เมื่อพ่อฉันเป็นมะเร็ง + กระดูกข้อเท้าเคลื่อน กับการเรียน ปีสุดท้าย และ ผลการเรียน มผ. ที่ฉันไม่ได้ตั้งใจ

เราขอมาแชร์อุทาหรณ์ ประสบการณ์ ความละเลย หรืออะไรก็แล้วแต่ของเราเอง ... เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อ 2 ปีที่แล้วเราเรียนอยู่ในสถาบันแห่งหนึ่ง
ในจังหวัดนนทบุรี (ขอไม่เปิดเผยชื่อ) ในระดับ ปวช.3 พอใกล้จะจบมีการประชุมผู้ปกครอง ที่ปรึกษาเราก็แจงเรื่องการเรียน ปวส. พ่อเราก็เลยกลัวไม่มีที่เรียน
เช้าวันต่อมาเลยให้เงินเราไปสมัครเรียนไว้ก่อน ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี จนวันเปิดเทอม ปวส. เราก็เรียนปกติ เทอมแรกผ่านไปด้วยดี แต่ตอนนั้นพ่อของเรา
เข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นเลย ไม่ว่าอาการปวดท้องแบบไม่มีสาเหตุ หรือ การเจ็บข้อเท้าแบบไม่มีเหตุผล หมอก็สันนิฐานว่า พ่อเราเป็นแผลในกระเพาะ กับ เอ็นข้อเท้าอักเสบ รักษาโดยการกินยา คุมน้ำหนัก และกายภาพบำบัด
- เดือนมีนา ทางโรงพยาบาลที่พ่อเรารักษา (ขอแทนว่า โรงพยาบาลที่ 1) เลยส่งตัวไปรักษา อาการปวดท้อง ที่โรงพยาบาลในตัวกรุงเทพแห่งนึง(ขอแทนว่า โรงพยาบาลที่ 2) พอไปถึงคุณหมอก็ตรวจและนัดพ่อเรามาทำการส่องกล้องและตัดชิ้นเนื้อมาดู ว่าเป็นอะไร (วันที่พ่อไปส่องกล้องเราไม่ได้ไป แม่ไปแทนเพราะ ต้องค้างคืน) พอกลับมาถึงบ้านแม่ก็นัดให้เราหยุดเรียนพาพ่อไปฟังผลตรวจเราก็ตกลงไป  
- เดือนเมษา วันที่พ่อเราต้องไปฟังผล วันนั้นเราพาน้องสาวเราไปด้วย พอถึงที่โรงพยาบาล เราก็รอคิวจนถึงคิวพ่อ ในห้องตรวจคุณหมอสอบถามอาการปกติแล้วก็บอกว่าต่อไปนี้ขอให้พ่อเราดูแลตัวเองเยอะๆจะทานอะไรขอให้ทานอาหารที่ย่อยง่าย แล้วบอกว่า "พ่อเราเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร" พ่อเรานี่หน้าเสียไปเลย ส่วนเราพยายามคุมสติ ฟังที่หมอพูด ถึงเรื่องผ่าตัดมะเร็ง พออกจากห้องตรวจเรารีบโทรไปบอกแม่ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนความตายของพ่ออยู่ตรงหน้า คิดว่าเราจะทำไงต่อไป ถ้าไม่มีพ่อ แม่ต้องลำบากแน่ เรายังทำงานไม่ได้ น้องก็ยังเด็ก จนแม่บอกว่าให้หยุดร้องแล้วอย่าร้องให้พ่อเห็น พ่อต้องการกำลังใจที่ดี เราเลยหยุดร้อง รีบเข้าไปหาพ่อ รับยาแล้วกลับบ้าน พอถึงบ้าน เราบอกพ่อว่า