วรวรรณ ธาราภูมิ
เงินสดใช้หนี้ไม่พอ ก็ต้องขายของเก่ากิน แล้วมันแปลกตรงไหน
-------------------------------------------------------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ CEO กองทุนบัวหลวง
26 พฤษภาคม 2558
รมว.คลัง แจ้งว่า มีวงเงินหนี้ (พิเศษ) ที่ต้องบริหาร รวม 7.2 แสนล้านบาท (แต่เงินหลวงไม่พอแล้ว) เลยจำเป็นจะต้องออกกฏหมายพิเศษภายใน 2 เดือนนี้ เป็น พ.ร.บ. ที่ให้อำนาจกระทรวงการคลัง บริหารหนี้จากการขาดทุน 7.2 แสนล้านบาทที่ว่า
หนี้ที่เพิ่มพรวดมาอีก 7.2 แสนล้านบาทนี้ ...
- มาจากนโยบายจำนำข้าว 5.12 แสนล้านบาท
- มาจากการที่รัฐบาลชุดก่อน อยู่ดีๆ ก็หยุดจ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคมตามที่ต้องทำ (เคยได้ยินว่าประมาณกว่า 0.7 แสนล้านบาท)
- มาจากภาระการขาดทุนของ การรถไฟ และ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ กว่า 1 แสนล้านบาท (เอายอดรวม 7.2 แสนล้านบาท ลบด้วยจำนำข้าว 5.12 ล้านบาท ลบด้วยประกันสังคมกว่า 0.7 แสนล้านบาท เลยได้ยอดเดาโดยประมาณของ 2 รัฐวิสาหกิจนี้กว่า 1 แสนล้านบาท)
กฎหมายพิเศษ หรือ ร่าง พรบ.นี้ จะให้อำนาจ ก.คลัง ขายหุ้นที่ถืออยู่ เพื่อนำมาชำระหนี้ดังกล่าวให้ลดลงเร็วขึ้น (ยิ่งจบหนี้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น) โดยจะเอาหุ้นเอกชนที่ ก.คลัง ถืออยู่ แต่ไม่ได้เกิดประโยชน์ ไม่มีผลดีในแง่ของการบริหาร ออกขายในวงเงินไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท (ไม่ใช่จะขายหุ้นทั้งหมด 7.2 แสนล้านบาท ตามที่มีคนถามพี่มา)
ทั้งนี้ คุณสมหมาย ภาษี รมว.คลัง (ผู้เหน็ดเหนื่อยที่สุดในขณะนี้) ระบุว่า ....
“การขายหุ้นต้องระบุไว้ในกฎหมายชัดเจน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส รัฐบาลนี้ถึงแม้ว่าไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็ตั้งใจที่จะแก้ปัญหาให้โปร่งใส เพื่อในอนาคตที่รัฐบาลจากการเลือกตั้ง หากไม่ระบุไว้ในกฎหมายไว้อย่างชัดเจน ก็จะมีปัญหาว่า ทำถูกต้องหรือไม่”
มีคนสงสัยต่อ ถามมาอีกว่า ...
“ทำไม ก.คลัง ไม่ออกพันธบัตรมาขอกู้เงินทั้งก้อน 7.2 แสนล้านบาทแบบที่เคยทำล่ะ”
เป็นคำถามที่ดีมาก
คำตอบก็คือ ....
“หนี้ที่งอกขึ้นมา 7.2 แสนล้านบาทนี้ จะต้องใช้คืนเฉลี่ยประมาณปีละ 6.4 หมื่นล้านบาท เมื่อนำ 6.4 หมื่นล้านบาทไปรวมกับหนี้เดิมที่ต้องชำระคืนตามปกติซึ่งเป็นเงินต้น 6.1 หมื่นล้านบาท จะทำให้เป็นภาระงบประมาณรวมกว่า 1.2 แสนล้านบาท/ปี ซึ่งไม่มีปัญญาจ่ายจากงบประมาณปกติได้ กระแสเงินสดไม่พอ
เทียบกับชีวิตคนทั่วไปนะ ... คนเราเวลามีหนี้สินมากๆ ก็ต้องขวนขวายหาทางชำระคืน แต่เมื่อดูกระแสเงินสดเข้าออกแล้ว ถ้าพบว่าไม่พอ ไม่เหลือมาจ่าย เราก็ต้องหาทางขายทรัพย์สินที่เรามี ใช่ไหมล่ะ
กรณีนี้ก็เหมือนกับเรามีเงินเข้ากระเป๋า 100 บาท ต้องใช้สำหรับกินอยู่ 60 บาท ต้องจ่ายหนี้ที่ครบกำหนดทั้งต้นและดอกอีก 80 บาท เลยติดลบเงินสด 40 บาท ไอ้เจ้า 40 บาทนี้ละ ที่เราหามาจ่ายไม่ไหว จะไปลดรายจ่ายอื่นๆ ก็รัดเข็มขัดจนกินมาม่าได้แค่วันละซองแล้ว เลยต้องไปค้นหีบสมบัติ ว่าพอมีอะไรจะขายได้บ้าง
ดังนั้น คลังเขาถึงดูสินทรัพย์ในมือที่มี ว่ามีอะไรที่จะขายได้ โดยคลังเสียหายน้อยที่สุด ก็เลยเจอหุ้นที่คลังถือไว้”
.
