Tomorrow-land: The Future of Utopia or Dystopia?

"Every day is the opportunity for a better tomorrow." - Nix

Tomorrow-land: The Future of Utopia or Dystopia?

***** this contains spoil *****


ก่อนอื่นเลย ข้าพเจ้าก็ต้องขอออกตัวก่อนเช่นเคยถึงความด้อยสติปัญญาของผมและความรู้เรื่องหนัง แต่ยังริอาจมาตั้งสถานะวิพากษ์หนัง ประเด็นที่ผมจะวิพากษ์ไม่ใช่ประเด็นทางด้าน cinematography แต่ข้าพเจ้าจะวิเคราะห์ถึงสัญญะและประเด็นทางรัฐศาสตร์เสียมากกว่า

กระแสภาพยนตร์ปัจจุบันค่อนข้างสะท้อนภาพสังคมหลังการล่มสลาย หรือที่เรียกว่า dystopia เสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง divergent (2014) The Maze Runner (2014)หรือแม้กระทั่ง Tomorrow-land (2015)

เข้าประเด็นเลยละกันนะครับ ในความคิดส่วนตัวของผมแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามให้จินตนาการ (fantasy) ถึงอนาคตที่แตกต่างกัน กล่าวคือ the future ในสมัยตอนที่ Frank ยังเด็ก กับ สมัยที่เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วแตกต่างกัน ซึ่งผมจะใช้ประเด็นนี้เป็นข้อถกเถียงหลักของบทวิเคราะห์นี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของอนาคตระหว่าง the future ที่เป็น Utopia ผ่านบริบททางประวัติศาสตร์ของการแสดงสินค้า (World fair) ในปี 1964 กับ the future ที่เป็น dystopia ผ่านการวิเคราะห์สัญญะและบริบทที่หนังต้องการนำเสนอ

~ "There's a great big beautiful tomorrow. Shining at the end of every day.
There's a great big beautiful tomorrow. And tomorrow's just a dream away" ~ เพลงที่บรรเลงในฉากที่ Frank สมัยเด็กที่เดินทางไปยังงาน fair ที่ New York สามารถบรรยายคำว่า the Future ในความคิดของคนส่วนใหญ่ได้ดีในสมัยนั้น กล่าวคือ อนาคตคือการสรรสร้าง คือการคิดสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ เทคโนโลยีสมัยใหม่ อนาคตคือเบื้องหน้าของสังคมที่สดใส สิ่งประดิษฐ์ที่ดูเหมือนจะมีเพื่อความสนุกสนานอย่าง Jet Pack ที่ Frank นำไปเสนอในงาน และประโยคที่ Nix ถามว่าไอ่สิ่งของชิ้นนี้จะสรรสร้างโลกให้ดีขึ้นอย่างไร คำตอบที่ Frank ตอบคือ สร้างแรงบันดาลใจ แรงงบันดาลใจที่จะทำให้ผู้คนกล้าที่จะลงมือทำตามความฝันของตนเอง หรือพูดง่ายๆอนาคตคือความช่างฝันนั่นเอง

นอกจากนี้ถ้ามองในบริบททางประวัติศาสตร์แล้ว งาน Expo หรือ World' Fair ในปี 1964 จัดขึ้นที่ New York เป็นงาน expo ครั้งที่ 3 ของโลกภายใต้ธีมหลัก 'Peace Through Understanding' เพื่อเป็นการระลึก Man's Achievement on a Shrinking Globe in an Expanding Universe ก่อนอื่นผมขอย้อนประวัติศาสตร์งาน Expo ซักนิดนึง งาน Expo ครั้งแรก จัดขึ้นที่ London Crystal Palace ในปี 1851 ภายใต้ concept 'Industrial Revolution' เป็นการนำเสนอนวัตกรรมสมัยใหม่ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ต้องเข้าใจว่าบริบททางประวัติศาสตร์ช่วง 1800s นั้น ผ่านยุคภูมิปัญญาและการปฎิวัติอุตสาหกรรมมา เพราะฉะนั้นอุดมการณ์พื้นฐานของงาน Expo คือความต้องการสื่อว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนในอนาคต อนาคตคือสันติภาพ ดังที่ Immanuel Kant กล่าวว่า modern technology จะนำไปสู่ สันติภาพที่ยั่งยืน หรือ perpectual peace นั่นเอง

