อุทาหรณ์ สำหรับผู้ฝากเงินในธนาคารทุกคน เงินท่านอาจสูญหายได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ

กระทู้สนทนา
พอดีเป็นข้อความจากพี่ที่สนิทคนหนึ่ง เรื่องอาจจะยาวนิดนึง แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น

    จำได้ว่าเป็นวันก่อนถึงตรุษจีนไม่กี่วัน  บ้านไหนๆ ก็คงต้องใช้เงินเหมือนกันทั้งนั้น  
แม่เราก็เหมือนกัน พอดีเช้าวันนั้น 8 โมงกว่าๆ เห็นจะได้  ก็พากันไปตรวจเลือดที่ศูนย์แพทย์ฯ ก่อน อา... ชั้นล่างมีธนาคาร  ธนาคารอะไร... คงมีผู้รู้ไม่น้อย
    พอตรวจเลือดเสร็จ  ไปวัดความดัน รอรับบัตรคิว บังเอิญว่า counter บอกว่าบัตรคิวจะได้ก็ต่อเมื่อผลเลือดถูกส่งมาแล้วเท่านั้น  ให้นั่งรอ... 2 คนก็นั่งคุยกันพักเดียว  ก็นึกได้ว่าระหว่างรอ
ไปทำธุระชั้นล่างก่อนเถอะขึ้นมาก็คงพอดีมั๊ง  ไอ้ธุระอย่างแรก คือ พาแม่เราไปห้องน้ำ แล้วไปเบิกเงิน แล้วค่อยไปกินข้าว  เพราะขาต้องกินเจ  คงต้องไปกินนอกสถานที่  ที่มันใกล้ๆ แถวนั้น  เพราะในสถานที่นั้นไม่มีอาหารเจขายเลย
    หลังเข้าห้องน้ำ ก็พากันเข้าไปในธนาคาร  หลังตรวจสอบ ชื่อ – สกุล  แล้วก็สาขาธนาคาร ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่บอกเราว่า  ไม่มีเงินในบัญชี  เราบอกว่าเป็นไปไม่ได้  เจ้าหน้าที่จึงยอมให้เราดูหน้าจอแต่โดยดี  ว่าไม่มีเงินจริงๆ (เห็นหน้าจอกับตาเลย...)
    เอาละซิ !  แม่สูงอายุของเราเริ่มมีอาการสั่น  เราบอกว่าใจเย็นๆ ก่อนนะ  มันต้องมีอะไรผิดพลาด  เริ่มส่งคำถามให้เจ้าหน้าที่รายนั้นเป็นชุด  “ช่วยดูซิว่า ชื่อสกุล นี้มีบัญชีที่ยัง active กับสาขาเดียวกันนั้นทั้งหมดกี่บัญชี”
    บริการเป็นเริ่ด ก็ดำเนินการทันที เขียนใส่กระดาษมาตั้งหลายบัญชี มีทั้ง active อยู่ แล้วก็ปิดไปแล้ว  และยืนยันนั่งยันว่า ไม่มีเกินหลักหมื่น  ทีนี้ได้ยินแค่นั้น แม่ถึงกับเอามือทุบอกตัวเอง
ร้องออกมาไม่หยุดว่า... เงินหายไปหมดแล้ว เงินหายไปไหน ร้องซ้ำๆ ไม่หยุด ทุบอกตัวเองตลอด
จนเราต้องเอามือไปห้าม  ถึงรู้ว่า มือแม่เราเย็นเฉียบ บรรยากาศแบบนี้ทำเราเริ่มอารมณ์เสีย
จึงบอกว่า ถ้างั้นเราไปขอรับบัตรคิวก่อน  แล้วค่อยไปธนาคารที่เอกมัยกัน น่าจะมีเวลาพอ เพราะไม่ไกลเท่าไหร่  แล้วคิวหมอเอกพจน์มักรอนานจนลืมอยู่แล้ว
    ตอนไปถึงที่สาขาเอกมัย  เอาสมุดบัญชียื่นให้พนักงานที่โต๊ะ  แม่เราไปบอกเขาว่าที่สาขาโน้นบอกไม่มีเงิน  พนักงานก็ up book โดยด่วน  แล้วบอกว่า ... เงินมีอยู่นี่ค่ะคุณป้า เงินไปไม่ได้หายไปไหน 12 ล้านกว่า เราเลยเอาสมุดบัญชีมาดู  เออ...โล่งอก มีตัวเลขแล้ว ก็เลยบอกว่า งั้นขอเบิกเงินออกมาใช้สัก 3 หมื่นก่อน