เรื่องนี้ คลัง บอกต่ออีกว่า ต่อให้ขึ้นภาษีก็ยังไม่พอจ่าย (ห๊า ว้าย !!!) ทำให้ต้องขายสินทรัพย์ที่พอจะขายได้ เลยต้องออกกฎหมายพิเศษเพื่อให้อำนาจ ก.คลัง ขายหุ้นที่ไม่จำเป็น จะได้มีเงินเพิ่มเติมมาใช้หนี้
เข้าใจหรือยัง
ในการขายหุ้นประมาณ 1 แสนล้านบาทนั้น คลังเขาจะเน้นการขายหุ้นที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ และไม่ค่อยก่อให้เกิดรายได้เป็นหลัก จะแตะหุ้นในตลาดให้น้อยที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบกับหุ้นในตลาด และไม่ได้เกี่ยวกับการแปรรูปหรือไม่แปรรูปอะไรเลยสักนิดเดียว
.
อย่างไรก็ดี ในการขายหุ้นจำนวนมากมายนั้น ปกติแล้วเขาไม่ขายกันในตลาดหรอก จะเป็นการตกลงแบบ Big Lot นอกตลาด ไม่งั้นหากตลาดรองรับมากๆ ไม่ได้ในไม่กี่ไม้ หุ้นจะตกลง คนที่กระทบนอกจากจะเป็นคนที่ลงทุนในหุ้นนั้นแล้ว ก.คลังเองที่ยังขายหุ้นนั้นๆ ในตลาดไปไม่หมด (เพราะมีเยอะ) ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย กลายเป้น ซวยที่สุดในจุดที่ยืน (แซวน้องแพทหน่อย)
จึงเชื่อว่าเขาจะทำ Big Lot ... ไม่ได้เทขายในตลาดหรอก
นอกจากนี้ หุ้นบางตัว ก็อาจจะมีผู้สนใจ Take Over เพื่อเอาไปรวมกิจการของตนให้โตแบบก้าวกระโดดก็ได้ ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดใดที่หุ้นจะตกเพราะข่าวนี้
"CEO กองทุนบัวหลวง" พูดถึงคลังไทย ถังแตก ขายของเก่ากิน
เงินสดใช้หนี้ไม่พอ ก็ต้องขายของเก่ากิน แล้วมันแปลกตรงไหน
-------------------------------------------------------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ CEO กองทุนบัวหลวง
26 พฤษภาคม 2558
รมว.คลัง แจ้งว่า มีวงเงินหนี้ (พิเศษ) ที่ต้องบริหาร รวม 7.2 แสนล้านบาท (แต่เงินหลวงไม่พอแล้ว) เลยจำเป็นจะต้องออกกฏหมายพิเศษภายใน 2 เดือนนี้ เป็น พ.ร.บ. ที่ให้อำนาจกระทรวงการคลัง บริหารหนี้จากการขาดทุน 7.2 แสนล้านบาทที่ว่า
หนี้ที่เพิ่มพรวดมาอีก 7.2 แสนล้านบาทนี้ ...
- มาจากนโยบายจำนำข้าว 5.12 แสนล้านบาท
- มาจากการที่รัฐบาลชุดก่อน อยู่ดีๆ ก็หยุดจ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคมตามที่ต้องทำ (เคยได้ยินว่าประมาณกว่า 0.7 แสนล้านบาท)
- มาจากภาระการขาดทุนของ การรถไฟ และ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ กว่า 1 แสนล้านบาท (เอายอดรวม 7.2 แสนล้านบาท ลบด้วยจำนำข้าว 5.12 ล้านบาท ลบด้วยประกันสังคมกว่า 0.7 แสนล้านบาท เลยได้ยอดเดาโดยประมาณของ 2 รัฐวิสาหกิจนี้กว่า 1 แสนล้านบาท)
กฎหมายพิเศษ หรือ ร่าง พรบ.นี้ จะให้อำนาจ ก.คลัง ขายหุ้นที่ถืออยู่ เพื่อนำมาชำระหนี้ดังกล่าวให้ลดลงเร็วขึ้น (ยิ่งจบหนี้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น) โดยจะเอาหุ้นเอกชนที่ ก.คลัง ถืออยู่ แต่ไม่ได้เกิดประโยชน์ ไม่มีผลดีในแง่ของการบริหาร ออกขายในวงเงินไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท (ไม่ใช่จะขายหุ้นทั้งหมด 7.2 แสนล้านบาท ตามที่มีคนถามพี่มา)
ทั้งนี้ คุณสมหมาย ภาษี รมว.คลัง (ผู้เหน็ดเหนื่อยที่สุดในขณะนี้) ระบุว่า ....
