฉันเรียนอยู่โรงเรียนใกล้ ๆ บ้าน   ดิฉันปกติทุกอย่างไม่มีอาการใด ๆ แสดงว่าตัวเองผิดปกติจนกระทั่งจบม.3ขึ้นมา
พอต่อม.4พ่อกับแม่ต้องพาไปหาโรงเรียนเข้าใหม่อีก   เนื่องจากโรงเรียนเดิมที่อยู่ใกล้ ๆ บ้าน
มีคนมาสมัครจำนวนมาก   ถึงจะไม่มีการจับฉลากก็ตามเถอะ   พ่อกับแม่ว่ากลัวว่าเราจะไม่ได้เข้าจึงพาไปสมัครที่โรงเรียนในเมืองแต่อยู่ไม่ไกลบ้านตัวเองน่ะเอง   เพื่อเป็นโรงเรียนสำรองอีกโรงเรียนหนึ่ง
พอสมัครเสร็จแล้ว   เราได้เดินชมโรงเรียนนั้น   เราได้ถามนักเรียนที่โรงเรียนนั้นว่าเค้าเดินเรียนหรือนั่งเรียนกัน
นักเรียนคนนั้นเค้าตอบว่านั่งเรียนค่ะ
แม่พาเดินชมวิว   มีตึกหนึ่งมีลิฟท์   เราสนทนากับแม่ว่าเค้านั่งเรียนกัน
แม่ก็พูดว่าแล้วอ.น่ะจะแย่งลิฟท์กับเค้าได้เหรอ
เราก็ตอบไปว่าได้   ถ้าหากเราไม่เข้าแถว   แล้วขึ้นมารอบนห้องเลย
แม่ก็บอกเราว่าอ.ต้องเข้าแถวน่ะ
เราตอบไปว่าไม่เข้าไม่ได้เหรอ
เราค่อยตัดสินใจว่าที่โรงเรียนเดิมใกล้ ๆ บ้านกับโรงเรียนใหม่ที่อยู่ในเมืองแต่อยู่ไม่ไกลบ้านตัวเอง
เราจะเลือกโรงเรียนไหน   ขอดูทั้งสองโรงเรียนที่เราสมัครไปว่าเราจะอยู่ห้องไหน
แล้วค่อยคิดค่อยตัดสินใจอีกทีแล้ววันนั้นก็มาถึงวันประกาศห้องเพื่อเข้าสอบคัดเลือก
สลับกันไปดูคนละวัน  ผลปรากฎว่าห้องต้น ๆ เลขที่ต้น ๆ ทั้งสองโรงเรียน   เราก็เลยไม่รู้ว่าจะเอาโรงเรียนไหนค่ะ
แล้วปัญหาก็คือว่าวันสอบคัดเลือกของทั้งสองโรงเรียนเป็นวันเดียวกัน   เราต้องเลือกโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่งเพื่อที่เข้าสอบคัดเลือก
เราจึงตัดสินใจบอกแม่ไปว่าเลือกโรงเรียนใกล้ ๆ บ้านค่ะ
ในที่สุดเราก็สอบผ่าน   ได้เข้าโรงเรียนนี้ได้
วันเปิดเทอมครั้งแรก
พวกเรานั่งเรียนกัน   พอผ่านไปสักพักเค้าเปลี่ยนแปลงการนั่งเรียนให้เป็นเดินเรียนแทน   เพราะห้องไม่พอ
ตอนแรกเราคิดว่าเราคิดผิดที่เลือกโรงเรียนนี้   แต่พอลองเดินเรียนดูทำให้เรารู้ว่าเราคิดถูกที่เลือกโรงเรียนนี้
เพราะบริเวณที่โรงเรียนนี้ไม่กว้างไม่ใหญ่เหมือนโรงเรียนดัง ๆ ในเมืองทำให้เราพอเดินไหวอยู่และที่สำคัญโรงเรียนนี้
อนุญาติให้นักเรียนใช้กระเป๋าเป้สะพายได้   เด็กจะได้ไม่ต้องแบกกระเป๋าถือเดินเรียนเอา
ดิฉันอยู่โรงเรียนนี้มาตั้งนานจนดิฉันไม่รู้เลยว่าดิฉันผิดปกติทางสมอง
เพราะคุณครูที่นี่ก็เป็นกันเอง   จดไม่ทัน   ครูก็ให้ไปลอกเพื่อน
ทำการบ้านเสร็จไม่ทันในคาบเรียน   ครูก็ให้กลับไปทำที่บ้านแล้วพรุ่งนี้มีคาบเรียนของครูค่อยเอามาส่ง
ตอนม.4เทอมไหนก็ไม่รู้มีวิชาหนึ่งนั่นก็คือวิชาภาษาไทยการแสดงของอาจารย์สบณ.
