ตั้งแต่ดิฉันจำความตอนที่ดิฉันอายุ5-6ขวบนี่แหละค่ะ
ตอนนั้นที่ดิฉันอายุได้5-6ขวบนี่ค่ะ ฉันคิดว่าเรื่องตอนตัวเองเป็นทารกเป็นแค่ความฝันค่ะ ดิฉันเพิ่งจะลืมตาตื่นขึ้นมาเอง
ตอนนั้นดิฉันคิดแบบนั้น แต่พอ ๆ นานเข้าดิฉันถึงได้รู้ตัวว่ามันไม่ใช่ความฝัน แต่คือความจริงที่เราเติบโตชึ้นมาน่ะเอง
ที่บ้านตอนนั้นมีทีวีเครื่องนึงถึงจะเป็นจอเล็กภาพขาว,ดำก็ตาม
มีอยู่วันหนึ่งที่ทีวีลงภาพโฆษณาประกาศรับสมัครสาวๆอายุ15-26ปีเข้าประกวดมิสยูนิเวิรด์ขึ้นมา
ครั้งแรกที่ดิฉันเห็นรายการนั้น ดิฉันรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการประกวดนั่นมาก
จึงเกิดมีความฝันและความเพ้อฝันนั้นขึ้นมาว่าโตขึ้นดิฉันจะประกวดมิสยูนิเวิรด์นั้น
ซึ่งเด็กกับความฝันหรือความเพ้อฝันเป็นเรื่องปกติของเด็ก แต่มีบางคนที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้
นั่นก็คือแม่ของดิฉัน แม่ของดิฉันพยายามพูดให้ดิฉันเลิกความคิด ความพยายามที่จะทำให้ความฝันเป็นจริง
โดยไม่รอเวลาดูตอนที่ฉันโตก่อน ไม่ว่าดิฉันจะเพ้อฝัน หรือฝันอะไรก็ตามแม่ของดิฉันก็พยายามพูดให้ดิฉันล้มเลิกความฝันให้ได้
แม้จะต้องพูดจา-ดันดูถูกลูกตัวเองก็ตามแม่ก็ทำได้
ตอนนั้นดิฉันยังแข็งแรง พัฒนาการทางสมองของดิฉันมันยังไม่แสดงออกมาว่าดิฉันมีพัฒนาการทางสมองผิดปกติ
จนกระทั่งเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่1-ประถมศึกษาปีที่6 ดิฉัก็ปกติดีทุกอย่าง
ดิฉันจำไม่ได้ว่าพัฒนาการทางสมองของดิฉันมันปรากฎขึ้นมาตอนไหน
หลังจากดิฉันจบป.6 พ่อกับแม่อยากให้เข้าเรียนโรงเรียนดี ๆ จึงพาดิฉันไปสมัครแล้วจับฉลากว่าได้เข้าโรงเรียนนี้รึเปล่า
แต่ดิฉันจับฉลากไม่ได้ แต่จะเข้าให้ได้ต้องใช้เงินจำนวนมากเข้า
ระหว่างที่รอพ่อแม่และญาติที่เป็นครูนั่นคุยกันเรื่อการที่ให้ดิฉันเข้าเรียนที่นั่น
ดิฉันได้เรียนโรงเรียนใกล้บ้านนี่เอง พอได้เรียนไปถึงเกือบครึ่งเทอมดิฉันได้ย้ายกลับมาที่โรงเรียนที่พ่อแม่และตัวดิฉันอยากเรียน
เพราะดิฉันคิดว่ามันสนุกและที่สำคัญมันอยู่ในเมือง
แต่ดิฉันคิดผิดมันไม่ได้สนุกเลยสักนิด
ตอนเช้า เข้าโรงเรียนมานักเรียนจะต้องถือกระเป๋าข้างเดียว ไม่ว่าจะหลายใบแค่ไหนก็ต้องถือข้างเดียวเท่านั้น
พอเข้าโรงเรียนมาจะมีคุณครูยืนรออยู่ นักเรียนเดินเข้ามาต้องทำความเคารพคุณครูก่อน
ทำความเคารพคุณครูของร.ร.นี้
1.วางกระเป๋าไว้กับพื้น
2.ทำความเคารพคุณครูด้วยการไหว้
หลังจากทำความเคารพคุณครูแล้วก็เก็บกระเป๋าขึ้นมาและไปได้
แล้วทุกคนลองคิดว่าถ้าหากมีคนที่เค้าถือของหลายอย่าง ๆ มา แต่ต้องวางมันไว้กับพื้นแล้วมาทำความเคารพคุณครู
เค้าจะลำบากขนาดไหน แม้แต่กระทั่งคนมาสาย จะมีเวลามาวางกระเป๋าหรือของเพื่อมาทำความเคารพคุณครู
ร.ร.นี้พอเวลา08.00น. นักเรียนทุกคนเข้าแถวเตรียมเคารพธงชาติ เค้าก็จะปิดปะตูทันทีทุกด้าน
เพื่อไม่ให้นักเรียนแอบเข้ามาได้โดยเฉพาะนักเรียนที่มาสาย
คำขวัญของโรงเรียนนี้ที่ดิฉันได้ยินตอนเข้ามาเรียนครั้งแรก ดิฉันตกใจมาก แต่ดิฉันยังไม่ได้คิดอะไร
