เสียงเพลงวา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.youtube.com/watch?v=mBxlHZnLMLY (เป็นเพลงที่ใช้บรรเลงก่อนที่โขนละครจะออกตัว)
เสียงเพลงวา ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งโรงละคร นั่นเป็นสัญญาณที่คนดูโขนละครจะทราบดีว่าบัดนี้การแสดงที่พวกเขาเฝ้ารอคอยกำลังจะเริ่มทำการแสดงแล้ว ความมืดมิดของโรงละครค่อยสลายลงพร้อมแสงไฟที่ค่อยๆสว่างจ้าขึ้น ม่านสีแดงเข้มขนาดใหญ่กลางเวที ค่อยๆคลี่ตัวออกจากกัน เผยให้เห็นตัวละครที่แต่งชุดอย่างวิจิตรสวยงาม เต็มเวที กลางเวทีเป็นที่นั่งยกตัวสูงขึ้นจากพื้น มีชายหนุ่มรูปงามแต่งกายเต็มยศ นั่งเป็นประธาน ทั้นทีที่เพลงวาบรรเลงมาจนถึงท้ายเพลงเหล้าบริวารวานรทั้งซ้ายขวาต่างนั่งคุกเข้าและทำความเคารพด้วยการถวายบังคม ...... การแสดงได้ดำเนินไปอย่างออกรสออกชาติตามกระบวนที่ครูผู้เชี่ยวชาญแต่ละแขนงท่านได้ประสิทธิ์ประสาทกันมา
ผมนั่งชมจนจบ ตอนนี้คงเหลือแต่ผมคนเดียวที่ยังนั่งยิ้มอย่างมีความสุข ในขณะที่ทุกคนกำลังลุกออกจากที่นั่ง
"ครูครับ ครู ผมเล่นเป็นอย่างไรบ้างครับ..." เสียงหนุ่มน้อยในชุดโขนเต็มยศ คุกเข่านั่งข้างๆ ตัวของผม
ผมหันไปยิ้มรับเป็นการตอบคำถาม เด็กหนุ่มผู้นั้นคงจะทราบในรอยยิ้มได้ดีว่าคำตอบของผมคืออะไรก่อนจะก้มลงกราบ ............. >>>>
..................................................................................
องก์ที่ ๑ เต็มสิปป์
ผมชื่อเต็มสิปป์ครับ หลายคนคงจะว่าชื่อผมแปลกๆใช่ไหมครับ แน่นอนล่ะครับ เพราะทั้งชีวิตผมก็มีแต่คนถามแบบนี้ เต็มสิปป์นี้เป็นชื่อที่ ผมภูมิใจอย่างที่สุดครับ เพราะมีครูท่านหนึ่งที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กเป็นคนตั้งให้ ครูบอกว่า คำว่า "สิปป์" หรือ"สิปปะ"นี้ เป็นคำที่มีความหมายเดียวกับคำว่า"ศิลปะ"ครับ ใช้แล้วล่ะครับ "ครู" ผมเองก็เป็นเด็กกำพร้า ที่ครูเติมเก็บมาเลี้ยง คงไม่ถึงขั้นเก็บมาเลี้ยงนะครับแค่จำเป็นต้องอุปการะอย่างไม่ได้ตั้งใจ คือพ่อแม่ของผมเป็นคนงานในบ้านของครู ซึ่งเปิดเป็นสำนักโขนละครที่มีชื่อเสียง มีลูกศิษย์และคนงานในบ้านหลายสิบชีวิต .... ภายหลังการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองไม่ถึงห้าปี ศิลปะวัฒนธรรมดั้งเดิมถูกลดทอนบทบาทลงจนแทบจะไม่มีให้เห็น เรียกว่า ณ ขณะนั้นคณะโขนละครทั่วไป รวมทั้งของครูเติม ลำบากเป็นที่สุด จนถึงกับขายเครื่องดนตรีทั้งน้ำตา เพื่อนำเงินมาแบ่งให้กับลูกศิษย์ในคณะ รวมทั้งคนงานในบ้านให้เป็นเงินทุนไปทำอาชีพอื่นๆ กันครับ จากผลครั้งนั้นทำให้ผมซึ่งดูจะเป็นภาระของพ่อแม่ ก็ถูกทิ้งไว้ โดยกว่าครูเติมจะมาพบก็ร้องไห้จนดังลั่นบ้าน ....