    พนักงานท่านนั้นรีบเอาใบถอนมาให้เซ็นต์ตามขั้นตอน  ไม่รู้ทำไม  เดินไปเดินมา
ไปโทรศัพท์ด้วย รอได้พักนึง  ท่านเดินมาบอกว่า...  “คุณป้าค่ะ บัญชีของคุณป้าถูก locked ถอนยังไม่ได้ค่ะ”  โอ้... เท่านั้น เสียงสั่นเลยแม่เรา  เราเลยถามเขาว่าเพราะอะไร ท่านตอบเราว่า
เป็นนโยบายของทางสำนักงานใหญ่  เพื่อป้องกันเงินลูกค้าสูญหายจากบัญชี

    เราบอกว่า ถ้างั้นไม่เบิกก็ได้  ขอปิดบัญชีเลยก็แล้วกัน ช่วยทำ cashier cheque ให้ได้ไหม
คำตอบบอกว่า งั้นเปลี่ยนใบถอนใบใหม่ ไม่ต้องกรอกตัวเลขแล้วเธอก็จิ้มเครื่องที่อยู่ตรงหน้าเธอต่อ
พร้อมตอบว่าก็ไม่ได้เหมือนกันปิดก็ไม่ได้ค่ะ
    อารมณ์แม่ผู้สูงอายุเป็นไงก็ไม่รู้  รู้แต่สั่น นั่งก้มหน้า น้ำตาซึมแล้ว
    เราเห็นท่าไม่ดีแล้ว  เลยบอกว่าถอนไม่ได้ ปิดก็ไม่ได้ เอางี้ช่วยโอนจากเล่มนั้นมาใส่ในเล่มนี้ให้หมด เราหมายถึงเล่มออมทรัพย์ธรรมดา  เจ้าหน้าที่เลยบอกย้ำเราว่า “มันโดน locked ไว้ค่ะ ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น”  เราไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เลยสวนไปว่า... ว่าง่ายๆ คุณบอกว่าเราจะทำนิติกรรมใดๆ กับเงินเราไม่ได้ทั้งนั้นในตอนนี้เหรอ ท่านตอบเสียงอ่อนโยนว่า “ค่ะ.. เราต้องให้ทาง
สำนักงานใหญ่ปลด locked บัญชีของคุณป้าก่อน ขอเวลาสักครู่นะค่ะ” แล้วก็เดินออกไปอีก
    เรารอ... แล้วถามว่า คุณทำอะไรกัน คุณมีสิทธิอะไรมา locked บัญชีลูกค้า ท่านตอบว่า “เราป้องกันเงินลูกค้าหายค่ะเลยทำแบบนี้ ทางสำนักงานใหญ่ต้องโทรถึงลูกค้าก่อนว่าเป็นตัวจริงหรือเปล่า ถึงยอมให้ทำนิติกรรม”  เฮ้ย! เราบอว่าตลกแล้ว  ลูกค้านั่งอยู่นี่ บัตรประชาชนก็มี
ต้องโทรหาที่บ้านแล้วมครจะรับโทรศัพท์ได้ล่ะ  เพราะเรานั่งอยู่กับคุณที่นี่
    เธอรีบวิ่งออกไปจากโต๊ะอีก  แล้วกลับมาบอกว่า “ใช่ค่ะ คุณป้าให้เบอร์ติดต่อที่บ้านไว้
เป็น 02 จริงด้วย”  เราเลยบอกไปว่า “ฉันไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนดีกว่ามั๊ง ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้นกับประชาชน ตำรวจคงยอมรับแจ้ง เพราะฉันคือตัวจริงไม่ใช่ตัวปลอม แอบมาเบิกเงิน”
แม่เราไม่มีปากเสียงแล้ว เพราะตอนนี้เธอสะอื่นอยู่
    เราบอกว่า “คุณจะทำอะไรก็รีบ เพราะฉันต้องการรีบปิดบัญชี  แล้วพาแม่ฉันไปหาหมอภายในครึ่งชั่วโมงนี้ให้ทัน เพราะมีนัดหมอ  ไม่เสร็จตอนนี้ฉันจะโทรเรียกสื่อสักสำนักนึง พร้อม