คำขวัญของโรงเรียนนี้คือ
เรียนดี กีฬาเด่นทุกอย่างต้องดีต้องเด่นไปหมด
ครั้งแรกที่เข้าเรียนเหนื่อยมาก ๆ เลย ต้องแบกกระเป๋าเดินเรียนทั้งวัน เรื่องเรียนไม่เท่าไรหรอกถึงจะจดไม่ทันแต่ก็ยังมีเพื่อนช่วยอยู่
ช่วงพักเที่ยง
แทนที่เราจะได้พักสมองได้พุดคุยกับเพื่อนๆสักหน่อย
เวลากินข้าวก็น้อยนิดแทบไม่มีเวลาคุยกันเลย
แถมยังเปิดสารคดีให้ฟังอีกต่างหาก
เวลามีคาบอิสระบังคับให้เข้าห้องสมุด ให้อาจารย์ห้องสมุดเป็นคนเซ็นในคาบอิสระทุกครั้ง
จดไม่ทันแล้วดิฉันจะมีเวลาไหนไปขอยืมเพื่อนจดล่ะค่ะ
พอเรียนไปนาน ๆ จนกระทั่งเราเกิดปวดแขนขึ้นมา
เราจึงบอกพ่อแม่ว่าเราปวดแขนจังเลย
พ่อแม่จึงให้เราหยุดโรงเรียนพาเราไปหาหมอ
หมอตรวจเสร็จแล้ว หมอก็บอกว่าเป็นเส้นเอ็นอักเสบให้ยามากินค่ะ
ตอนอยู่ม.1ดิฉันได้เกรดดีค่ะ ถึงจะมีวิชาที่ตกบ้างเพราะไม่ถนัดและไม่ชอบวิชานั่น
แต่มีวิชาหนึ่งที่ดิฉันได้เกรด4ค่ะ จึงได้รับของขวัญจากคุณแม่ค่ะ เป็นกล่องดนตรีที่ใส่เครื่องประดับได้ค่ะ
พอดิฉันอยู่ที่โรงเรียนนาน ๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับโรงเรียนนี่
จนเครียดขึ้นมา เผลอเรอลืมกระเป๋าสำรองที่ซื้อมาใหม่ไว้ พอได้สติกลับมาหาปรากฎว่ามันหายไปแล้ว
ที่นี่ความเครียดมันก็เกิดขึ้นมาอีก ทำกระเป๋าสำรองหายไปจะไม่ได้โดนพ่อแม่ดุได้อย่างไง
เครียดมากจนเอาหนังเอาละครมาเป็นชีวิตของตนเอง ตอนนั้นดิฉันแยกแยะไม่ออกว่าชีวิตจริงหรือละครกันแน่
สุดท้ายป้าที่เป็นครูในโรงเรียนแนะนำให้พ่อแม่พาดิฉันไปที่โรงพยาบาลจิตเวช
เพื่อตรวจสุขภาพจิตค่ะ
ตรวจครั้งแรกเข้าวัดIQหรือEQนี่แหละค่ะ
ผลปรากฎว่าIQหรือEQของดิฉันต่ำค่ะ
หลังจากนั้นดิฉันจำไม่ได้ว่ายังไงต่อค่ะ
ดิฉันมาจำได้แค่ว่าดิฉันไม่สามารถเรียนที่นี่ได้อีกแล้ว ไม่อยากเรียนอีกแล้ว
แต่มาคิดถึงที่พ่อแม่เสียเงินเพื่อให้เราได้เข้าโรงเรียนนี่ ยอมอดทนสักหน่อย
ช่วงม.2ได้เรียนแต่ตัวเองไม่สนใจมัน ไม่มีสติเหมือนกับคนบ้า
จนเกรดเริ่มลดลง
ช่วงม.3ถือว่าเป็นช่วงสุดท้ายที่เราจะทนเรียนในโรงเรียนนี่
ดิฉันก็พยายมเรียน แต่ตัวดิฉันใจดิฉันไม่อยากเรียนเลย
เกรดตกลงมาฮวบแทบติด0 ติดร. ติดมผ.อีกต่างหาก
พอซ่อมเสร็จก็ออกจากโรงเรียนนี้ไปอยู่โรงเรียนเดิมที่อยู่ใกล้ ๆ บ้าน
พอตอนสมัครเข้าจะให้เข้าม.3เลย เพราะเค้าดูเกรดและผลสอบไม่มีอะไรที่จะทำให้ซ้ำชั้นได้
แต่ดิฉันเป็นคนขอซ้ำชั้นเอง เพราะตอนที่อยู่โรงเรียนนั้นไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ไม่สนใจเรียนเลยสักนิดเดียวมีแต่วิงเข้าห้องพยาบาลอย่างเดียวเพราะไมอยากเรียนค่ะ
ดิฉันเรียนอยู่โรงเรียนใกล้ ๆ บ้าน ดิฉันปกติทุกอย่างไม่มีอาการใด ๆ แสดงว่าตัวเองผิดปกติจนกระทั่งจบม.3ขึ้นมา
พอต่อม.4พ่อกับแม่ต้องพาไปหาโรงเรียนเข้าใหม่อีก เนื่องจากโรงเรียนเดิมที่อยู่ใกล้ ๆ บ้าน
มีคนมาสมัครจำนวนมาก ถึงจะไม่มีการจับฉลากก็ตามเถอะ พ่อกับแม่ว่ากลัวว่าเราจะไม่ได้เข้าจึงพาไปสมัครที่โรงเรียนในเมืองแต่อยู่ไม่ไกลบ้านตัวเองน่ะเอง เพื่อเป็นโรงเรียนสำรองอีกโรงเรียนหนึ่ง