ครูเติมจึงจำเป็นต้องเลี้ยงดูผมมาตั้งแต่เด็ก และตั้งชื่อให้ผมว่า "เต็มสิปป์" โดยหวังให้ผม เติมเต็มในศิลปะที่ครูรักต่อไป ...... จริงๆผมควรเรียกว่าพ่อด้วยซ้ำ แต่ครูเติมมักสอนผมเสมอว่า "คนเราเกิดมามีพ่อแม่เพียงคนเดียว อย่าเที่ยวไปเรียกใครต่อใครว่าพ่อแม่ส่งเดช เพราะสองคำนนี้ถือว่าเป็นคำสูง ไม่ควรเรียกใครง่ายๆ กระทั้งก็ไม่ควรเอามาใช้เป็นคำหยาบมันจะทำให้ไม่ดีกับตัว ถึงครูจะเลี้ยงดูเต็ม มาตั้งแต่เด็กพระคุณก็ไม่เสมอ พ่อแม่บังเกิดเกล้าของเจ้าหรอกนะ...จำไว้"
ฉากที่ ๑ บ้านครูเติม
"เต็มเอ้ย..!!! มานี่ซิ" ครูเติมเรียกเด็กหนุ่มเข้ามาหา
"ครับครู.." เต็มรับคำพร้อมรีบเดินมาหาครู ถัดจากประตูบานใหญ่ของบ้านเผยให้เห็นชายหนุ่มรุ่น ท่าทางทะมัดทะแมง ความสูงที่พอเหมาะ กับผิวขาวละเอียด ใบหน้ารูปไข คิ้วโก่งหนาพองาม จมูกเป็นสันรับกับลิมฝีปากเรียวบางราวกับผู้หญิง เดินเข้ามาด้วยอาการสุภาพพร้อมคุกเข่าข้างๆ
"ไหนลองทบทวนท่ารำที่ครูต่อไว้ให้เมื่อวันก่อน ให้ดูหน่อยซิ" ครูเฒ่าท่าทางใจดีพูดกับเด็กหนุ่ม
เต็มทำสีหน้าเบื่อหน่าย พร้อมกับถอนหายใจยาว พร้อมทบทวนท่ารำทีละท่าอย่างช้า ให้ครูดู
"ไม่ใช่อย่างนั้น !!!..... สอนกี่ทีแล้วหัดจำเสียบ้างสิ ไปหยิบไม้เรียวมาเดี๋ยวนี้" ครูเติมดุเต็มด้วยเสียงดัง กับใบหน้าที่แสดงอาการณ์ไม่พอใจ จากครูเฒ่าท่าทางใจดี แต่เวลาครูสอนนาฏศิลป์แล้วไม่อ่อนข้อให้ใครทั้งนั้น จนกว่าจะได้ตามที่ครูต้องการ
"เต็มไม่ใช่เด็กแล้วนะครู ..." เด็กหนุ่มเถียงครูเต้มด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น แต่ไม่ถึงกับแข้งกร้าว
ครูเติมทำสีหน้าไม่พอใจ พร้อมพูดขึ้น “ก็ไม่ใช่เด็กน่ะสิ แค่นี้ทำไมถึงทำไม่ได้ ......” และคำกึ่งบ่นกึ่งสอนจากครูเติมก็พรั่งพรูออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจำ
“สองหนุ่ม มัวทำอะไรอยู่ .... ค่ำแล้วมากินข้าวกินปลากันก่อน..”