กลับมางาน Expo ที่ New York ทำไมต้องเป็นคอนเซ็ปเกี่ยวกับอวกาศ ผมคิดว่าบริบททางประวัติศาสตร์ในช่วง 1960s มันคือช่วงสงครามเย็น และก่อนหน้านั้น ในฝั่งยุโรปได้มีงาน Expo ที่ Brussel 1958 ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่รัฐมหาอำนาจประชาธิปไตยและสังคมนิยมสามารถเผชิญหน้ากันได้อย่างเต็มที่ (ในรายละเอียดผมขอไม่พูดนะครับ เพราะกลัวมันจะเลอะเทอะไป) อีกทั้งในปี 1957 โซเวียตสามารถส่งหมาไลก้าออกนอกอวกาศ และยาน Sputnik ออกนอกโลกได้ ส่งผลให้อเมริกาต้องทุ่มงบประมาณพัฒนาทางด้านอวกาศแข่งขันกับโซเวียต ซึ่งผมคิดว่านี่อาจเป็นเหตุผลทางการเมืองหนึ่งที่ทำให้งาน Expo ที่ New York อยู่บนพื้นของอวกาศและ modern technology ซึ่งสอดคล้องกับข้อถกเถียงของข้าพเจ้าว่า the future ของ Frank สมัยเด็กคือการคิดสิ่งใหม่ๆ การเกิด idea ใหม่ๆ และการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพือ make the world better place และไปสู่ perpectual peace นั่นเอง

แต่เมื่อ Frank เติบโตขึ้นและสามารถสร้าง monitor ที่สามารถทำนายอนาคตได้นั้น ส่งผลให้จินตนาการถึงอนาคตของ Frank และผู้คนใน Tomorrow-land เปลี่ยนแปลงไป เพราะ monitor เครื่องนั้นทำนายให้เห็นว่าอนาคตคือการล่มสลายของโลกคือ dystopia ไม่ใช่ utopia เหมือนที่ Frank คิดไว้ตอนเด็กๆ เพราะในแง่หนึ่ง monitor ตัวนั้นมันทำหน้าที่ผูกขาดจินตนาการถึงอนาคตให้เป็นไปในรูปแบบเดียว นั่นคือการสิ้นโลก เมื่ออนาคตคือการสูญสิ้นคือทางตัน จินตนาการจะสำคัญอีกหรือเมื่อโลกกำลังจะดับลง สิ่งที่หนังนำเสนอและผมชอบมากคือ ทุกวันนี้เราต่างถูดยัดความคิดว่าโลกกำลังจะล่มสลายเกิดสภาวะโลกร้อนและความผันผวนทางธรรมชาติ หรือแม้กระทั่งสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดเราที่สุดคือการเมือง เราเห็นสงคราม เราเห็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เป็นระบบด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ จินตนาการถึงอนาคตของเราถูก totalise ให้เป็นไปในทิศทางเดียว เราถูกทำให้คิดแบบเดียว และตกอยู่ในวังวนของการสิ้นโลก มนุษย์หมดฝัน สูญสิ้นแรงบันดานใจ ที่จะคิดสิ่งประดิษฐ์ใหม่ มนุษย์เอาแต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมตัวเองและรอวันดับสูญที่จะมาถึง เราเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการหาคำตอบว่า สภาวะแบบนั้นมันเกิดได้อย่างไร แต่เราไม่ถามเลยว่า 'How to fix it?' เราสามารถแก้ไขอะไรได้ไหม อย่างที่ Casey พยายามถามในห้องเรียนมาตลอด เหมือนที่ผมยกคำพูดของ Nix ไปต้นบทวิเคราะห์ว่า "Every day is the opportunity for a better tomorrow." ทุกๆวันเรามีโอกาสในการเปลี่ยนแปลงอนาคตทุกๆวินาที และอีกประโยคที่ Nix กล่าวอีกว่า ".. every moment there's a possibility of a better future, but you people won't believe it. And because you won't believe it you won't do what is necessary to make it a reality."

เราจะเป็นคนกำหนดอนาคตเอง หรือจะนั่งรอให้ผู้อื่นมากำหนด จงเลือกหมาป่าที่ถูกตัวนะครับ

ปล. หนังเรื่องนี้จริงๆมีประเด็นอื่นอีก แต่ผมต้องการนำเสนอประเด็น the future ซึ่งผมคิดว่าเป็น message หลักที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการนำเสนอครับ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ครับ
ปล.เรื่องแหล่งอ้างอิงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ทักแชตมาถามผมได้นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่