ผลของการช่วยเหลือคน “จนตรอก” แค่อยากได้เพื่อน ผลลัพธ์กลับมา ... สาหัสเลย

-    คนที่หนีอย่างหัวซุกหัวซุน ของดอกเบี้ยร้อยละ 20   ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียววันละ 400 บาท
-    แต่ไม่ยอมจ่ายให้ผมได้วันละไม่ถึง 100 บาท ทั้งต้นและดอก
-    คนที่ป่วยเข้าโรงพยาบาลต้องผ่าตัด และกำลังจะมีปัญหาการเบิกจ่ายประกันสังคม


ผมรู้จักเขามานาน เป็นรุ่นน้องหลายปีครับ
ได้คุยกันบ้างทาง Internet เมื่อก่อน
ความผมเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อนมาก เมื่อเขาเข้าคุยกับผมก็ดีใจนะ ที่มีเพื่อนคุย เหมือนเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป
เขาก็ดีนะ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เหมือนผม
คุยกันสักระยะหนึ่งหลังจากนั้นก็ห่างกันไป
จนปลายปี 2557 ประมาณเดือน กันยายน เขา add เข้ามาใน Line  (อาจจะ @ มาทางเบอร์มือถือ)
มาบอกว่าทำธุรกิจ ร่วมกับเพื่อน เป็นร้านอาหารแนวฟิวชั่นฟู๊ด คุณภาพเหมือนโรงแรม 5 ดาว แต่จ่ายราคาสบายกระเป๋า
ผมก็รู้สึกดีนะที่ได้กลับมาคุยกันอีก และก็ดีอีกจะได้มีที่นั่งกินข้าว  ไปนั่งกินและคุยกัน เพราะไปกินที่อื่นคนเดียวมันวังเวงแฮ่ะ !!!!
หลังจากนั้นเขาก็โทรมา หรือพิมพ์ Line ระบายให้ผมฟังเรื่อย ๆ เพื่อนร่วมหุ้นทิ้งให้รับผิดชอบคนเดียว ไม่ไหวเหนื่อยมาก  บริหารคนเดียว .....โน้น นี่ นั่น สารพัด  ยอดขายไม่เข้าเป้า
ผมก็ไปเยี่ยม และอุดหนุนครับ
ไปถึงร้านก็ดูแล้ววิเคราะห์และคิดในใจทันที เขาไปไม่รอดหรอก โซนนั้น จะขายอาหารออกแนวหรูไม่ได้ เพราะเป็นโซนที่พักนักศึกษา และไม่มีที่จอดรถ (ดูจากร้านรอบข้างร้านเขา เต็มไปด้วยรถมอเตอร์ไซด์ มีกลุ่มวัยนักศึกษามานั่งกินอาหาร) ร้านเขาตกแต่งได้ระดับหนึ่ง แต่เล็ก ไม่น่านั่ง
ก็เริ่มคุยกับเขาว่าควรปรับเปลี่ยน แต่....เขามั่นใจว่าทำต่อไปได้
ต่อมาเกิดปัญหา “ไม่มีเงินหมุนเวียนในร้านเลย” (เขาจะจะโทรมาระบายร้านกำลังเปิดใหม่ ยังไม่เป็นที่รู้จัก เดี๋ยวโฆษณาในหนังสือแจกฟรี เดี๋ยวคงดีขึ้น)
เลยไปยืมร้อยละ 20 จ่ายดอกเบี้ยวันละ 400 บาท จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยไปเรื่อย ๆ เงินต้นไม่ได้จ่าย
หลังจากได้เงินมาหมุนในร้าน แค่เดือนเดียว เงินก็หมดอีก
ก็เริ่มโทรมาขอยืมเงินผม (เขาบอกว่ายืมเพื่อน ทวงเพื่อนที่ยืมของเขาไปเพื่อนก็ไม่คืน) ก็ในฐานะคนรู้จักกัน ก็ให้ยืมครับ
แต่ผมไม่สามารถให้เป็นก้อนได้หรอกครับให้ได้ 1000 – 2000 บาท เท่านั้น ผมเป็นมนุษย์เงินเดือน งินเดือนไม่มาก แต่ก็พอมีกิน
เขาบอกว่าสักสองสามวันก็ได้แล้ว   เพราะรับจัดงานเลี้ยง ถ้าได้เงินจากงานเลี้ยงแล้วจะจ่ายคืนให้พี่ทันที
บางวันโทรมาขอยืมผมอีก ผมก็บ่ายเบี่ยงว่าอยู่ที่นั่นที่นี่ไกล ๆ  ก็จะมาหาผมจนได้ เพื่อขอยืมเงิน
เมื่อยืมไปแล้ว ก็ไม่จ่ายคืนเลย  บอกว่าช่วงนี้มีรายจ่ายมากกว่ารายได้ (ค่าเงินเดือน ค่าวัตถุดิบ ค่าเช่าร้าน ค่าเช่าหอ ค่าน้ำ ค่าไฟ)
ไม่คืนผมก็หยวน ๆ ไป เพราะไม่คิดอะไรมาก ถือว่าช่วย ๆ กัน