พอสมัครเสร็จแล้ว เราได้เดินชมโรงเรียนนั้น เราได้ถามนักเรียนที่โรงเรียนนั้นว่าเค้าเดินเรียนหรือนั่งเรียนกัน
นักเรียนคนนั้นเค้าตอบว่านั่งเรียนค่ะ
แม่พาเดินชมวิว มีตึกหนึ่งมีลิฟท์ เราสนทนากับแม่ว่าเค้านั่งเรียนกัน
แม่ก็พูดว่าแล้วอ.น่ะจะแย่งลิฟท์กับเค้าได้เหรอ
เราก็ตอบไปว่าได้ ถ้าหากเราไม่เข้าแถว แล้วขึ้นมารอบนห้องเลย
แม่ก็บอกเราว่าอ.ต้องเข้าแถวน่ะ
เราตอบไปว่าไม่เข้าไม่ได้เหรอ
เราค่อยตัดสินใจว่าที่โรงเรียนเดิมใกล้ ๆ บ้านกับโรงเรียนใหม่ที่อยู่ในเมืองแต่อยู่ไม่ไกลบ้านตัวเอง
เราจะเลือกโรงเรียนไหน ขอดูทั้งสองโรงเรียนที่เราสมัครไปว่าเราจะอยู่ห้องไหน
แล้วค่อยคิดค่อยตัดสินใจอีกทีแล้ววันนั้นก็มาถึงวันประกาศห้องเพื่อเข้าสอบคัดเลือก
สลับกันไปดูคนละวัน ผลปรากฎว่าห้องต้น ๆ เลขที่ต้น ๆ ทั้งสองโรงเรียน เราก็เลยไม่รู้ว่าจะเอาโรงเรียนไหนค่ะ
แล้วปัญหาก็คือว่าวันสอบคัดเลือกของทั้งสองโรงเรียนเป็นวันเดียวกัน เราต้องเลือกโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่งเพื่อที่เข้าสอบคัดเลือก
เราจึงตัดสินใจบอกแม่ไปว่าเลือกโรงเรียนใกล้ ๆ บ้านค่ะ
ในที่สุดเราก็สอบผ่าน ได้เข้าโรงเรียนนี้ได้
วันเปิดเทอมครั้งแรก
พวกเรานั่งเรียนกัน พอผ่านไปสักพักเค้าเปลี่ยนแปลงการนั่งเรียนให้เป็นเดินเรียนแทน เพราะห้องไม่พอ
ตอนแรกเราคิดว่าเราคิดผิดที่เลือกโรงเรียนนี้ แต่พอลองเดินเรียนดูทำให้เรารู้ว่าเราคิดถูกที่เลือกโรงเรียนนี้
เพราะบริเวณที่โรงเรียนนี้ไม่กว้างไม่ใหญ่เหมือนโรงเรียนดัง ๆ ในเมืองทำให้เราพอเดินไหวอยู่และที่สำคัญโรงเรียนนี้
อนุญาติให้นักเรียนใช้กระเป๋าเป้สะพายได้ เด็กจะได้ไม่ต้องแบกกระเป๋าถือเดินเรียนเอา
ดิฉันอยู่โรงเรียนนี้มาตั้งนานจนดิฉันไม่รู้เลยว่าดิฉันผิดปกติทางสมอง
เพราะคุณครูที่นี่ก็เป็นกันเอง จดไม่ทัน ครูก็ให้ไปลอกเพื่อน
ทำการบ้านเสร็จไม่ทันในคาบเรียน ครูก็ให้กลับไปทำที่บ้านแล้วพรุ่งนี้มีคาบเรียนของครูค่อยเอามาส่ง
ตอนม.4เทอมไหนก็ไม่รู้มีวิชาหนึ่งนั่นก็คือวิชาภาษาไทยการแสดงของอาจารย์สบณ.
มีอยู่วันหนึ่งอาจารย์สบณ.ใหนักเรียนจัดกลุ่มเตรียมการแสดงมาแสดงในคาบเรียน
ซึ่งเราเป็นคนไม่เข้ากลุ่มอยู่ไม่เข้าไปร่วมกับเค้า และก็ไม่มั่นใจว่าเราจะจะทำอย่างที่เค้าให้ทำได้ไหม
เราจึงตัดสินใจว่าเราจะโชว์เดี่ยวค่ะ
เราจะแสดงเต้นเพลงการ์ตูนสุดโปรดค่ะ นั่นก็คือเพลงการ์ตูนดิจิม่อน 2 เพลงค่ะ
เราก็มาซ้อมที่บ้าน
ระหว่างที่เรากำลังซ้อมอยู่ก็มีแต่แม่นี่แหละที่คอยแต่ว่าเรา ไม่ให้คำแนะนำอะไร มีแต่น้าที่คอยให้คำแนะนำเรา
พอเราซ้อมเสร็จจนมั่นใจได้เต็มที่ว่าเราทำได้
พอถึงวันนั้นเค้าจริง ๆ อาจารย์ไม่อยู่ก็เลยถือวิทยุเก้อไป แต่ไม่ปล่อยเสียเวลาซ้อมมันดูที่นั่นแหละจนมั่นใจ
ผ่านไปอาทิตย์หนึ่งถึงวันนั้นอีกโชคดีวันนี้อาจารย์อยู่ อาจารย์เรียกกลุ่มต่าง ๆ ให้ออกมาแสดง
แต่ไม่มีใครกล้าออกไปเลย เราอยากดูการแสดงของกลุ่มอื่นก่อน ๆ ก็เลยไม่ออกไป
