Tempy Movies Review รีวิวหนัง: P'tit Quinquin {Bruno Dumont}, 2014


งานด้านภาพประกอบกับเนื้อเรื่องที่เน้นจับจ้องพินิจพิเคราะห์ผู้คนชายขอบในฝรั่งเศส ชวนให้เรานึกไปถึง Hors Satan (2011) ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญมาที่ P'tit Quinquin ก็สร้างโดยผู้กำกับคนเดียวกัน เพียงแต่นำเสนอด้วยนำ้เสียงคนละด้าน เพราะ Hors Satan ใช้ลีลาที่ดุดันว่าด้วยเรื่องสิทธิสตรีแบบจัดจ้าน ภาพการร่วมเพศที่โจ่งแจ้ง การกดขี่ทางเพศ สิ่งเหล่านี้ดูจะเป็นลายเซนเฉพาะตัวของดูมองต์ แต่กลายเป็นว่าใน P'tit Quinquin เขาเล่าด้วยอารมณ์ขันแต่ก็บาดลึกในแง่ของเนื้อหา

องค์ประกอบหลายๆอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระบบไม่ว่าจะเป็นชื่อตัวละคร นิสัยใจคอ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไปจนถึงสถานที่ถ่ายทำก็มีรายละเอียดชวนตีความอย่างหลากหลาย

ตัวเอกที่เป็นเด็ก P'tit Quinquin หรือแปลว่าเจ้าเด็กน้อย มีความสัมพันธ์รักใคร่กับสาวน้อยรุ่นพอๆกัน นามว่า อีฟ ซึ่งทั้งคู่ก็ดูเมหือนจะไปคล้องจองกับ อดัมกับอีวา ในสวนอีเดน ผู้เป็นต้นกำเนิดของมนุษยชาติ เช่นเดียวกับ เจ้าเด็กน้อยและอีฟ ที่เปรียบเสมือนคนรุ่นใหม่ของยุคสมัยที่กำลังจะมาถึง
ชื่อของตัวเอกที่เป็นนายตำรวจผู้มาสือคดีแปลกประหลาดในหมู่บ้านที่ P'tit Quinquin และอีฟอาศัยอยู่ ก็ดูจะมีนัยแฝงเร้น Van der Weyden ที่ดูจะถูกตั้งชื่ออย่างจงใจให้ไปพ้องกับ Rogier van der Weyden นักวาดภาพในยุคสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาในแถบเนเธอร์แลนด์ ธีมภาพวาดของเขา (และคนอื่นๆ ในยุคนั้น) มักมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับศาสนจักร

เนื้อหาของหนังและวิธีการเล่าเรื่อง อาจมีความคล้ายคลึงกับ Hors Satan ทั้งการที่ผู้คนโดยเฉพาะผู้ชายจะมีบุคลิกแปลก เช่น นายตำรวจที่มีอาการทิค และชอบยิงปืนขึ้นฟ้าเป็ว่าเล่นกับลูกน้องที่ชอบขับรถประหนึ่งว่าเขาเป็นนักแข่ง P'tit Quinquin เองก็เหมือนจะติดนิสัยความก้าวร้าวมาจากพ่อ ที่วันๆ เอาแต่ประคบประหงมม้าแข่ง (เสียยิ่งกว่าคนในครอบครัว)

ผู้หญิงเองในหนังก็มักจะมีสิ่งคล้ายกันคือ มีสภาวะพึ่งพิงผู้ชายและตกอยู่เป็นเบี้ยล่าง (ดูมองต์ชอบใช้ผู้หญิงหน้าตาดีมารับบท อาจแทนถึงความสดใส ซึ่งขัดแย้งกับความป่าเถื่อนของผู้ชาย) หรือจะพูดให้ง่ายก็คือ หญิงร้ายชายเลว ทั้งคู่ต่างปล่อยให้ “อิด” (สัญชาตญาณดิบ แรงขับทางเพศ) เป็นนายในการดำเนินชีวิต ซึ่งธีมนี้เป็นประเด็นหลักใน Hors Satan แต่ใน P'tit Quinquin เอามาเล่าเป็นองค์ประกอบหนึ่ง ม้าในเรื่องดูเหมือนจะเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์สดใสของสตรี

ส่วนสิ่งที่เล่าเพิ่มเข้ามาใน P'tit Quinquin นอกจากปัญหาการเหยียดเพศแล้ว ก็มีเรื่องการเหยียดสัญชาติ อย่างเห็นได้ชัดว่าแทบทุกตัวละคร จะดูถูกแรงงานชาวแอฟริกันที่อพยพมา ในหนังยังพูดถึงความอึดอัดของพวกเขา และแสดงให้เห็นผลพวงจากการย่ำยีของคนผิวขาวอย่างร้ายแรงอีกด้วย
ดูมองต์เองก็เป็นคนไม่ยี่หระต่อวงการศาสนา เขาวิพากย์คริสตศาสนาแบบไม่เหลือชิ้นดี ภาพพิธีงานศพในโบส์การเป็นสถานบันเทิงให้คนดูได้หัวเราะ เช่นเดียวกับในยุคเรเนซองส์ที่เริ่มมีการตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในศาสนจักร หนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน

โลเคชั่นเองก็มีสิ่งที่น่าสนใจ ในหนังมีบังค์เกอร์สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ตอบรับกับ P'tit Quinquin ซึ่งชื่อหนังที่แม้จะเป็นชื่อเพลงกล่อมนอนของเด็ก แต่ก็เป็นเพลงสวนสนามในสมัยสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย รวมทั้งยังมีการจัดเฉลิมฉลองวันชาติ (วันบัสตีย์) ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วแต่เป็นตราบาปที่สร้างความชอกช้ำให้กับจิตใจของชาวฝรั่งเศส ดังคำพูดของอีฟ ตอนไปเล่นแถวบังค์เกอร์ "Let's split. The Devil Lives Here.”

ตัวหนังเองก็ยังมีการคารวะ แต่ก็ไม่ใช่เพียงแค่การใส่ฉากของบรมครูลงไปแบบโก้ๆ ให้หนังดูมีราคา หากแต่ยังคงไว้ซึ่งความงามทางศิลปะ ฉากเฮลิคอปเตอร์ในพาร์ทแรก เด็กๆตื่นเต้นและขี่จักรยานตามไป พร้อมๆกัน เฮลิคอปเตอร์ถูกเรียกมาเพื่อยกซากวัวที่ตายในบังค์เกอร์ ซึ่งก็ไปคล้ายๆ กับฉากเริ่มใน La Dolce Vita (1960) ของเฟลินี่ วัวที่ปกติเป็นสัตว์กินพืชแต่ในเรื่องกลับเป็นสัตว์ที่กินซากศพคน เราเองคิดว่านี่อาจหมายถึงยุคสมัยที่เราอยู่ ยุคที่พระเจ้ากินเลือดเนื้อคน ใน La Dolce Vita เองก็มีเนื้อหาสำรวจตรวจสอบสังคมอิตาลี่หลังสงครามโลก ซึ่งก็เข้ากับธีม P'tit Quinquin อย่างดิบดี
โลเคชั่นที่เป็นหมู่บ้านริมชายทะเลประกอบกับมีธีมตลกผู้คนแปลกๆ ก็แอบนึกถึง Mr. Hulot's Holiday (1953) ของตาติ ที่มีเนื้อหาวิพากย์บ้านเมืองฝรั่งเศสในยุคทุนนิยม

ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ https://www.facebook.com/survival.king
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่