สุดท้าย ร้านเจ๊งจริง  ประมาณเดือน พฤษจิกายน - ธันวาคม 2557

สรุปที่เขาเป็นหนี้ ดังนี้
-    ธนาคารออมสิน 100,000  บาท (กู้โดยใช้ใบรับรองเงินเดือนที่ทำงานเก่า)
-    ค่าอุปกรณ์ในร้าน ตู้เย็น แอร์ เครื่องครัวต่าง ๆ ผ่อนจากบริษัทขายเครื่องไฟฟ้า 70,000 กว่าบาท
-    เงินกู้ร้อยละ 20  จำนวน 20,000 บาท
-    ยูเมะ อีกจำนวนหนึ่ง

- เขาโดนตามทวงค่าเช่าห้องแถว และโดนพวกปล่อยกู้ร้อยละ 20 ตามล่า หนีแบบสุดจะบรรยาย (ทั้งโทรขู่สารพัด)

ผมแนะนำให้หางานทำ และย้ายไปอยู่ที่อื่นสักพักก่อน เพราะโดนร้อยละ 20 กวนบ่อยมาก
ระหว่างหางานและรองาน (ใช้เวลาหานาน เพราะคอยหลบร้อยละ 20 ด้วย) ก็ขอเงินผมใช้เรื่อย ๆ เพราะไม่มีใช้แล้ว (ผมก็ให้ 300 บ้าง 500 บ้าง ทั้งรู้ว่าไม่ได้คืน)
(ทำไมผมให้  เพราะเขาส่ง line มาด้วยข้อความน่าสงสารมาก ถ้าไม่ให้ผมก็เป็นคนใจดำสุด ๆ )
บางวันไม่มีเงินกินข้าว ก็โหยหวน มาทาง line อย่างน่าเวทนา....

จนได้งานทำที่โรงแรมแห่งหนึ่ง . ผมคิดว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ คงดีขึ้นไปตามลำดับ เพราะนายทุนร้อยละ 20 โดน คสช. จัดการ จนไม่กล้าออกมาทวง
ผมได้แนะนำให้เขาย้ายที่อยู่ เพื่อจะได้หลบพวกร้อยละ 20 เพราะดอกเบี้ยที่จ่าย มันคุ้มกับทุนที่ให้เขาไปแล้ว พวกร้อยละ 20 กลับมาอีกแน่ถ้าไม่ย้าย
-    เขาก็ไม่ย้าย ยังอยู่ที่เดิม  
- ผมกับเขาได้เจอกันบ้าง ในช่วงปีใหม่ ไปเที่ยวฉลองปีใหม่ด้วยกัน  เขาก็ได้เล่าถึงที่ทำงานใหม่ให้ฟัง โน่น นี่ นั่น ตามประสา ต่อไปอะไรคงดีขึ้นตามลำดับ ผมบอกให้เขา พยายามเคลียหนี้เดิมให้เสร็จสิ้น และเริ่มต้นเก็บใหม่ และทำตามฝัน
- ผมได้ยกตัวอย่าง เรื่องของผมให้ฟังว่า เริ่มต้นมาจาก 0 นับ 1 มา เพราะที่บ้านเป็นชาวนา และทำนาไม่ไหว เลยต้องขยันเรียน ขยันทำงาน และฟังคำสอนของคนที่หวังดีกับเรา เอามาวิเคราะห์ และทำตาม ผลมันก็ได้อย่างที่เขาเห็นคือมีหน้าที่การงานดีระดับหนึ่ง