ทั้งสองหันมองไปยัง ต้นเสียงที่ดังขึ้น
“แม่ครู...” เต็มสิปป์ อุทานขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แน่นอนว่าเสียงจากแม่ครูช่วยชีวิตเต็มสิปป์ไว้ทันเวลาพอดี แม่ครูเป็นภรรยาของครูเต็ม แม่ครูเป็นคนใจดีมากๆ และมักจะช่วยปกป้องเต็มสิปป์เสมอเวลาที่ครูดุหรือทำโทษ
บรรยากาศบนโต๊ะ อาหารวันนี้ดูจะเงียบๆผิดปกติ ซึ่งปกติแล้ว เต็มสิปป์จะพูดเก่ง ช่างพูดช่างเจรจา ทำให้ครูและแม่ครู หัวเราะได้อยู่เสมอ
“โกรธครูหรอ” คำถามจากครูเติม ทำให้บรรยากาศกับยิ่งดูตึงเครียดมากขึ้น
“ป่าวครับ เต็มต้องขอโทษครูด้วยนะครับที่ทำกริยาไม่ดีใส่ครู พอดีเต็มรู้สึกไม่สบายใจน่ะครับ” เต็มสิปป์ตอบ
ครูและแม่ครู หันมองหน้าเต็มด้วยความสงสัย แม่ครูจึงเอ่ยขึ้น “เป็นอะไรรึเต็ม เล่าให้แม่ครูกับครูฟังได้ไหม”
เต็มสิปป์เงยหน้ามองผู้มีพระคุณทั้งสองก่อนจะเล่าเหตุการณ์เมื่อกลางวันให้ฟัง
“การที่เราเรียนโขนละคร มันทำให้เราดูต่ำต้อยขนาดนั้นเลยหรอครับ วันนี้ครูที่โรงเรียนเขาถามว่านักเรียนแต่ละคนมีความสามารถพิเศษอะไร เต็มก็ตอบว่าโขนละคร เพื่อนหลายคนในห้องต่างหัวเราะด้วยสายตาเยอะเย้ย และมีคำนึงที่เต็มฟังแล้วรู้สึกไม่ดีเลย เต้นกินรำกิน มันฟังดูไม่มีศักดิ์ศรีเลยนะครับ...”
“โธ่เอ้ย..นึกว่าอะไร เด็กน้อยแค่นี้รู้จักรักศักดิ์ศรีด้วยรึ” แม่ครูพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดูแกมหัวเราะ ก่อนครูเติมจะพูดต่อ “เดี๋ยวกินข้าวกินปลาเสร็จ ช่วยแม่ครูล้างถ้วยชามแล้วตามครูไปที่ห้องพระหน่อยนะ”
ฉากที่ ๒ ห้องพระ
ภายในห้องพระที่อยู่ชั้นบนของบ้าน เป็นห้องขนาดใหญ่ที่สามารถจุคนได้จำนวนมาก เดิมทีก็ใช้เป็นที่ซ้อมโขนละคร บรรยากาศภายในห้องมีโต๊ะหมู่บูชาขนาดใหญ่ มีพระพุทธรูปเก่าแก่มากมายเรียงรายอย่างเป็นระเบียบชั้นรองลงมาเป็นเศียรครูทางด้านนาฎศิลป์ สภาพเก่าดูเข้มขลังทรงพลังอย่างบอกไม่ถูก ถัดมาเป็นเครื่องดนตรีและรูปภาพครูบาอาจารย์ของครูเติมที่เคารพนับถือ ในบรรดารูปภาพเหล่านั้นมีรูปของชายสูงศักดิ์สวมใส่เครื่องอาภรณ์โขนอย่างวิจิตรงดงามเบื้องหน้ารูปภาพนั้นมีพานธูปเทียนแพ วางเป็นเครื่องสักการะอยู่