หนูไม่รู้ว่าพ่อจะต้องผ่าตัดเมื่อไหร่ ผ่าออกมาพ่อจะเหมือนเดิมมั้ย พ่อจะทรุดหรือป่าว หนูจะไปโรงเรียนไปขอย้าย ไปเรียนวันอาทิตย์ ย้ายสถานที่เรียนไปเรียนศูนย์ใหญ่ของสถาบัน ที่โรงเรียน เขาบอกว่าให้เราทำเรื่องย้ายกับทางศูนย์ใหญ่ แล้วกลับมาทำเรื่องลาออกจากนี่ พอเราไปศูนย์ใหญ่ เขาบอกว่า ให้เราไปคุยกับทางโรงเรียนให้ส่งเรื่องมา แล้วบอกให้เรารอ เราก็รอจนเปิดเทอม
- กลางเดือน พฤษภาคม โรงเรียนเราเปิด (ปวส.2 เทอม 1) เราก็มาทำเรื่องย้ายตามที่ฝ่ายทะเบียนบอก แต่กลับได้คำตอบมาว่าให้เราไปถามศูนย์ใหญ่ ก่อน บลาๆ จนสิ้นเดือน พฤษภา ทางศูนย์ใหญ่ให้คำตอบเราว่า ถ้าจะย้ายไปเรียนวันอาทิตย์ ต้องเสียค่าหน่วยกิต จำนวน 3 หน่วยกิต 6 วิชา รวมเป็นเงิน 8100 บาท เรานี่เงิบไปเลย มาคุยกับแม่ แม่เลยให้เราทนเรียนที่เดิมแล้วพยายาม เรียนให้จบเทอมแล้วย้าย เราก็ทนเรียนมาตลอด แต่ปีสุดท้ายเราต้องทำโปรเจคเราไม่อยากถ่วงใครเลยทำคนเดียว ตลอดเทอมที่ผ่านมา เราหยุดเรียน พาพ่อไปหาหมอตลอด จนวันนึงพ่อดันเจ็บข้อเท้าอย่างหนัก นอนอยู่โรงพยาบาลที่ 1 ตั้งแต่บ่าย เลิกเรียนเราก็รีบไปหา จนรู้จากหมอว่า พ่อโดนฉีดยาไป 2 เข็มแล้วแต่อาการไม่ดีขึ้นเลย เราเลยเอาน้ำอุ่นชุบกับผ้ามาคุมเท้าเอาไว้ให้ความอุ่นมันบรรเทาอาการปวด จนพ่อพอได้ แม่เราให้พ่อกลับบ้านทันที เช้าต่อมาแม่พาพ่อไปรักษา ณ โรงพยาบาลที่ 2 หมอจับเอ็กซเรย์จนรู้ว่า กระดูกข้อเท้าพ่อมีอาการร้าวแล้วเคลื่อน ให้แม่เราจองคิวผ่าตัดข้อเท้าทันที (ได้คิวเร็วสุด 14 สิงหาคม 57)  เราตกลงกับแม่ว่าเราจะไปเฝ้าเอง ส่วนเรื่องเรียนเราจะมาตามการบ้านและชิ้นงานเอา หวังว่าเขาคงไม่ใจร้ายหรอกเรียนกับเขามาตั้ง 4-5 ปี
- เดือนสิงหา เราบอกกับเพื่อนในกลุ่มเราไว้ว่าเราจะต้องหยุดเรียนประมาณ 1 อาทิตย์ไปเฝ้าพ่อที่โรงพยาบาล และลาอาจารย์บางท่านไว้แล้ว รวมถึงที่ปรึกษาด้วย แต่ทางโรงเรียนเรามีการติด วีเน็ต ใครขาดจะตกกิจกรรม แต่เราต้องไปเฝ้าพ่อ ตลอดเวลาที่เราอยู่โรงพยาบาล เราคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาตลอดเวลา ซึ่งที่ปรึกษา พยายามให้เราสลับกับแม่มาเรียนบ้าง หรือ ไม่ก็ให้น้องไปเฝ้าบ้าง แต่แม่เราโดนเซ็นใบเตือนจากการหยุดเยอะไปแล้ว ถ้าแม่ลาอีกเขาต้องไล่แม่ออกแน่ แถมน้องเราเพิ่ง 11 