หนึ่งครั้งในชีวิตที่ได้พบหลวงพ่อคูณ

กระทู้สนทนา
copy มาจากข้อความที่โพสต์ไว้อีกที่หนึ่งเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘
มาวันนี้ระลึกขึ้นมาได้ว่าน่าจะส่งให้ญาติธรรมคนหนึ่งผู้อนุเคราะห์เราในการเดินทางไปวัดมาโดยตลอดได้อ่านบ้าง..

ราวก่อนปี พ.ศ. ๒๕๓๕ เคยได้พบเรื่องราวแปลกในคราวที่ไปงานปลุกเสกพระหลวงพ่อคูณทองคำที่วัดของท่าน
ด้วยเป็นสิ่งที่หน่วยงานของเราร่วมกับอีกหน่วยงานหนึ่งจัดสร้างขึ้น
และเราไปในคณะ ๔ คน เป็นผู้แทนของผู้บริหารระดับสูงของที่ทำงาน จึงมีโอกาสเข้าไปนั่งวงในสุด

ทำให้ได้เห็นว่าก่อนที่หลวงพ่อคูณจะเริ่มปลุกเสกพระนั้น
บรรดาผู้บริหารระดับสูงของทางหน่วยงานนั้นและอีกสามคนในคณะของเราต่างก็ถอดเครื่องประดับมีค่าห่อผ้าเช็ดหน้า
เข้าไปวางรวมกับกององค์พระทองคำที่จะปลุกเสก
ความที่เราเคยเป็นคนที่เฉยกับเรื่องทำนองนี้เพราะว่าเราไม่เคยเชื่อสิ่งใดที่ไม่เข้าใจเหตุผล
จึงได้แต่คิดว่าจะทำอย่างไรดีที่จะไม่แปลกแยกแผกจากฝูงจนเกินไป

แต่จะให้ถอดกำไลทองเล็กๆ กับนาฬิกาจิ๋วคู่ใจออกจากข้อมือนี่ เราก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก
จึงกวาดเหรียญ สองสลึง เหรียญบาท-ห้าบาท จนหมดกระเป๋าก็รวมกันสักไม่ถึงสิบบาท ห่อด้วยทิสชู
(เรารักและผูกพันกับผ้าเช็ดหน้าของเราทุกผืนจนเกรงจะหายไปในหมู่คนมากมายนั้น)
เพื่อจะได้ปฏิบัติเหมือนกับชาวบ้านเค้าไปพอเป็นพิธีเท่านั้น

ทั้งที่เราก็เคารพท่านในฐานะพระสงฆ์ตามปกติของคนเกิดในศาสนาพุทธนะ
เมื่อจบพิธีเราก็จับห่อกระดาษทิสชูนั้นใส่ลงไปในกระเป๋าถือใบจิ๋วของเราโดยที่มิได้แกะออกมาดูเลย
ทุกคนที่อยู่ใกล้หลวงพ่อคูณพากันนั่งเรียงรายริมทางที่ท่านจะเดินออกจากพิธี
เราถอยออกจากแถวแรกไปนั่งแถวสองแทนด้วยไม่ถนัดน้ำมนต์และการเคาะหัวเลย
(ก็ไม่เข้าใจอ่ะนะ ว่าทำไมไม่ทำดีเพื่อให้ได้ดีกันเอง ต้องรบกวนท่านทำไม,
ตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าศาสนาพุทธสอนอะไร แต่เราเข้าใจอย่างนั้นล่ะ)

ขณะที่ท่านกำลังจะเดินมาถึงจุดที่เรานั่งพนมมือแต้กับใครๆ อยู่
ทุกคนต่างหมอบลง คงมีแต่เราที่กึ่งเงยหน้าเล็กน้อยด้วยอยากเห็นท่านให้ถนัด
พลางคิดในใจว่าอยู่แถวสองนี้แล้วท่านจะยังเคาะหัวเราไหมนะ
พอคิดจบ ท่านมองมานิดหนึ่ง แล้วเอื้อมมาเคาะหัวเราพอดีเลย

แถมเมื่อกลับมาถึงบ้านพักจนหายเหนื่อยแล้ว เราจึงหยิบห่อทิสชูนั้นออกมาแกะดู..
ปรากฎว่าเหรียญที่เราใส่ห่อไปจนหมดกระเป๋าก็ได้ไม่ถึงสิบบาทนั้น กลับมีมามากกว่าสิบบาทให้เราตื่นเต้นด้วยสิ
แต่ธรรมชาติของเราตั้งแต่จำความได้นั้น เรื่องอภินิหารต่างๆ เราชอบฟังมากก็จริงอยู่
แต่ลึกๆ ในใจเรารู้อยู่ว่านั่นไม่ใช่ทางที่เราจะหาสิ่งที่แหว่งหายไปจากใจของเรามาเติมเต็มให้หายว้าเหว่ร่อนเร่ทางใจได้หรอก
จึงมิได้สนใจเรื่องนี้อีก

จนกระทั่งสิบกว่าปีต่อมาเล่าเรื่องนี้ให้พี่ชายคนเดียวของเราฟัง
เขาตื่นเต้นด้วยเป็นคนสนใจและออกจะยึดในเรื่องทำนองนี้พอสมควร จึงขอไปจากเรา
ก็เป็นอันว่าภาระการเก็บห่อทิสชูยู่ยี่ในลิ้นชักหัวนอนของเราหมดไปนับแต่คราวนั้นเอง

ขอกราบหลวงพ่อคูณด้วยความนอบน้อม

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่