“เต็มจำได้ไหม นี่คือรูปของใคร” ครูเติมถามเด็กหนุ่ม
“จำได้ครับ” เด็กหนุ่มตอบ
“แล้วองค์เสด็จที่เห็นในรูปภาพน่ะ ดูต่ำต้อยรึป่าว” ครูเติมถาม
เด็กหนุ่มมองไปที่รูปภาพพร้อมตอบคำถามครูเติม “ไม่ได้ดูต่ำต้อยนะครับ เสด็จก็ยังเป็นเสด็จที่คนนับถืออยู่”
ครูเติมยิ้ม “แล้วเต็มยังมองงานโขน ละคร ดนตรี ว่าต่ำต้อยอยู่หรือเปล่า เดิมทีเดียวโขนน่ะเป็นการแสดงที่มีแต่เจ้านายในรั้วในวังเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ได้ดู ชาวบ้านอย่างเราน่ะไม่มีสิทธ์ได้ดูหรอกนะ เพราะฉนั้นศิลปะแขนงนี้จึงไม่ใช่ของต่ำต้อยแต่อย่างใด พ่อแม่ของครูน่ะพาไปฝากตัวกับเสด็จตั้งแต่ยังเด็กได้ร่ำเรียนวิชาการละครฟ้อนรำจากเสด็จโดยตรงนะ วิชาที่ครูสอนให้เต็มน่ะก็มาจากเสด็จทั้งสิ้น แค่ที่มาก็ไม่ใช่เรื่องต่ำต้อยแล้ว กระทั้งครูเทพเทวาที่เรานับถือกันก็เป็นเทพเทวดาชั้นสูงทั้งสิ้น ซึ่งคนทั่วไปที่ไม่ได้เรียนนาฏศิลป์ก็เคารพนับถือเช่นกัน หากใครดูถูกเราก็เท่ากับดูถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขานับถือ และก็เท่ากับว่าเขาดูถูกตัวเองด้วย เต็มรู้ไหมบ้านเมืองเราตอนนี้น่ะมีอะไรที่บอกกับคนอื่นได้ว่าเป็นสยามอย่างแท้จริง การแต่งกายก็เรียนแบบฝรั่งมังค่า แม้แต่อาหารการกินก็เรียนแบบเขา แล้วก็พูดได้ว่าเราอารยะแล้วเราพัฒนาแล้ว พัฒนาแต่เปลือกน่ะสิ ประเทศที่เขาพัฒนาแล้วเขาก็มีศิลปะวัฒนะธรรมอย่างละครโอเปร่าของตะวันตกก็มีประวัติยาวนานเขาไม่เห็นต้องแสร้งทำตัวให้เหมือนใครแต่ทำไมเขาถึงดูเป็นอารยะล่ะ ลองหันกลับมาดูเราสิ เราก็มีศิลปะวัฒนธรรมที่เนินนานผ่านกาลเวลาจนพูดได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของสยาม แต่เรากลับมองตัวเองว่าไร้ค่า เสด็จเคยตรัสกับครูเนืองๆว่า วันนึงเราจะเสียเอกราช ถึงจะไม่ได้เสียเอกราชทางการปกครอง แต่จะเป็นการเสียเอกราชทางวัฒนธรรม ทุกวันนี้ก็เป็นจริงทุกคำอย่างที่เสด็จเคยตรัสไว้”
มาถึงตอนนี้เต็มสิปป์ ที่ได้ฟังคำตอบจากครูเติม ทำให้เขานั่งยิ้มอย่างภูมิใจ ที่เขาเป็นผู้หนึ่งที่จะคงเอกราชทางวัฒนธรรมไว้ได้ ……
องก์ที่ ๒ จุดจบหรือการเริ่มต้น