สิ่งที่เขาทำคือ........
กลับไปทำร้านใหม่ โดยใช้ชื่อเดิม โดยมีคนชวน ร่วมหุ้นกันใหม่ (เขาไม่มีเงิน แต่เอาของจากร้านเดิมมาใช้ เลยตีว่าได้ 1 หุ้น)
กว่าผมรู้ ร้านเปิดไปเรียบร้อยแล้ว
เปิดร้านใหม่ได้ไม่กี่วัน ... โดนกลุ่มทุนร้อยละ 20 จับ ไปโรงพัก (ตอนนั้นผมไม่รู้กฎหมาย ทวงหนี้ ทำแบบนี้ไม่ได้)

เขาโทรบอกผมทันทีว่า “โดนจับมาโรงพักเรื่องเงินกู้ร้อยละ 20 ”
   
โอดครวญ ขอความช่วยเหลือกับผม ร้านกำลังเปิดใหม่ ถ้าเป็นคดีร้านเสียชื่อเสียง แน่  ๆ
พอบอกว่าผมจะไปหาที่โรงพัก
เขาก็บอกว่า ถูกปล่อยตัวมาแล้ว มาที่ร้านแล้ว
-โดยลงบันทึกประจำวันไว้ว่าจะต้องหาเงินให้เขาภายใน 7 วัน ถ้าไม่เช่นนั้น จะโดนจับอีก พยายามอ้อนวอนให้ผมช่วยเหลือสารพัด

(ความโง่ผม เกิดตรงนี้เอง)

-    ความสงสารของผมเกิดขึ้น เพราะเขาโทรมาอ้อนวอนขอความเห็นใจ ด้วยคำพูดน่าสงสาร ขอความช่วยเหลือ เห็นว่าจนตรอกแล้ว จริง ๆ ไม่รู้จะไปพึงใครดี พ่อแม่ ก็ทำขอมาเยอะแล้ว (โดยลืมว่า ควรจะเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของร้าน ควรยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเขามากกว่าผม เพราะเขาทำหน้าที่ดูแลในร้าน ทำประโยชน์ให้กับร้านเป็นผลประโยชน์กับหุ้นส่วนใหญ่)
-    เขาพูดหว่านล้อมบอกว่า ร้านใหม่ เป็นย่านเก๊สเฮ้าท์ มีนักท่องเที่ยวพักกัน ฝรั่งเดินผ่านเยอะมาก มียอดขายวันละ 8-9 พัน ร้านอยู่ได้แน่นอน ตัวเขาเองได้เงินเดือน 12,000 เป็นกุ๊กและผู้จัดการร้าน  เขาไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร ข้าวก็กินที่ร้าน มีแค่ค่าหอ อ้อมสิน เดือนละพันกว่าบาท ยูเมะเดือนละ 1200 เท่านั้น ผมจ่ายให้พี่ได้แน่นอน
-    เลยให้ยืมเงินเป็นจำนวน 20000 บาท แต่เขาขอเพิ่มอีก 10000 บาท บอกว่าจะเอาไปเคลียค่าผ่อนของ เพราะพ่อเพื่อนที่คำประกันเขา กำลังจะโดนฟ้อง  พ่อเพื่อนขอเงินอีก 10000 บาท ก็พอแล้วแล้วจะไปดำเนินการต่อเอง
-    ผมก็ใจอ่อนอีก (โง่นะครับ) ก็เพิ่มให้ รวมเป็น 30,000 บาทโดยมีสัญญาเงินกู้ (ดูแล้วไม่น่าผิดกฎหมาย เพราะคิดดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ) โดยแบ่งจ่ายเป็นรายเดือน เดือนละ 2,688 บาท
-    ผมได้อธิบายได้ ว่าเก็บมาให้ผมทุกเดือนนะ เพราะผมก็ไปกูเงินที่สหกรณ์ของผม มาเหมือนกัน ดอกเบี้ยก็เท่านี้ ไม่คิดเพิ่มสักบาท   และอธิบายว่า มันดีกว่าเขาจ่ายค่าดอกเบี้ย ร้อยละ 20 วันละ 400 บาท เหลือ วันละไม่ถึง 100 บาท ตั้งต้นและดอกเบี้ย แค่ 12 เดือน เขาก็หมดหนี้แล้ว
-    ตอนไปจ่ายเงินคืน ให้นายทุนร้อยละ 20 ผมก็อยากรู้ว่า เขาจะทำอย่างไร ก็เลยไปที่โรงพักตามที่นัดกัน ไปถึงตามนัดก็มีแค่ตัวแทนมาเอาเงิน พร้อมคืนสัญญา 1 ฉบับ (ดูแล้วเป็นสัญญาถูกกฎหมาย เขาบอกว่าโดนล๊อกตัวไปเปลี่ยนสัญญามาก่อนหน้านี้ 1 เดือน)  
-    ตอนนั้นผมซื่อมากครับ พยายามขอตำรวจขอลงบันทึกประจำวันว่าเจ้าหนี้อย่ามายุ่งกับน้องเขาอีก เพราะหนี้ได้จ่ายเงินต้นไปครบแล้ว  แต่....ตำรวจไม่ยุ่งไม่เกี่ยวใด ๆ ทั้งสิ้น (ก็งงและสับสนว่า มาถึงโรงพักกันทำไมในเมื่อตำรวจไม่ยอมนยุ่งเกี่ยวอะไรเลย)