“การขายหุ้นต้องระบุไว้ในกฎหมายชัดเจน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส รัฐบาลนี้ถึงแม้ว่าไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็ตั้งใจที่จะแก้ปัญหาให้โปร่งใส เพื่อในอนาคตที่รัฐบาลจากการเลือกตั้ง หากไม่ระบุไว้ในกฎหมายไว้อย่างชัดเจน ก็จะมีปัญหาว่า ทำถูกต้องหรือไม่”
มีคนสงสัยต่อ ถามมาอีกว่า ...
“ทำไม ก.คลัง ไม่ออกพันธบัตรมาขอกู้เงินทั้งก้อน 7.2 แสนล้านบาทแบบที่เคยทำล่ะ”
เป็นคำถามที่ดีมาก
คำตอบก็คือ ....
“หนี้ที่งอกขึ้นมา 7.2 แสนล้านบาทนี้ จะต้องใช้คืนเฉลี่ยประมาณปีละ 6.4 หมื่นล้านบาท เมื่อนำ 6.4 หมื่นล้านบาทไปรวมกับหนี้เดิมที่ต้องชำระคืนตามปกติซึ่งเป็นเงินต้น 6.1 หมื่นล้านบาท จะทำให้เป็นภาระงบประมาณรวมกว่า 1.2 แสนล้านบาท/ปี ซึ่งไม่มีปัญญาจ่ายจากงบประมาณปกติได้ กระแสเงินสดไม่พอ
เทียบกับชีวิตคนทั่วไปนะ ... คนเราเวลามีหนี้สินมากๆ ก็ต้องขวนขวายหาทางชำระคืน แต่เมื่อดูกระแสเงินสดเข้าออกแล้ว ถ้าพบว่าไม่พอ ไม่เหลือมาจ่าย เราก็ต้องหาทางขายทรัพย์สินที่เรามี ใช่ไหมล่ะ
กรณีนี้ก็เหมือนกับเรามีเงินเข้ากระเป๋า 100 บาท ต้องใช้สำหรับกินอยู่ 60 บาท ต้องจ่ายหนี้ที่ครบกำหนดทั้งต้นและดอกอีก 80 บาท เลยติดลบเงินสด 40 บาท ไอ้เจ้า 40 บาทนี้ละ ที่เราหามาจ่ายไม่ไหว จะไปลดรายจ่ายอื่นๆ ก็รัดเข็มขัดจนกินมาม่าได้แค่วันละซองแล้ว เลยต้องไปค้นหีบสมบัติ ว่าพอมีอะไรจะขายได้บ้าง
ดังนั้น คลังเขาถึงดูสินทรัพย์ในมือที่มี ว่ามีอะไรที่จะขายได้ โดยคลังเสียหายน้อยที่สุด ก็เลยเจอหุ้นที่คลังถือไว้”
.
เรื่องนี้ คลัง บอกต่ออีกว่า ต่อให้ขึ้นภาษีก็ยังไม่พอจ่าย (ห๊า ว้าย !!!) ทำให้ต้องขายสินทรัพย์ที่พอจะขายได้ เลยต้องออกกฎหมายพิเศษเพื่อให้อำนาจ ก.คลัง ขายหุ้นที่ไม่จำเป็น จะได้มีเงินเพิ่มเติมมาใช้หนี้
เข้าใจหรือยัง
ในการขายหุ้นประมาณ 1 แสนล้านบาทนั้น คลังเขาจะเน้นการขายหุ้นที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ และไม่ค่อยก่อให้เกิดรายได้เป็นหลัก จะแตะหุ้นในตลาดให้น้อยที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบกับหุ้นในตลาด และไม่ได้เกี่ยวกับการแปรรูปหรือไม่แปรรูปอะไรเลยสักนิดเดียว
.
อย่างไรก็ดี ในการขายหุ้นจำนวนมากมายนั้น ปกติแล้วเขาไม่ขายกันในตลาดหรอก จะเป็นการตกลงแบบ Big Lot นอกตลาด ไม่งั้นหากตลาดรองรับมากๆ ไม่ได้ในไม่กี่ไม้ หุ้นจะตกลง คนที่กระทบนอกจากจะเป็นคนที่ลงทุนในหุ้นนั้นแล้ว ก.คลังเองที่ยังขายหุ้นนั้นๆ ในตลาดไปไม่หมด (เพราะมีเยอะ) ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย กลายเป้น ซวยที่สุดในจุดที่ยืน (แซวน้องแพทหน่อย)
จึงเชื่อว่าเขาจะทำ Big Lot ... ไม่ได้เทขายในตลาดหรอก
นอกจากนี้ หุ้นบางตัว ก็อาจจะมีผู้สนใจ Take Over เพื่อเอาไปรวมกิจการของตนให้โตแบบก้าวกระโดดก็ได้ ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดใดที่หุ้นจะตกเพราะข่าวนี้