เสียงเพลงวา ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งโรงละคร นั่นเป็นสัญญาณที่คนดูโขนละครจะทราบดีว่าบัดนี้การแสดงที่พวกเขาเฝ้ารอคอยกำลังจะเริ่มทำการแสดงแล้ว ความมืดมิดของโรงละครค่อยสลายลงพร้อมแสงไฟที่ค่อยๆสว่างจ้าขึ้น ม่านสีแดงเข้มขนาดใหญ่กลางเวที ค่อยๆคลี่ตัวออกจากกัน เผยให้เห็นตัวละครที่แต่งชุดอย่างวิจิตรสวยงาม เต็มเวที กลางเวทีเป็นที่นั่งยกตัวสูงขึ้นจากพื้น มีชายหนุ่มรูปงามแต่งกายเต็มยศ นั่งเป็นประธาน ทั้นทีที่เพลงวาบรรเลงมาจนถึงท้ายเพลงเหล้าบริวารวานรทั้งซ้ายขวาต่างนั่งคุกเข้าและทำความเคารพด้วยการถวายบังคม ...... การแสดงได้ดำเนินไปอย่างออกรสออกชาติตามกระบวนที่ครูผู้เชี่ยวชาญแต่ละแขนงท่านได้ประสิทธิ์ประสาทกันมา
ผมนั่งชมจนจบ ตอนนี้คงเหลือแต่ผมคนเดียวที่ยังนั่งยิ้มอย่างมีความสุข ในขณะที่ทุกคนกำลังลุกออกจากที่นั่ง
"ครูครับ ครู ผมเล่นเป็นอย่างไรบ้างครับ..." เสียงหนุ่มน้อยในชุดรัดเครื่องโขน คุกเข่านั่งข้างๆ ตัวของผม
ผมหันไปยิ้มรับเป็นการตอบคำถาม เด็กหนุ่มผู้นั้นคงจะทราบในรอยยิ้มได้ดีว่าคำตอบของผมคืออะไรก่อนจะก้มลงกราบ
ก่อนที่บรรดาลูกศิษย์คนอื่นๆ จะพากันตามมาสมทบ แล้วนั่งห้อมล้อม น้ำตาแห่งความปิติของผมมันเอ่อไหลออกมาอย่างบอกไม่ถูก “โขนคงไม่ตายแล้วสินะ...โชคดีเป็นบุญของวงการ รวมทั้งเป็นบุญของผมจริงๆ ที่เจ้านายในแผ่นดินไม่ลืมศิลปปะวัมนะรรมของเรา ทั้งยังส่งเสริมยกระดับทำให้โขนคงอยู่ กับดลกที่มีการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ นอกจากภาษาไทยแล้วนี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกความเป็นไทยได้ดี” เป็นคำที่ผมคิดอยู่ในใจ ก่อนที่ผมจะหลับตาลง
เสี่ยงร่ำไห้ของบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของครูเต็มสิปป์ ดังขึ้น ทุกคนก้มกราบเป็นการทำความเคารพเป็นครั้งสุดท้าย ……. “ครูเองคงหลับได้อย่างสบายใจ โขนถึงจะไม่เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน แต่ก็มั่นใจได้ว่า โขนจะยังคงอยู่คงมี แม้ลมหายใจของนักสู้สายนาฏศิลป์อย่างครูเต็ม จะดับสิ้นไป แต่ครูเองก็ต่อลมหายใจให้กับนาฏศิลป์ที่ครูรักมาทั้งชีวิต...”