มีอยู่วันหนึ่งอาจารย์สบณ.ใหนักเรียนจัดกลุ่มเตรียมการแสดงมาแสดงในคาบเรียน
ซึ่งเราเป็นคนไม่เข้ากลุ่มอยู่ไม่เข้าไปร่วมกับเค้า   และก็ไม่มั่นใจว่าเราจะจะทำอย่างที่เค้าให้ทำได้ไหม  
เราจึงตัดสินใจว่าเราจะโชว์เดี่ยวค่ะ
เราจะแสดงเต้นเพลงการ์ตูนสุดโปรดค่ะ   นั่นก็คือเพลงการ์ตูนดิจิม่อน 2 เพลงค่ะ
เราก็มาซ้อมที่บ้าน   
ระหว่างที่เรากำลังซ้อมอยู่ก็มีแต่แม่นี่แหละที่คอยแต่ว่าเรา   ไม่ให้คำแนะนำอะไร   มีแต่น้าที่คอยให้คำแนะนำเรา
พอเราซ้อมเสร็จจนมั่นใจได้เต็มที่ว่าเราทำได้
พอถึงวันนั้นเค้าจริง ๆ อาจารย์ไม่อยู่ก็เลยถือวิทยุเก้อไป  แต่ไม่ปล่อยเสียเวลาซ้อมมันดูที่นั่นแหละจนมั่นใจ
ผ่านไปอาทิตย์หนึ่งถึงวันนั้นอีกโชคดีวันนี้อาจารย์อยู่   อาจารย์เรียกกลุ่มต่าง ๆ ให้ออกมาแสดง
แต่ไม่มีใครกล้าออกไปเลย   เราอยากดูการแสดงของกลุ่มอื่นก่อน ๆ ก็เลยไม่ออกไป
จนอาจารย์ตัดสินใจเรียกชื่อกลุ่มหรือจับฉลากดิฉันจำไม่ได้   พอเรียกแล้วก็ยังไม่ยอมออกไปอีก   อาจารย์ต้องเรียกซ้ำๆอีกเพื่อเร่งให้ออกไป
พอการแสดงผ่านไป2กลุ่มแล้ว   อาจารย์เห็นเราเรียกเราขึ้นมาทันทีโดยไม่ต้องเรียกชื่อกลุ่มหรือจับฉลากเลย
ซึ่งเราก็กล้าออกไปโดยไม่ลังเลอะไร
เราก็เต้นของเราตามที่เราซ้อมมา
ระหว่างที่เราเต้นอยู่ก็มีคนมามุงดูเราเต้นอยู่  ขณะที่เค้ากำลังเรียนอยู่
เค้าก็มาดูเราเต้นกันหมด.  พอเราเต้นเส้นอาจารย์ชมเชย.  เพื่อนทุกคนในห้องก็ชมเชยเรา
เรื่องนี้อาจารย์เค้าเอาไปเราให้ป้าที่เป็นญาติซึ่งเป็นครูในโรงเรียนนั้นฟัง
พร้อมกับคำชมเชย
พอป้ามาเยี่ยมครอบครัวเราที่บ้าน
ป้ามาเล่าให้เราพ่อกับแม่ฟังว่าอาจารย์สบณ.ชมว่าอ.เก่งจะให้เกรด4
เราก็พลอยยินดีไปด้วย   แต่แม่ไม่ยินดีอะไรกับเรานั่งเฉย ๆ เพียงอย่างเดียวค่ะ
เราคิดว่าเค้าไม่ยินดีเค้าไม่สนับสนุนแค่ทำเป็นเฉย ๆ ดีแล้ว   แต่เราคิดผิดค่ะ
ตอนนั้นเราจำไม่ได้ว่าเราเกิดป่วย   เกิดเจ็บขาขึ้นมาก่อนหรือหลังที่อาจารย์สบณ.จะให้ห้องเราแสดงการรำโบราณค่ะ
ตอนที่คัดเลือกคนที่จะรำ