เมื่อจะเริ่มจ่ายเดือนที่ 1 ประมาณ ต้นเดือนเมษายน 2558
- เขาป่วยเข้าโรงพยาบาล ผ่าตัดลำไส้   เป็นผลมาจากการผ่าตัดครั้งก่อน ส่งภาพที่อยู่ในโรงพยาบาล (ที่กำลังเขาโดนใส่สายยางทางจมูก สีหน้าจะไปแล้วจริง ๆ เสียดายภาพเหล่านี้ไม่ทันได้เก็บ) มาให้ผมดู ผมดูแล้วน่าสงสารครับ (ช่วงนั้นผมก็ยุ่งกับงานมาก ยังหาเวลาไปเยี่ยม ไปให้กำลังใจกัน)
- ผมหวังดีกับเขาขนาดไหน ไปทำงานต่างจังหวัด เขาส่งข้อความ มาขอความช่วยเหลือ ว่าประกันสังคมส่งไม่ครบ ขาดไป 1 เดือน ผมโอนเงินค่าประกันสังคมให้เพื่อนเขาไปเคลียทันที กลัวว่าจะมีปัญหาการเบิกจ่ายที่ รพ. ไม่ได้ เพราะการผ่าตัดมีค่าใช้จ่ายหลักแสน (เป็นโรงพยาบาลเอกชน)

- หลังที่ผมโอนให้ เขาส่งข้อความ ขอต่อ เขาไม่ได้จ่าย ยูเมะ อีกพันกว่าบาท ... (รายการนี้ผมไม่จ่ายให้ เพราะ ไม่ใช่หน้าที่ของผมและมันรอได้)  เลยเลี่ยงไปว่า ไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายให้ตอนนี้ เมื่อผมกลับบ้านที่เชียงใหม่เขาก็ส่งข้อความขออีก บอกว่าอยู่บ้านต่างอำเภอ ไม่มีใครจ่ายเงินเดือนที่ร้านได้ เขาเบิกได้คนเดียว

- เขาเริ่มโกหกผม บอกว่า ออกโรงพยาบาลไปพักฟื้นที่บ้าน แต่ใน Timeline กลับเล่นสงกรานต์ ที่หน้าร้านเฉยเลย