"เติม" "เต็ม" ลมหายใจของโขน
เสียงเพลงวา ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งโรงละคร นั่นเป็นสัญญาณที่คนดูโขนละครจะทราบดีว่าบัดนี้การแสดงที่พวกเขาเฝ้ารอคอยกำลังจะเริ่มทำการแสดงแล้ว ความมืดมิดของโรงละครค่อยสลายลงพร้อมแสงไฟที่ค่อยๆสว่างจ้าขึ้น ม่านสีแดงเข้มขนาดใหญ่กลางเวที ค่อยๆคลี่ตัวออกจากกัน เผยให้เห็นตัวละครที่แต่งชุดอย่างวิจิตรสวยงาม เต็มเวที กลางเวทีเป็นที่นั่งยกตัวสูงขึ้นจากพื้น มีชายหนุ่มรูปงามแต่งกายเต็มยศ นั่งเป็นประธาน ทั้นทีที่เพลงวาบรรเลงมาจนถึงท้ายเพลงเหล้าบริวารวานรทั้งซ้ายขวาต่างนั่งคุกเข้าและทำความเคารพด้วยการถวายบังคม ...... การแสดงได้ดำเนินไปอย่างออกรสออกชาติตามกระบวนที่ครูผู้เชี่ยวชาญแต่ละแขนงท่านได้ประสิทธิ์ประสาทกันมา
ผมนั่งชมจนจบ ตอนนี้คงเหลือแต่ผมคนเดียวที่ยังนั่งยิ้มอย่างมีความสุข ในขณะที่ทุกคนกำลังลุกออกจากที่นั่ง
"ครูครับ ครู ผมเล่นเป็นอย่างไรบ้างครับ..." เสียงหนุ่มน้อยในชุดโขนเต็มยศ คุกเข่านั่งข้างๆ ตัวของผม
ผมหันไปยิ้มรับเป็นการตอบคำถาม เด็กหนุ่มผู้นั้นคงจะทราบในรอยยิ้มได้ดีว่าคำตอบของผมคืออะไรก่อนจะก้มลงกราบ ............. >>>>
..................................................................................
องก์ที่ ๑ เต็มสิปป์
ผมชื่อเต็มสิปป์ครับ หลายคนคงจะว่าชื่อผมแปลกๆใช่ไหมครับ แน่นอนล่ะครับ เพราะทั้งชีวิตผมก็มีแต่คนถามแบบนี้ เต็มสิปป์นี้เป็นชื่อที่ ผมภูมิใจอย่างที่สุดครับ เพราะมีครูท่านหนึ่งที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กเป็นคนตั้งให้ ครูบอกว่า คำว่า "สิปป์" หรือ"สิปปะ"นี้ เป็นคำที่มีความหมายเดียวกับคำว่า"ศิลปะ"ครับ ใช้แล้วล่ะครับ "ครู" ผมเองก็เป็นเด็กกำพร้า ที่ครูเติมเก็บมาเลี้ยง คงไม่ถึงขั้นเก็บมาเลี้ยงนะครับแค่จำเป็นต้องอุปการะอย่างไม่ได้ตั้งใจ คือพ่อแม่ของผมเป็นคนงานในบ้านของครู ซึ่งเปิดเป็นสำนักโขนละครที่มีชื่อเสียง มีลูกศิษย์และคนงานในบ้านหลายสิบชีวิต .... ภายหลังการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองไม่ถึงห้าปี ศิลปะวัฒนธรรมดั้งเดิมถูกลดทอนบทบาทลงจนแทบจะไม่มีให้เห็น เรียกว่า ณ ขณะนั้นคณะโขนละครทั่วไป รวมทั้งของครูเติม ลำบากเป็นที่สุด จนถึงกับขายเครื่องดนตรีทั้งน้ำตา เพื่อนำเงินมาแบ่งให้กับลูกศิษย์ในคณะ รวมทั้งคนงานในบ้านให้เป็นเงินทุนไปทำอาชีพอื่นๆ กันครับ จากผลครั้งนั้นทำให้ผมซึ่งดูจะเป็นภาระของพ่อแม่ ก็ถูกทิ้งไว้ โดยกว่าครูเติมจะมาพบก็ร้องไห้จนดังลั่นบ้าน ....