ขวบมาเฝ้าไม่ได้ เราเลยขาดเรียนไป 1 อาทิตย์เต็ม (แต่เราก็ส่งภาพพ่อของเราที่ผ่าตัดมาให้เขาดูตลอดว่าเราไม่ได้โกหก อีกอย่างที่เราหยุดเยอะ เพราะ พ่อเราไข้ขึ้นตลอดเวลาจากการผ่าตัด และ เกร็ดเลือดพ่อเราก็ต่ำ) กลับมาเราก็ตามงาน การบ้านจนสุดความสามารถไหนจะรีบทำโปรเจคส่ง (เพื่อนไปบท 3 บท 4 เรายังอยู่บท 1) จนทำให้เราละเลยการส่งใบลา ทั้งที่ใบรับรองแพทย์ของพ่ออยู่กับเราตลอดเวลา
- เดือน กันยา เพื่อนเราบางคนผ่านโปรเจคเกือบทั้งเล่มแล้วแต่เรายังทำได้แค่ บท 2 -3  วันสอบกลางภาคมาถึง เราก็สอบๆ คะแนนสอบออกมานี่ อย่าได้พูดเลย สุดจะบรรยาย แต่เราก็เข้าใจนะ ขาดเรียนขนาดนี้ จะสอบได้เยอะได้ยังไง จนวันสอบปลายภาคเราให้เพื่อนเราช่วยติว จนการสอบพ้นไป พอถึงวันประกาศผลสอบ สิ่งที่เราเห็นในกระดาษ A4 เขียนบนหัวเป็นชื่อวิทยาลัยกับตราแสนสง่า แจ้งว่าเราตกกิจกรรมและชมรม (แม่กับพ่อ พอรู้เรื่องถึงกับร้องไห้ บอกว่า เขาเป็นสาเหตุทำให้เราตก เพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยเรียนตกเลย เราเลยตีหน้าชื่นบอกว่า ตกบ้างจะได้รู้ว่าเป็นไง ผ่านทุกเทอม เดี๋ยวประสบการณ์การเรียนไม่มี) เราเลยถามกับที่ปรึกษาว่าตกได้ยัง เราได้คำตอบมาว่า เราไม่เข้าติว วีเน็ตทำให้เราตกกิจกรรมซึ่งมันพ่วงกับกิจกรรมชมรมไปด้วย (เราเข้าชมรมทุกคาบและแจ้งกับอาจารย์ประจำชมรมไว้เรียบร้อยว่าไปเฝ้าพ่อ เพราะ พ่อป่วย ) เอาง่ายๆคือ ถ้าตกกิจกรรม ชมรมต้องตกด้วย ถ้าตกชมรม กิจกรรมต้องตกด้วย เราไปทวงถามกับ ผช.ฝ่ายวิชาการพร้อมยื่นใบรับรองแพทย์ให้เขาดู ปรากฏว่า เราเห็นได้เห็นความใจดำของ สถาบันแห่งนี้ขึ้นมาทันตาเห็นเลย ที่ผ่านมาไม่ว่าเขาจะบ่น เรื่องเล็กๆน้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นใส่คอนแทค ปล่อยผม ไม่ยอมเกล้าผม แต่เราก้ยังไม่ค่อยอะไร แต่ตอนนี้เขาบอกเราว่า เขาตัดเกรดไปแล้ว เขาดึงเกรดเราไม่ได้ เราต้องแก้อย่างเดียว (ยุติธรรมดี ! เราก็เลยก้มหัวยอมจ่ายเงินซ่อมกิจกรรมจำนวน 1,350 บาทแล้วโทษตัวเองมาตลอดว่า โง่ลืมส่งใบลาทำไมละ ถ้าไม่มัวตามงาน ตามโปรเจค ป่านนี้ไม่ต้องมาเสียเงินหรอก) แล้วไปทำจิตอาสากับป้าๆ ในบ้านพร้อมถ่ายรูปอาการเจ็บป่วยของพ่อเรามาให้เขาดู