- ผมรู้แล้วว่า เขาคิดไม่ซื่อกับผมซะแล้ว แต่ก็เงียบเอาไวก่อน

- เขาเริ่มไม่คุยกับผม ผมถามไถ่ทุกข์ สุขกัน ตามประสาคนรู้จัก เริ่มที่ไม่ตอบผมแล้ว
- ผมพยายามหาเรื่องคุย เช่นที่ ใน office ผมมี meeting lunch บ่อยมาก เดือนละสองสามครั้ง จำนวนครั้งละ 60 – 80 กล่อง ขึ้นอยู่กับเรื่องประเด็นจะประชุมกัน โดยสั่งข้าวกล่องมาทานร่วมกัน ผมก็บอกให้เขาเอาเมนูมาทิ้งไว้ที่ office ผม เผื่อจะได้สั่งจากร้านเขา  หรือไม่มีประชุมก็สั่งมากินตอนเที่ยงกันครั้งละไม่ต่ำกว่า 10 กล่อง ก็เงียบ ไม่สนใจ ใด ๆ ทั้งสิ้น
- ผมพยายามติดต่อ และบอกว่า มีปัญหาอะไร ก็มานั่งคุยกัน และบอกกันมาตรง ๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นสามารถ พยายามบอกเขาว่า ทุกปัญหามันมีทางออกเสมอ หากมีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหา (เมื่อก่อนคุยปัญหามาใน line ตลอด)
- เมื่อถึงกำหนดจ่ายเงินตามสัญญา ผมทวงตามหน้าที่ ก็บอกว่าก็จ่ายให้ผมวันนั้นวันนี้ พูดให้รอดตัวเป็นวัน ๆ เช่นว่า...กำลังเคลียของออมสินเสร็จ ส่วนของพี่กำลังจะเริ่มเคลียกำลังรวบรวมอยู่ พี่อย่าให้ผมเครียด  หรือ เอาเรื่องที่ร้านมาอ้าง เงินหายไปจากบัญชี กำลังจะส่งยอดให้กับหุ้นส่วนใหญ่ ตรวจ เพื่อจ่ายเงินปันผล และจะเอาเงินปันผลมาจ่ายคืนมาให้ผม หรือบอกว่ากำลังเครียดกับร้าน อย่าพึ่งมายุ่ง
- ผมก็บอกว่า “เครียดบ่อยไม่ดีนะ” เดี๋ยวจะเป็นโรคที่เป็นผลมาจากความเครียด ยารักษา ไม่สามารถเบิกประกันสังคมได้นะ

และก็มาถึงจุดที่เขาไม่ยอมคุยกับผมอีกเลย

- ผมก็รอไป 1 อาทิตย์ คราวนี้โทรไป เขารับสาย บอกว่ากำลังตื่น เดี๋ยวโทรกลับ แต่ไม่โทรเลย   
ตอนเย็นผมก็ทัก และแซวว่า  “ไหนว่าจะโทรมา กลัวแฟนด่าหรือ”  คราวนี้ ตอบมาแบบโกรธและโมโหผม   เหมือนว่าผมผิดมาก
- หลังจากนั้น ไม่อ่าน line ของผมอีกเลย


สภาพเขาตอนนี้
-    ใน Time line เขา post รูปอย่างมีความสุข (ยั่วให้ผมโมโหก็ไม่รู้)
-    สามารถใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยได้ เช่น นั่งเครื่องบินไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปนวด (จากภาพใน line)
-    แต่ ไม่คุยกับผม พยายามติดต่อไป ทางโทร ไม่รับสายโทรศัพท์ โปรแกรม line ไม่เปิดอ่าน
-    ส่งข้อความไปใน Time  line  ก็ลบทิ้งครับ

สิ่งที่ผมได้ตอนนี้
-    ได้บทเรียนราคาแพง อาจเสียไปกว่า 3 หมื่น
-    สิ่งที่เป็นเพื่อน ความรู้สึกดี ๆ หายไปหมด
-    ได้ประเด็นสงสัย การจ่ายเงินบนโรงพัก เป็นการเล่นละครตบตาผมหรือเปล่า
-    กำลังจะได้ตำรา  เรื่องการฟ้องร้อง  ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร

ผมอยากถามครับ
-    ผมจะทำอย่างไรต่อได้บ้างครับ  ติดต่อทางใดไม่ได้สักทาง ตอนนี้เหลือ  post ทวง facebook  (เหมือนประจานให้อับอาย) ก็เจอคดีหมิ่นประมาทอีก
-    แจ้งความ ก็คงไม่ได้ เพราะคดีแพ่ง
-    มีทางเดียวคือ เอาหลักฐานไปที่ศาลและฟ้องเป็นคดีแพ่งเท่านั้นหรือ  มันเสียเวลามาก

สิ่งที่ผมกำลังจะลองทำดูก่อนฟ้องศาล
-    ไปขอลงบันทึกประจำวันไว้ก่อนกับตำรวจ เพราะได้คุยกันทีไรออกแนวเครียดหรือแนวขู่เข้าใส่
-    ไปหาที่ร้าน ขอคุยกันอีกครั้ง
-    ถ้าไม่พบอีก ขอคุยกับหุ้นส่วนใหญ่ เรียกเขามาคุยข้อตกลงกันใหม่ หากเป็นคดีขึ้นมา หลักฐานใน line หรือ Facebook มีชื่อและข้อมูลของร้านติดมาด้วย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่