จนอาจารย์ตัดสินใจเรียกชื่อกลุ่มหรือจับฉลากดิฉันจำไม่ได้ พอเรียกแล้วก็ยังไม่ยอมออกไปอีก อาจารย์ต้องเรียกซ้ำๆอีกเพื่อเร่งให้ออกไป
พอการแสดงผ่านไป2กลุ่มแล้ว อาจารย์เห็นเราเรียกเราขึ้นมาทันทีโดยไม่ต้องเรียกชื่อกลุ่มหรือจับฉลากเลย
ซึ่งเราก็กล้าออกไปโดยไม่ลังเลอะไร
เราก็เต้นของเราตามที่เราซ้อมมา
ระหว่างที่เราเต้นอยู่ก็มีคนมามุงดูเราเต้นอยู่ ขณะที่เค้ากำลังเรียนอยู่
เค้าก็มาดูเราเต้นกันหมด. พอเราเต้นเส้นอาจารย์ชมเชย. เพื่อนทุกคนในห้องก็ชมเชยเรา
เรื่องนี้อาจารย์เค้าเอาไปเราให้ป้าที่เป็นญาติซึ่งเป็นครูในโรงเรียนนั้นฟัง
พร้อมกับคำชมเชย
พอป้ามาเยี่ยมครอบครัวเราที่บ้าน
ป้ามาเล่าให้เราพ่อกับแม่ฟังว่าอาจารย์สบณ.ชมว่าอ.เก่งจะให้เกรด4
เราก็พลอยยินดีไปด้วย แต่แม่ไม่ยินดีอะไรกับเรานั่งเฉย ๆ เพียงอย่างเดียวค่ะ
เราคิดว่าเค้าไม่ยินดีเค้าไม่สนับสนุนแค่ทำเป็นเฉย ๆ ดีแล้ว แต่เราคิดผิดค่ะ
ตอนนั้นเราจำไม่ได้ว่าเราเกิดป่วย เกิดเจ็บขาขึ้นมาก่อนหรือหลังที่อาจารย์สบณ.จะให้ห้องเราแสดงการรำโบราณค่ะ
ตอนที่คัดเลือกคนที่จะรำ
อาจารย์ถามเราก่อนว่าเราจะรำได้ไหม
เราก็บอกอาจารย์รำได้ค่ะ
อาจารย์ก็บอกให้เรารำให้ดู
พอทุกคนเค้าเห็นว่าเรารำอ่อนเกินไป
อาจารย์จึงไม่ให้เรารำค่ะ แต่เปลี่ยนบทให้เป็นชาวนานั่งทานข้าวพร้อมกับเลี้ยงลูกน้อยแทนค่ะ
อาจารย์ถามว่ามีตุ๊กตาไหม
ดิฉันบอกว่ามีค่ะ มี 2 ตัวค่ะ
อาจารย์บอกว่าให้เอามาให้ดู
ดิฉันก็เอามาให้ดูค่ะ
อาจารย์ก็เลือกให้แล้วบอกว่าตัวนี้ตัวเล็กไป ให้เอาตัวนั้นตัวใหญ่พอ ๆ กับเด็กได้
ดิฉันก็เตรียมของ
พอถึงวันที่แสดงก็แสดงได้ปกติถึงจะมีเผลอยิ้มบ้างเพราะอาย
หลังจากการแสดงจบลงทุกคนต่างชื่นชมฉันกันทั้งนั้น ถึงจะมีส่วนน้อยที่ล้อเลียน ติฉินนินทาดิฉันกันบ้างก็เป็นเรื่องปกติ
พอคุณแม่มารับดิฉันอาจารย์ก็ออกปากชมเชยดิฉัน ว่าดิฉันแสดงได้เยี่ยม
แม่ก็บอกอาจารย์ว่าดิฉันเหมาะกับบุคลิกอย่างนี้อยู่แล้วถึงทำได้
ถ้าหากไม่ยินดีไม่สนับสนุนก็ควรจะเฉย ๆ ไว้แบบครั้งที่แล้วดีกว่า
ดิฉันจำไม่ได้ว่าดิฉันเกิดป่วยขึ้นมาครั้งแรก เกิดเจ็บขาขึ้นมาตอนเทอมไหน
ดิฉันจำได้ว่าดิฉันเข้าหาหมอครั้งแรก หมอก็ตรวจหาวินิจฉัยโรค
ทั้งให้ไปเอ็กซ์ซเรย์กระดูกสันหลังเอา พอหมอตรวจดูฟิล์มก็พบว่ากระสันหลังคด
ความจริงแล้วกระดูกสันหลังก็คดมาตั้งแต่ดิฉันอยู่ชั้นป.3แล้วค่ะ แล้วก็ไม่มีอาการอะไรเลยค่ะ
สรุปแล้วคุณหมอไม่สามารถตรวจวินิจฉัยหาโรคได้ค่ะ จึงขอให้ดิฉันนอนโรงพยาบาลเพื่อวินิจฉัยหาโรคได้ค่ะ
ตอนก่อนนอนโรงพยาบาลครั้งแรก คุณหมอให้ตรวจปัสสาวะเป็นครั้งแรก
พอนอนคืนแรกตืนขึ้นมาตอนเช้า พยาบาลมาเจาะเลือดไปตรวจค่ะ
สาย ๆ คุณหมอมารุมดูกันเพื่อวินิจฉัยโรคค่ะ
ดิฉันจำไม่ได้ว่าดิฉันนอนโรงพยาบาลกี่วันค่ะ
สุดท้ายแล้วคุณหมอเค้าก็บอกว่าเป็นเส้นเอ็นอักเสบหรือข้ออักเสบเท่านั้น
แล้วให้ยาไปกิน ทั้งวิตามิน ทั้งแคลเซียม ยาบำรุงอีกเยอะแยะเลย
หลังจากนั้นมาถ้าดิฉันป่วยเกิดเจ็บขาขึ้นมาต้องไปเอายาที่นั้นมากินทุกครั้ง จึงเริ่มที่จะขาดเรียนไปบ้างค่ะ