ครูเติมจึงจำเป็นต้องเลี้ยงดูผมมาตั้งแต่เด็ก และตั้งชื่อให้ผมว่า "เต็มสิปป์" โดยหวังให้ผม เติมเต็มในศิลปะที่ครูรักต่อไป ...... จริงๆผมควรเรียกว่าพ่อด้วยซ้ำ แต่ครูเติมมักสอนผมเสมอว่า "คนเราเกิดมามีพ่อแม่เพียงคนเดียว อย่าเที่ยวไปเรียกใครต่อใครว่าพ่อแม่ส่งเดช เพราะสองคำนนี้ถือว่าเป็นคำสูง ไม่ควรเรียกใครง่ายๆ กระทั้งก็ไม่ควรเอามาใช้เป็นคำหยาบมันจะทำให้ไม่ดีกับตัว ถึงครูจะเลี้ยงดูเต็ม มาตั้งแต่เด็กพระคุณก็ไม่เสมอ พ่อแม่บังเกิดเกล้าของเจ้าหรอกนะ...จำไว้"
ฉากที่ ๑ บ้านครูเติม
"เต็มเอ้ย..!!! มานี่ซิ" ครูเติมเรียกเด็กหนุ่มเข้ามาหา
"ครับครู.." เต็มรับคำพร้อมรีบเดินมาหาครู ถัดจากประตูบานใหญ่ของบ้านเผยให้เห็นชายหนุ่มรุ่น ท่าทางทะมัดทะแมง ความสูงที่พอเหมาะ กับผิวขาวละเอียด ใบหน้ารูปไข คิ้วโก่งหนาพองาม จมูกเป็นสันรับกับลิมฝีปากเรียวบางราวกับผู้หญิง เดินเข้ามาด้วยอาการสุภาพพร้อมคุกเข่าข้างๆ
"ไหนลองทบทวนท่ารำที่ครูต่อไว้ให้เมื่อวันก่อน ให้ดูหน่อยซิ" ครูเฒ่าท่าทางใจดีพูดกับเด็กหนุ่ม
เต็มทำสีหน้าเบื่อหน่าย พร้อมกับถอนหายใจยาว พร้อมทบทวนท่ารำทีละท่าอย่างช้า ให้ครูดู
"ไม่ใช่อย่างนั้น !!!..... สอนกี่ทีแล้วหัดจำเสียบ้างสิ ไปหยิบไม้เรียวมาเดี๋ยวนี้" ครูเติมดุเต็มด้วยเสียงดัง กับใบหน้าที่แสดงอาการณ์ไม่พอใจ จากครูเฒ่าท่าทางใจดี แต่เวลาครูสอนนาฏศิลป์แล้วไม่อ่อนข้อให้ใครทั้งนั้น จนกว่าจะได้ตามที่ครูต้องการ
"เต็มไม่ใช่เด็กแล้วนะครู ..." เด็กหนุ่มเถียงครูเต้มด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น แต่ไม่ถึงกับแข้งกร้าว
ครูเติมทำสีหน้าไม่พอใจ พร้อมพูดขึ้น “ก็ไม่ใช่เด็กน่ะสิ แค่นี้ทำไมถึงทำไม่ได้ ......” และคำกึ่งบ่นกึ่งสอนจากครูเติมก็พรั่งพรูออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจำ
“สองหนุ่ม มัวทำอะไรอยู่ .... ค่ำแล้วมากินข้าวกินปลากันก่อน..”
ทั้งสองหันมองไปยัง ต้นเสียงที่ดังขึ้น
“แม่ครู...” เต็มสิปป์ อุทานขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แน่นอนว่าเสียงจากแม่ครูช่วยชีวิตเต็มสิปป์ไว้ทันเวลาพอดี แม่ครูเป็นภรรยาของครูเต็ม แม่ครูเป็นคนใจดีมากๆ และมักจะช่วยปกป้องเต็มสิปป์เสมอเวลาที่ครูดุหรือทำโทษ
บรรยากาศบนโต๊ะ อาหารวันนี้ดูจะเงียบๆผิดปกติ ซึ่งปกติแล้ว เต็มสิปป์จะพูดเก่ง ช่างพูดช่างเจรจา ทำให้ครูและแม่ครู หัวเราะได้อยู่เสมอ
“โกรธครูหรอ” คำถามจากครูเติม ทำให้บรรยากาศกับยิ่งดูตึงเครียดมากขึ้น
“ป่าวครับ เต็มต้องขอโทษครูด้วยนะครับที่ทำกริยาไม่ดีใส่ครู พอดีเต็มรู้สึกไม่สบายใจน่ะครับ” เต็มสิปป์ตอบ
ครูและแม่ครู หันมองหน้าเต็มด้วยความสงสัย แม่ครูจึงเอ่ยขึ้น “เป็นอะไรรึเต็ม เล่าให้แม่ครูกับครูฟังได้ไหม”
เต็มสิปป์เงยหน้ามองผู้มีพระคุณทั้งสองก่อนจะเล่าเหตุการณ์เมื่อกลางวันให้ฟัง
“การที่เราเรียนโขนละคร มันทำให้เราดูต่ำต้อยขนาดนั้นเลยหรอครับ วันนี้ครูที่โรงเรียนเขาถามว่านักเรียนแต่ละคนมีความสามารถพิเศษอะไร เต็มก็ตอบว่าโขนละคร เพื่อนหลายคนในห้องต่างหัวเราะด้วยสายตาเยอะเย้ย และมีคำนึงที่เต็มฟังแล้วรู้สึกไม่ดีเลย เต้นกินรำกิน มันฟังดูไม่มีศักดิ์ศรีเลยนะครับ...”