เจ้าหน้าที่ตำรวจมาทำข่าว  พร้อมลงบันทึกประจำวัน”
    แค่นี้เธอรีบไปตามผู้จัดการมาหาเราทันที  พร้อมกับแม่เราคงเริ่มฟื้นตัวจากอาการ หันมาต่อว่าเราว่า “อย่าเพิ่งไปมีเรื่องกับเขาได้ไหม  ให้เรายอมคืนเงินให้เขาก่อนเถอะ”
    ผู้จัดการที่นั่งตรงหน้าเราเป็นคนใหม่  เขาบอกว่าเพิ่งย้ายมาประจำสาขานี้ได้กี่วันไม่รู้
เพราะเราไม่สนใจจะฟังแล้ว  เพราะทำให้แม่เรามาว่าเรา ทั้งๆ ที่เราจะช่วยแท้ๆ
    ผู้จัดการกับพนักงานคนเดิม เริ่มโดนคำถามเดิมจากเราว่า “ตัวจริงเสียจริงอยู่ที่นี่ ที่บ้านไม่มีใครรับโทรศัพท์หรอก แล้วคุณจะทำยังไงกันต่อ”  เชื่อไม๊! มีปัญหาย่อมมีทางออก เธอรีบบอกว่า
“ถ้างั้นเราต้องรีบเปลี่ยน จากเบอร์ 02 เป็นเบอร์มือถือก่อน แล้วสำนังานใหญ่จะโทรหาเราที่เบอร์ใหม่ เราบอกว่ามันจะง่ายกว่าถ้าโทรแจ้งความเรียกตำรวจมาดีกว่า” เลยทำให้โดนด่าอีกจนได้
จำยอมให้เบอร์มือถือ พร้อมกับกระดาษอีก ต้องเซ็นต์ลายเซ็นเปลี่ยนแปลงข้อมูลการติดตามตัวเจ้าของบัญชี แม่เราเซ็นต์เสร็จ  เราเลยถามว่า “ตอนนี้คือรออย่างเดียวใช่ไหม ถ้าใช่ ฉันจะพาแม่ฉันไปหาหมอก่อน หวังว่ากลับมาคงได้ cashier cheque นะ”
    เราจับมือแม่เราที่สั่นไปหมด แถมเย็นเฉียบเหมือนเดิม  พาลงจาก Bank ไปหาหมอ ถึงหน้าห้องหมอ ยังไม่เลยคิว  โดนตรวจความดันอีก ปรากฏว่าสูงปรี๊ด  เขาเลยให้นั่งเฉยๆ แล้วรายงานหมอ  หมอบอกให้พักสักครู่  แล้ววัดใหม่ พักแล้ววัดอีก ก็ไม่ลง  เลยต้องพักอีก พักอีก ก็ไม่ยอมลง  ข้างนอกเลยบอกว่า เอางี้เดี๋ยวเข้าไปให้หมอวัดเองดีกว่า  เลขอยู่โรงพยาบาลนานกว่าจะได้หาหมอ  จนเสร็จก็พาแม่ไปเข้าห้องน้ำ  อย่าลืมนะว่าบ่ายก็ยังไม่ได้กินข้าวกัน  กำลังจะพาไปชำระเงินกับรอรับยา  ก็มีโทรศัพท์ดัง  เลยรีบรับ เพราะคิดว่าสำนักงานใหญ่โทรมาสอบถามข้อมูล
จะได้ขอด่าสักหน่อย
    ที่ไหนได้ โอ้! สาขาโทรมาแฮะ  ถามว่าเราอยู่ที่ไหน มีปัญหานิดหน่อย จะตามมาหาเรา
ก็เลยถามว่าอะไร เสียตามสายแจ้งว่า ลายเซ็นมีปัญหาต้องเอาเอกสารมาให้เซ็นต์ใหม่  เราเลยบอกว่าคุณมีปัญหาหรือลายเซ็นต์มีปัญหากันแน่ แต่ที่แน่ๆ กำลังจะมีปัญหาโด่งดังแน่  เจ้าหน้าที่ส่งเสียงว่าจะรีบไปหา  ตอนนี้อยู่ที่ไหนค่ะ  เราเลยบอกไปว่า คุณไม่ต้องมา ฉันจะกลับไปที่ Bank ไม่เกินครึ่งชั่วโมง  เพราะตอนนี้รอจ่ายเงินกับรับยาอยู่ เดี๋ยวไปเอง
    เรากลับไปถึง Bank ดูนาฬิกา ใกล้ 3 โมงเย็น  พอเข้าไปปุ๊บก็มีกระดาษให้เซ็นต์อีก