- เดือนตุลา โค้งสุดท้ายของโปรเจค เรารีบทำไม่ได้หลับไม่ได้นอน บางวันถึงกับอาเจียน ไข้ขึ้น แต่เราก็ต้องทำ จนเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกับเราผ่านกันหมดแล้วเหลือเราคนเดียว กับเพื่อนๆ สมัย ปวช. ที่เรียนวันอาทิตย์ จนเกือนสิ้นเดือนเราปิดเล่มได้พอดี
- เดือนพฤศจิกา ประมาณต้นเดือนเราพาพ่อไปหาหมอเรื่องมะเร็ง แล้วเพิ่งรู้คุณหมอเองเข้าใจผิด คิดว่าตอนที่พ่อเราผ่าข้อเท้า คือผ่าตัดมะเร็งจึงรีบทำการนัดคิวกับคุณหมออีกคนในทีมผ่าตัด (ได้คิว 27 พฤศจิกายน 2557) เราบอกแม่อีกเหมือนเดิมว่าเราจะเฝ้าเอง ให้แม่ดูแลน้องที่บ้าน แม่เป็นห่วงเรื่องการเรียนของเรามากกลัวเราจะเรียนไม่รู้เรื่อง แต่เราก็บอกไปแล้วว่า เรียนให้รุ้เรื่องอะมีเวลาอีกเยอะ แต่พ่ออ่ะ อยุ่กับเราได้อีกเยอะหรือป่าวก็ไม่รู้ ผ่าตัดครั้งนี้เสี่ยงมาก เพราะ พ่อมีโรคประจำตัวเยอะ ทั้งเบาหวาน ตับ เกร็ดเลือดต่ำ ซึ่งหมอกลัวว่าจะช๊อคระหว่างการผ่าตัด แถมจุดที่พ่อเป็นมันมีต่อมซึ่งเชื่อมอยู่ระหว่างกระเพาะกับตับค่อนข้างสำคัญ ต้องละเอียดมากในการผ่าตัด ถ้าเกิดไรขึ้นมาระหว่างการผ่าตัดคนไข้จะช๊อคได้ แม่เราก็ร้องไห้ เราทำได้แค่ตั้งสติ ห้ามร้องไห้ ถ้าเราใจเสียแม่เราใจจะเสียมากกว่า ยิ่งน้องเราที่เพิ่งมารู้ว่าพ่อเป็นอะไร ก็เอาแต่ร้องไห้ (ตอนแรกตัดสินใจที่จะไม่บอกน้องแล้ว ป้าบอกให้แม่บอกเพราะ ถ้าผ่าแล้วไม่หาย ผลคือมันจะลาม แล้วก็จะ.....เร็วขึ้น)
----จนถึงวันผ่า มีคนมารับถึงห้องประมาณ 8 โมง ใช้ระยะเวลาผ่านตัด ประมาณ 9 - 10 ชม.ตอนนั้น แม่ ป้า กับน้องมารอพ่อที่ห้องแล้ว
19.09 พ่อมาถึงห้อง สภาพตอนนั้นคนเป็นลูกแทบทรุด พ่อกลับมาจากห้องผ่าตัดโดยมีเครื่องช่วยหายใจ สายน้ำเกลือ สายเลือด สายปัสสาวะ เรานี่ร้องไห้เลย พอเวรเปลเอาพ่อขึ้นเตียงแล้วพยาบาลจัดแจงของในร่างกายเรียบร้อยแล้วเราก็เข้าไปดู พ่อก็ลืมตาเอามือมาจับแขนเราไว้ว่า พ่อหายแล้วนะ พ่อเอามันออกไปแล้ว อย่าร้องไห้นะ พ่อยังไม่ตาย แล้วก็หลับไป ป้าเรานี่เป็นลมเลยเราก็เลยหยุดร้องไห้ เอายาดมมาให้ป้าดม แต่การผ่าตัดก็ผ่าไปด้วยดี ครั้งนี้เราอยู่โรงพยาบาลถึง 3 อาทิตย์ ----
- กลางเดือนธันวา เราไม่มีสิทธิ์สอบกลางภาค เพราะ เรายังไม่ได้ซ่อมชมรม ที่ตก เราเลยไปถามเขา และได้คำตอบมาว่า ให้เราทำ 4 อย่างนี้ถึงจะผ่าน
1. ให้เราช่วยงานฝ่ายต่างๆ ฝ่ายละ 8 ชม.