(ยังไม่จบค่ะ)
เรื่องราวสมัยเด็ก ๆ ของดิฉันค่ะ
ตอนนั้นที่ดิฉันอายุได้5-6ขวบนี่ค่ะ ฉันคิดว่าเรื่องตอนตัวเองเป็นทารกเป็นแค่ความฝันค่ะ ดิฉันเพิ่งจะลืมตาตื่นขึ้นมาเอง
ตอนนั้นดิฉันคิดแบบนั้น แต่พอ ๆ นานเข้าดิฉันถึงได้รู้ตัวว่ามันไม่ใช่ความฝัน แต่คือความจริงที่เราเติบโตชึ้นมาน่ะเอง
ที่บ้านตอนนั้นมีทีวีเครื่องนึงถึงจะเป็นจอเล็กภาพขาว,ดำก็ตาม
มีอยู่วันหนึ่งที่ทีวีลงภาพโฆษณาประกาศรับสมัครสาวๆอายุ15-26ปีเข้าประกวดมิสยูนิเวิรด์ขึ้นมา
ครั้งแรกที่ดิฉันเห็นรายการนั้น ดิฉันรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการประกวดนั่นมาก
จึงเกิดมีความฝันและความเพ้อฝันนั้นขึ้นมาว่าโตขึ้นดิฉันจะประกวดมิสยูนิเวิรด์นั้น
ซึ่งเด็กกับความฝันหรือความเพ้อฝันเป็นเรื่องปกติของเด็ก แต่มีบางคนที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้
นั่นก็คือแม่ของดิฉัน แม่ของดิฉันพยายามพูดให้ดิฉันเลิกความคิด ความพยายามที่จะทำให้ความฝันเป็นจริง
โดยไม่รอเวลาดูตอนที่ฉันโตก่อน ไม่ว่าดิฉันจะเพ้อฝัน หรือฝันอะไรก็ตามแม่ของดิฉันก็พยายามพูดให้ดิฉันล้มเลิกความฝันให้ได้
แม้จะต้องพูดจา-ดันดูถูกลูกตัวเองก็ตามแม่ก็ทำได้
ตอนนั้นดิฉันยังแข็งแรง พัฒนาการทางสมองของดิฉันมันยังไม่แสดงออกมาว่าดิฉันมีพัฒนาการทางสมองผิดปกติ
จนกระทั่งเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่1-ประถมศึกษาปีที่6 ดิฉัก็ปกติดีทุกอย่าง
ดิฉันจำไม่ได้ว่าพัฒนาการทางสมองของดิฉันมันปรากฎขึ้นมาตอนไหน
หลังจากดิฉันจบป.6 พ่อกับแม่อยากให้เข้าเรียนโรงเรียนดี ๆ จึงพาดิฉันไปสมัครแล้วจับฉลากว่าได้เข้าโรงเรียนนี้รึเปล่า
แต่ดิฉันจับฉลากไม่ได้ แต่จะเข้าให้ได้ต้องใช้เงินจำนวนมากเข้า
ระหว่างที่รอพ่อแม่และญาติที่เป็นครูนั่นคุยกันเรื่อการที่ให้ดิฉันเข้าเรียนที่นั่น
ดิฉันได้เรียนโรงเรียนใกล้บ้านนี่เอง พอได้เรียนไปถึงเกือบครึ่งเทอมดิฉันได้ย้ายกลับมาที่โรงเรียนที่พ่อแม่และตัวดิฉันอยากเรียน
เพราะดิฉันคิดว่ามันสนุกและที่สำคัญมันอยู่ในเมือง
แต่ดิฉันคิดผิดมันไม่ได้สนุกเลยสักนิด
ตอนเช้า เข้าโรงเรียนมานักเรียนจะต้องถือกระเป๋าข้างเดียว ไม่ว่าจะหลายใบแค่ไหนก็ต้องถือข้างเดียวเท่านั้น
พอเข้าโรงเรียนมาจะมีคุณครูยืนรออยู่ นักเรียนเดินเข้ามาต้องทำความเคารพคุณครูก่อน
ทำความเคารพคุณครูของร.ร.นี้
1.วางกระเป๋าไว้กับพื้น
2.ทำความเคารพคุณครูด้วยการไหว้
หลังจากทำความเคารพคุณครูแล้วก็เก็บกระเป๋าขึ้นมาและไปได้
แล้วทุกคนลองคิดว่าถ้าหากมีคนที่เค้าถือของหลายอย่าง ๆ มา แต่ต้องวางมันไว้กับพื้นแล้วมาทำความเคารพคุณครู
เค้าจะลำบากขนาดไหน แม้แต่กระทั่งคนมาสาย จะมีเวลามาวางกระเป๋าหรือของเพื่อมาทำความเคารพคุณครู
ร.ร.นี้พอเวลา08.00น. นักเรียนทุกคนเข้าแถวเตรียมเคารพธงชาติ เค้าก็จะปิดปะตูทันทีทุกด้าน
เพื่อไม่ให้นักเรียนแอบเข้ามาได้โดยเฉพาะนักเรียนที่มาสาย
คำขวัญของโรงเรียนนี้ที่ดิฉันได้ยินตอนเข้ามาเรียนครั้งแรก ดิฉันตกใจมาก แต่ดิฉันยังไม่ได้คิดอะไร