แล้วบอกว่า แป๊บเดียวค่ะ  ดำเนินการส่งให้สำนักงานใหญ่เดี๋ยวนี้  รอรับโทรศัพท์ด้วยนะค่ะ
    เรานั่งรอโทรศัพท์บ้าๆ นั่นอยู่เกือบ 15 นาที อยู่ๆ เจ้าหน้าที่ก็กึ่งเกินกึ่งวิ่งมาบอกว่า “ได้แล้วค่ะคุณป้า สำนักงานใหญ่ปลด locked แล้วค่ะ”  เราอารมณ์เสียขึ้นมาทันที ก็ไม่เห็นมีใครหน้าไหนโทรมาพิสูจน์ความเป็นเจ้าของบัญชีเลยสักคน  ดูนาฬิกา Bank ก็จะปิดแล้ว
ทำ cashier cheque ก็เอาไป Bank อื่นไม่ทัน  ไอ้ครั้นจะเก็บไว้ที่เราเอง แม่เราก็คงไม่ยอม
คงกลัวเราทำหาย แต่เรากลัวแม่เราเอาไปเก็บอย่างทีจนลืมว่าเก็บไว้ไหนมากกว่า เลยลองของกับธนาคารซะ  “ช่วยโอนจาก FIX มาออมทรัพย์ให้ก่อน” เราเอาสมุดมาดูเลยเห็นว่าดอกเบี้ย 2 หมืนกว่าบาท จึงปากเสียถามว่า ทำไมได้ดอกเบี้ยอยู่แค่นี้เอง  ทันใดนั้น ท่านแม่สวนก่อนพนักงานอีก
“เขาคืนเงินต้นให้เราก็พอแล้ว ดอกเบี้ยช่างมันเถอะ”  หลังจากนั้นพนักงานที่บริการเรามาทั้งวันก็อธิบายว่า “หลังจากสัญญาฝากครบกำหนด  คุณป้าไม่ได้มาติดต่อกับทางธนาคารเลย  เงินที่ค้างอยู่ในบัญชีจึงไม่มีดอกเบี้ย จริงๆ แล้วมีค่ะ แต่น้อยมากจึงได้ดอกเบี้ยแค่นี้” เราบอกด้วยอารมณ์ที่ยังอยากจะเอาเรื่องต่อว่า “พวกคุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ วันนี้โอนเข้าออมทรัพย์ก่อน แล้วจะมาทำ cashier cheque” เราเลยหันไปบอกแม่เราว่า ...กลับ...
    หลังจากนั้นแม่เราก็ให้น้องชายเราไปทำ cashier cheque แล้วเอาเงินไปฝาก Bank อื่น  โดยที่เราจำใจจบเรื่องกับธนาคารนี้  เพราะแม่เราบอกว่าคืนแล้วก็พอเถอะขอร้อง
    story นี้ส่งถึงผู้สูงอายุทุกคนว่า
    1. จงอย่าฝากเงินกับทางธนาคารเป็นเวลานานๆ เกิน 6 เดือน ก็ไม่น่าฝาก เพราะธนาครจะรู้ว่ากว่าคุณจะมาติดต่ออีกครั้งมันนานนะ
    2. จงอย่ายอมทำตัวเองให้ความดันขึ้น  เพราะบ้านเมืองมีกฎหมาย และที่สำคัญเดี๋ยวนี้มีสื่อเป็นเครื่องมือของท่าน  ท่านใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้ ถ้ามีกรณีอย่างนี้กับท่านยังไงท่านก็ได้เงินคืนอย่างแน่นอน  เราเป็นลูกหลานเห็นสภาพพ่อแม่เป็นอย่างนี้แล้วเจ็บใจนะ
    Story นี้เกิดขึ้นเป็นตัวอักษรแล้ว  ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่คิดจะทำ  ต้องขอบคุณพี่สาวคนเก่งของเราที่เตือนเราว่าต้องมี  จะได้ไม่เกิดขึ้นกับใครอีก  พอเราคิดดูแล้วก็จริงอย่างที่พี่เราว่า  เพราะคุณลุงหนึ่งคนผูกคอเสียชีวิตไปแล้วเพราะเหตุการณ์แบบนี้เอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่