2. ให้เราช่วยงานแผนกต่างๆ แผนกละ 8 ชม
3. ให้เราทำจิตสาธารณะ 6 ที่
4. ให้เราช่วยงานแม่บ้าน
ซึงเราเรียน 8.30 - 16.00 , 16.30 , 17.00 ซึ่งบางครั้ง มันทำไม่ได้จิงๆ เราเลยไปขอเขาทำจิตอาสา 12 ที่ วันหยุด เราจะรีบตื่นมาทำงานบ้าน
หาข้าวให้พ่อกิน แล้วรีบออกไปทำจิตอาสา พอกลางวันก้รับมาหาข้าวให้พ่อ แล้วออกไปทำจิตอาสา จนครบแล้วเอารูปที่ทำไปล้างแล้วส่งกับ ผช.ฝ่ายวิชาการจนเสร็จ
- เดือนธันวาคม 57 เรามีสิทธิ์เข้าสอบกลางภาค โดยที่ผลการเรียนไม่เป็น มผ. คะแนนออกมา ก็ปานกลางพอให้พ่อกับแม่ไม่คิดมากได้
- เดือนมกราคม 58 เราซุ่มซ่ามจนได้เป็นตัวแทน ไปแข่งกล่าวสุนทรพจน์ได้เหรียญเงินกลับมา
- เดือนกุมภาพันธ์ 58 เราได้สอบปลายภาค แบบไร้มลฑิน
- เดือนมีนาคม 58 เราได้อนุมัติจบรอบแรก พร้อมเพื่อน แล้วขึ้นรับใบประกาศนียบัตร พร้อมเพื่อน

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เราอยากบอกว่า ชีวิตที่ผ่านมา เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นแบบนี้เลย แต่เมื่อเป็นแล้ว เราทำได้แค่ยอมรับมันแล้วแก้ต่อไป
มีบางครั้งที่เราทะเลาะกับพ่อแม่ แล้วพูดขึ้นมาว่า ก็พ่ออ่ะทำให้หนูตก ทำให้หนูพลาด ทำให้เกรดหนูล่วง แต่พอมาคิดแล้ว ก็คิดได้ว่า เออ ! ความเจ็บป่วยมันเลื่อนการเป็นเองไม่ได้ เขาก็คงไม่ตั้งใจเป็นหรอก อีกอย่างหน้าที่ของลูกคือการดูแลพ่อกับแม่ ทำได้แค่ เข้าไปขอโทษ พ่อกับแม่ เท่านั้น
ทุกวันนี้เราทำได้แค่ ดูแลพ่อ ช่วยแม่ทำงานบ้าน พอถึงเวลาก็พาพ่อไปหาหมอ
เออ ! เราลืมบอก 8 เมษา ที่ผ่านมาเราก็ไปเฝ้าพ่อที่โรงพยาบาลมาเพราะ หมอให้พ่อไปผ่าข้อเท้าใหม่ เพราะพ่อเราเดินบ่อยๆ อะไรก็ไม่รุ้เลยหลุด
การเรียนของเรา ๆ ก็เรียนใน มหาลัยรองรับของโรงเรียน เรียนวันอาทิตย์วันเดียว ส่วนวันธรรมดา เราต้องตื่นเช้ามาทำงานบ้านหาข้าวให้พ่อกิน
ช่วยประคองพ่อตอนพ่อจะไปอาบน้ำ แล้วก็ดูแลเอาใจใส่พ่อ ดูแลบ้าน  
ส่วนเรื่องการรักษาของพ่อ มะเร็งที่ตัดไป ใช้เวลา 5 ปี ข้อเท้าก็ประมาณ 2-3 เดือน
# ฟ้าหลังฝนย่อมดีเสมอ # ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่ให้จบมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่