คำขวัญของโรงเรียนนี้คือ
เรียนดี กีฬาเด่นทุกอย่างต้องดีต้องเด่นไปหมด
ครั้งแรกที่เข้าเรียนเหนื่อยมาก ๆ เลย ต้องแบกกระเป๋าเดินเรียนทั้งวัน เรื่องเรียนไม่เท่าไรหรอกถึงจะจดไม่ทันแต่ก็ยังมีเพื่อนช่วยอยู่
ช่วงพักเที่ยง
แทนที่เราจะได้พักสมองได้พุดคุยกับเพื่อนๆสักหน่อย
เวลากินข้าวก็น้อยนิดแทบไม่มีเวลาคุยกันเลย
แถมยังเปิดสารคดีให้ฟังอีกต่างหาก
เวลามีคาบอิสระบังคับให้เข้าห้องสมุด ให้อาจารย์ห้องสมุดเป็นคนเซ็นในคาบอิสระทุกครั้ง
จดไม่ทันแล้วดิฉันจะมีเวลาไหนไปขอยืมเพื่อนจดล่ะค่ะ
พอเรียนไปนาน ๆ จนกระทั่งเราเกิดปวดแขนขึ้นมา
เราจึงบอกพ่อแม่ว่าเราปวดแขนจังเลย
พ่อแม่จึงให้เราหยุดโรงเรียนพาเราไปหาหมอ
หมอตรวจเสร็จแล้ว หมอก็บอกว่าเป็นเส้นเอ็นอักเสบให้ยามากินค่ะ
ตอนอยู่ม.1ดิฉันได้เกรดดีค่ะ ถึงจะมีวิชาที่ตกบ้างเพราะไม่ถนัดและไม่ชอบวิชานั่น
แต่มีวิชาหนึ่งที่ดิฉันได้เกรด4ค่ะ จึงได้รับของขวัญจากคุณแม่ค่ะ เป็นกล่องดนตรีที่ใส่เครื่องประดับได้ค่ะ
พอดิฉันอยู่ที่โรงเรียนนาน ๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับโรงเรียนนี่
จนเครียดขึ้นมา เผลอเรอลืมกระเป๋าสำรองที่ซื้อมาใหม่ไว้ พอได้สติกลับมาหาปรากฎว่ามันหายไปแล้ว
ที่นี่ความเครียดมันก็เกิดขึ้นมาอีก ทำกระเป๋าสำรองหายไปจะไม่ได้โดนพ่อแม่ดุได้อย่างไง
เครียดมากจนเอาหนังเอาละครมาเป็นชีวิตของตนเอง ตอนนั้นดิฉันแยกแยะไม่ออกว่าชีวิตจริงหรือละครกันแน่
สุดท้ายป้าที่เป็นครูในโรงเรียนแนะนำให้พ่อแม่พาดิฉันไปที่โรงพยาบาลจิตเวช
เพื่อตรวจสุขภาพจิตค่ะ
ตรวจครั้งแรกเข้าวัดIQหรือEQนี่แหละค่ะ
ผลปรากฎว่าIQหรือEQของดิฉันต่ำค่ะ
หลังจากนั้นดิฉันจำไม่ได้ว่ายังไงต่อค่ะ
ดิฉันมาจำได้แค่ว่าดิฉันไม่สามารถเรียนที่นี่ได้อีกแล้ว ไม่อยากเรียนอีกแล้ว
แต่มาคิดถึงที่พ่อแม่เสียเงินเพื่อให้เราได้เข้าโรงเรียนนี่ ยอมอดทนสักหน่อย
ช่วงม.2ได้เรียนแต่ตัวเองไม่สนใจมัน ไม่มีสติเหมือนกับคนบ้า
จนเกรดเริ่มลดลง
ช่วงม.3ถือว่าเป็นช่วงสุดท้ายที่เราจะทนเรียนในโรงเรียนนี่
ดิฉันก็พยายมเรียน แต่ตัวดิฉันใจดิฉันไม่อยากเรียนเลย
เกรดตกลงมาฮวบแทบติด0 ติดร. ติดมผ.อีกต่างหาก
พอซ่อมเสร็จก็ออกจากโรงเรียนนี้ไปอยู่โรงเรียนเดิมที่อยู่ใกล้ ๆ บ้าน
พอตอนสมัครเข้าจะให้เข้าม.3เลย เพราะเค้าดูเกรดและผลสอบไม่มีอะไรที่จะทำให้ซ้ำชั้นได้
แต่ดิฉันเป็นคนขอซ้ำชั้นเอง เพราะตอนที่อยู่โรงเรียนนั้นไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ไม่สนใจเรียนเลยสักนิดเดียวมีแต่วิงเข้าห้องพยาบาลอย่างเดียวเพราะไมอยากเรียนค่ะ
ดิฉันเรียนอยู่โรงเรียนใกล้ ๆ บ้าน ดิฉันปกติทุกอย่างไม่มีอาการใด ๆ แสดงว่าตัวเองผิดปกติจนกระทั่งจบม.3ขึ้นมา
พอต่อม.4พ่อกับแม่ต้องพาไปหาโรงเรียนเข้าใหม่อีก เนื่องจากโรงเรียนเดิมที่อยู่ใกล้ ๆ บ้าน
มีคนมาสมัครจำนวนมาก ถึงจะไม่มีการจับฉลากก็ตามเถอะ พ่อกับแม่ว่ากลัวว่าเราจะไม่ได้เข้าจึงพาไปสมัครที่โรงเรียนในเมืองแต่อยู่ไม่ไกลบ้านตัวเองน่ะเอง เพื่อเป็นโรงเรียนสำรองอีกโรงเรียนหนึ่ง