อาจารย์ถามเราก่อนว่าเราจะรำได้ไหม
เราก็บอกอาจารย์รำได้ค่ะ
อาจารย์ก็บอกให้เรารำให้ดู
พอทุกคนเค้าเห็นว่าเรารำอ่อนเกินไป
อาจารย์จึงไม่ให้เรารำค่ะ   แต่เปลี่ยนบทให้เป็นชาวนานั่งทานข้าวพร้อมกับเลี้ยงลูกน้อยแทนค่ะ
อาจารย์ถามว่ามีตุ๊กตาไหม
ดิฉันบอกว่ามีค่ะ   มี 2 ตัวค่ะ
อาจารย์บอกว่าให้เอามาให้ดู
ดิฉันก็เอามาให้ดูค่ะ
อาจารย์ก็เลือกให้แล้วบอกว่าตัวนี้ตัวเล็กไป   ให้เอาตัวนั้นตัวใหญ่พอ ๆ กับเด็กได้
ดิฉันก็เตรียมของ
พอถึงวันที่แสดงก็แสดงได้ปกติถึงจะมีเผลอยิ้มบ้างเพราะอาย
หลังจากการแสดงจบลงทุกคนต่างชื่นชมฉันกันทั้งนั้น   ถึงจะมีส่วนน้อยที่ล้อเลียน   ติฉินนินทาดิฉันกันบ้างก็เป็นเรื่องปกติ
พอคุณแม่มารับดิฉันอาจารย์ก็ออกปากชมเชยดิฉัน   ว่าดิฉันแสดงได้เยี่ยม
แม่ก็บอกอาจารย์ว่าดิฉันเหมาะกับบุคลิกอย่างนี้อยู่แล้วถึงทำได้
ถ้าหากไม่ยินดีไม่สนับสนุนก็ควรจะเฉย ๆ ไว้แบบครั้งที่แล้วดีกว่า
ดิฉันจำไม่ได้ว่าดิฉันเกิดป่วยขึ้นมาครั้งแรก   เกิดเจ็บขาขึ้นมาตอนเทอมไหน
ดิฉันจำได้ว่าดิฉันเข้าหาหมอครั้งแรก   หมอก็ตรวจหาวินิจฉัยโรค
ทั้งให้ไปเอ็กซ์ซเรย์กระดูกสันหลังเอา   พอหมอตรวจดูฟิล์มก็พบว่ากระสันหลังคด
ความจริงแล้วกระดูกสันหลังก็คดมาตั้งแต่ดิฉันอยู่ชั้นป.3แล้วค่ะ   แล้วก็ไม่มีอาการอะไรเลยค่ะ
สรุปแล้วคุณหมอไม่สามารถตรวจวินิจฉัยหาโรคได้ค่ะ   จึงขอให้ดิฉันนอนโรงพยาบาลเพื่อวินิจฉัยหาโรคได้ค่ะ
ตอนก่อนนอนโรงพยาบาลครั้งแรก   คุณหมอให้ตรวจปัสสาวะเป็นครั้งแรก
พอนอนคืนแรกตืนขึ้นมาตอนเช้า   พยาบาลมาเจาะเลือดไปตรวจค่ะ
สาย ๆ คุณหมอมารุมดูกันเพื่อวินิจฉัยโรคค่ะ
ดิฉันจำไม่ได้ว่าดิฉันนอนโรงพยาบาลกี่วันค่ะ
สุดท้ายแล้วคุณหมอเค้าก็บอกว่าเป็นเส้นเอ็นอักเสบหรือข้ออักเสบเท่านั้น
แล้วให้ยาไปกิน   ทั้งวิตามิน  ทั้งแคลเซียม   ยาบำรุงอีกเยอะแยะเลย
หลังจากนั้นมาถ้าดิฉันป่วยเกิดเจ็บขาขึ้นมาต้องไปเอายาที่นั้นมากินทุกครั้ง   จึงเริ่มที่จะขาดเรียนไปบ้างค่ะ
(ยังไม่จบค่ะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่