พอสมัครเสร็จแล้ว เราได้เดินชมโรงเรียนนั้น เราได้ถามนักเรียนที่โรงเรียนนั้นว่าเค้าเดินเรียนหรือนั่งเรียนกัน
นักเรียนคนนั้นเค้าตอบว่านั่งเรียนค่ะ
แม่พาเดินชมวิว มีตึกหนึ่งมีลิฟท์ เราสนทนากับแม่ว่าเค้านั่งเรียนกัน
แม่ก็พูดว่าแล้วอ.น่ะจะแย่งลิฟท์กับเค้าได้เหรอ
เราก็ตอบไปว่าได้ ถ้าหากเราไม่เข้าแถว แล้วขึ้นมารอบนห้องเลย
แม่ก็บอกเราว่าอ.ต้องเข้าแถวน่ะ
เราตอบไปว่าไม่เข้าไม่ได้เหรอ
เราค่อยตัดสินใจว่าที่โรงเรียนเดิมใกล้ ๆ บ้านกับโรงเรียนใหม่ที่อยู่ในเมืองแต่อยู่ไม่ไกลบ้านตัวเอง
เราจะเลือกโรงเรียนไหน ขอดูทั้งสองโรงเรียนที่เราสมัครไปว่าเราจะอยู่ห้องไหน
แล้วค่อยคิดค่อยตัดสินใจอีกทีแล้ววันนั้นก็มาถึงวันประกาศห้องเพื่อเข้าสอบคัดเลือก
สลับกันไปดูคนละวัน ผลปรากฎว่าห้องต้น ๆ เลขที่ต้น ๆ ทั้งสองโรงเรียน เราก็เลยไม่รู้ว่าจะเอาโรงเรียนไหนค่ะ
แล้วปัญหาก็คือว่าวันสอบคัดเลือกของทั้งสองโรงเรียนเป็นวันเดียวกัน เราต้องเลือกโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่งเพื่อที่เข้าสอบคัดเลือก
เราจึงตัดสินใจบอกแม่ไปว่าเลือกโรงเรียนใกล้ ๆ บ้านค่ะ
ในที่สุดเราก็สอบผ่าน ได้เข้าโรงเรียนนี้ได้
วันเปิดเทอมครั้งแรก
พวกเรานั่งเรียนกัน พอผ่านไปสักพักเค้าเปลี่ยนแปลงการนั่งเรียนให้เป็นเดินเรียนแทน เพราะห้องไม่พอ
ตอนแรกเราคิดว่าเราคิดผิดที่เลือกโรงเรียนนี้ แต่พอลองเดินเรียนดูทำให้เรารู้ว่าเราคิดถูกที่เลือกโรงเรียนนี้
เพราะบริเวณที่โรงเรียนนี้ไม่กว้างไม่ใหญ่เหมือนโรงเรียนดัง ๆ ในเมืองทำให้เราพอเดินไหวอยู่และที่สำคัญโรงเรียนนี้
อนุญาติให้นักเรียนใช้กระเป๋าเป้สะพายได้ เด็กจะได้ไม่ต้องแบกกระเป๋าถือเดินเรียนเอา
ดิฉันอยู่โรงเรียนนี้มาตั้งนานจนดิฉันไม่รู้เลยว่าดิฉันผิดปกติทางสมอง
เพราะคุณครูที่นี่ก็เป็นกันเอง จดไม่ทัน ครูก็ให้ไปลอกเพื่อน
ทำการบ้านเสร็จไม่ทันในคาบเรียน ครูก็ให้กลับไปทำที่บ้านแล้วพรุ่งนี้มีคาบเรียนของครูค่อยเอามาส่ง
ตอนม.4เทอมไหนก็ไม่รู้มีวิชาหนึ่งนั่นก็คือวิชาภาษาไทยการแสดงของอาจารย์สบณ.
มีอยู่วันหนึ่งอาจารย์สบณ.ใหนักเรียนจัดกลุ่มเตรียมการแสดงมาแสดงในคาบเรียน
ซึ่งเราเป็นคนไม่เข้ากลุ่มอยู่ไม่เข้าไปร่วมกับเค้า และก็ไม่มั่นใจว่าเราจะจะทำอย่างที่เค้าให้ทำได้ไหม
เราจึงตัดสินใจว่าเราจะโชว์เดี่ยวค่ะ
เราจะแสดงเต้นเพลงการ์ตูนสุดโปรดค่ะ นั่นก็คือเพลงการ์ตูนดิจิม่อน 2 เพลงค่ะ
เราก็มาซ้อมที่บ้าน
ระหว่างที่เรากำลังซ้อมอยู่ก็มีแต่แม่นี่แหละที่คอยแต่ว่าเรา ไม่ให้คำแนะนำอะไร มีแต่น้าที่คอยให้คำแนะนำเรา
พอเราซ้อมเสร็จจนมั่นใจได้เต็มที่ว่าเราทำได้
พอถึงวันนั้นเค้าจริง ๆ อาจารย์ไม่อยู่ก็เลยถือวิทยุเก้อไป แต่ไม่ปล่อยเสียเวลาซ้อมมันดูที่นั่นแหละจนมั่นใจ
ผ่านไปอาทิตย์หนึ่งถึงวันนั้นอีกโชคดีวันนี้อาจารย์อยู่ อาจารย์เรียกกลุ่มต่าง ๆ ให้ออกมาแสดง
แต่ไม่มีใครกล้าออกไปเลย เราอยากดูการแสดงของกลุ่มอื่นก่อน ๆ ก็เลยไม่ออกไป
จนอาจารย์ตัดสินใจเรียกชื่อกลุ่มหรือจับฉลากดิฉันจำไม่ได้ พอเรียกแล้วก็ยังไม่ยอมออกไปอีก อาจารย์ต้องเรียกซ้ำๆอีกเพื่อเร่งให้ออกไป
พอการแสดงผ่านไป2กลุ่มแล้ว อาจารย์เห็นเราเรียกเราขึ้นมาทันทีโดยไม่ต้องเรียกชื่อกลุ่มหรือจับฉลากเลย
ซึ่งเราก็กล้าออกไปโดยไม่ลังเลอะไร
เราก็เต้นของเราตามที่เราซ้อมมา
ระหว่างที่เราเต้นอยู่ก็มีคนมามุงดูเราเต้นอยู่ ขณะที่เค้ากำลังเรียนอยู่
เค้าก็มาดูเราเต้นกันหมด. พอเราเต้นเส้นอาจารย์ชมเชย. เพื่อนทุกคนในห้องก็ชมเชยเรา
เรื่องนี้อาจารย์เค้าเอาไปเราให้ป้าที่เป็นญาติซึ่งเป็นครูในโรงเรียนนั้นฟัง
พร้อมกับคำชมเชย
พอป้ามาเยี่ยมครอบครัวเราที่บ้าน
ป้ามาเล่าให้เราพ่อกับแม่ฟังว่าอาจารย์สบณ.ชมว่าอ.เก่งจะให้เกรด4
เราก็พลอยยินดีไปด้วย แต่แม่ไม่ยินดีอะไรกับเรานั่งเฉย ๆ เพียงอย่างเดียวค่ะ
เราคิดว่าเค้าไม่ยินดีเค้าไม่สนับสนุนแค่ทำเป็นเฉย ๆ ดีแล้ว แต่เราคิดผิดค่ะ
ตอนนั้นเราจำไม่ได้ว่าเราเกิดป่วย เกิดเจ็บขาขึ้นมาก่อนหรือหลังที่อาจารย์สบณ.จะให้ห้องเราแสดงการรำโบราณค่ะ
ตอนที่คัดเลือกคนที่จะรำ
อาจารย์ถามเราก่อนว่าเราจะรำได้ไหม
เราก็บอกอาจารย์รำได้ค่ะ
อาจารย์ก็บอกให้เรารำให้ดู
พอทุกคนเค้าเห็นว่าเรารำอ่อนเกินไป
อาจารย์จึงไม่ให้เรารำค่ะ แต่เปลี่ยนบทให้เป็นชาวนานั่งทานข้าวพร้อมกับเลี้ยงลูกน้อยแทนค่ะ
อาจารย์ถามว่ามีตุ๊กตาไหม
ดิฉันบอกว่ามีค่ะ มี 2 ตัวค่ะ
อาจารย์บอกว่าให้เอามาให้ดู
ดิฉันก็เอามาให้ดูค่ะ
อาจารย์ก็เลือกให้แล้วบอกว่าตัวนี้ตัวเล็กไป ให้เอาตัวนั้นตัวใหญ่พอ ๆ กับเด็กได้
ดิฉันก็เตรียมของ
พอถึงวันที่แสดงก็แสดงได้ปกติถึงจะมีเผลอยิ้มบ้างเพราะอาย
หลังจากการแสดงจบลงทุกคนต่างชื่นชมฉันกันทั้งนั้น ถึงจะมีส่วนน้อยที่ล้อเลียน ติฉินนินทาดิฉันกันบ้างก็เป็นเรื่องปกติ
พอคุณแม่มารับดิฉันอาจารย์ก็ออกปากชมเชยดิฉัน ว่าดิฉันแสดงได้เยี่ยม
แม่ก็บอกอาจารย์ว่าดิฉันเหมาะกับบุคลิกอย่างนี้อยู่แล้วถึงทำได้
ถ้าหากไม่ยินดีไม่สนับสนุนก็ควรจะเฉย ๆ ไว้แบบครั้งที่แล้วดีกว่า
ดิฉันจำไม่ได้ว่าดิฉันเกิดป่วยขึ้นมาครั้งแรก เกิดเจ็บขาขึ้นมาตอนเทอมไหน
ดิฉันจำได้ว่าดิฉันเข้าหาหมอครั้งแรก หมอก็ตรวจหาวินิจฉัยโรค
ทั้งให้ไปเอ็กซ์ซเรย์กระดูกสันหลังเอา พอหมอตรวจดูฟิล์มก็พบว่ากระสันหลังคด
ความจริงแล้วกระดูกสันหลังก็คดมาตั้งแต่ดิฉันอยู่ชั้นป.3แล้วค่ะ แล้วก็ไม่มีอาการอะไรเลยค่ะ
สรุปแล้วคุณหมอไม่สามารถตรวจวินิจฉัยหาโรคได้ค่ะ จึงขอให้ดิฉันนอนโรงพยาบาลเพื่อวินิจฉัยหาโรคได้ค่ะ
ตอนก่อนนอนโรงพยาบาลครั้งแรก คุณหมอให้ตรวจปัสสาวะเป็นครั้งแรก
พอนอนคืนแรกตืนขึ้นมาตอนเช้า พยาบาลมาเจาะเลือดไปตรวจค่ะ
สาย ๆ คุณหมอมารุมดูกันเพื่อวินิจฉัยโรคค่ะ
ดิฉันจำไม่ได้ว่าดิฉันนอนโรงพยาบาลกี่วันค่ะ
สุดท้ายแล้วคุณหมอเค้าก็บอกว่าเป็นเส้นเอ็นอักเสบหรือข้ออักเสบเท่านั้น
แล้วให้ยาไปกิน ทั้งวิตามิน ทั้งแคลเซียม ยาบำรุงอีกเยอะแยะเลย
หลังจากนั้นมาถ้าดิฉันป่วยเกิดเจ็บขาขึ้นมาต้องไปเอายาที่นั้นมากินทุกครั้ง จึงเริ่มที่จะขาดเรียนไปบ้างค่ะ
(ยังไม่จบค่ะ)