“โธ่เอ้ย..นึกว่าอะไร เด็กน้อยแค่นี้รู้จักรักศักดิ์ศรีด้วยรึ” แม่ครูพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดูแกมหัวเราะ ก่อนครูเติมจะพูดต่อ “เดี๋ยวกินข้าวกินปลาเสร็จ ช่วยแม่ครูล้างถ้วยชามแล้วตามครูไปที่ห้องพระหน่อยนะ”
ฉากที่ ๒ ห้องพระ
ภายในห้องพระที่อยู่ชั้นบนของบ้าน เป็นห้องขนาดใหญ่ที่สามารถจุคนได้จำนวนมาก เดิมทีก็ใช้เป็นที่ซ้อมโขนละคร บรรยากาศภายในห้องมีโต๊ะหมู่บูชาขนาดใหญ่ มีพระพุทธรูปเก่าแก่มากมายเรียงรายอย่างเป็นระเบียบชั้นรองลงมาเป็นเศียรครูทางด้านนาฎศิลป์ สภาพเก่าดูเข้มขลังทรงพลังอย่างบอกไม่ถูก ถัดมาเป็นเครื่องดนตรีและรูปภาพครูบาอาจารย์ของครูเติมที่เคารพนับถือ ในบรรดารูปภาพเหล่านั้นมีรูปของชายสูงศักดิ์สวมใส่เครื่องอาภรณ์โขนอย่างวิจิตรงดงามเบื้องหน้ารูปภาพนั้นมีพานธูปเทียนแพ วางเป็นเครื่องสักการะอยู่
“เต็มจำได้ไหม นี่คือรูปของใคร” ครูเติมถามเด็กหนุ่ม
“จำได้ครับ” เด็กหนุ่มตอบ
“แล้วองค์เสด็จที่เห็นในรูปภาพน่ะ ดูต่ำต้อยรึป่าว” ครูเติมถาม
เด็กหนุ่มมองไปที่รูปภาพพร้อมตอบคำถามครูเติม “ไม่ได้ดูต่ำต้อยนะครับ เสด็จก็ยังเป็นเสด็จที่คนนับถืออยู่”
ครูเติมยิ้ม “แล้วเต็มยังมองงานโขน ละคร ดนตรี ว่าต่ำต้อยอยู่หรือเปล่า เดิมทีเดียวโขนน่ะเป็นการแสดงที่มีแต่เจ้านายในรั้วในวังเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ได้ดู ชาวบ้านอย่างเราน่ะไม่มีสิทธ์ได้ดูหรอกนะ เพราะฉนั้นศิลปะแขนงนี้จึงไม่ใช่ของต่ำต้อยแต่อย่างใด พ่อแม่ของครูน่ะพาไปฝากตัวกับเสด็จตั้งแต่ยังเด็กได้ร่ำเรียนวิชาการละครฟ้อนรำจากเสด็จโดยตรงนะ วิชาที่ครูสอนให้เต็มน่ะก็มาจากเสด็จทั้งสิ้น แค่ที่มาก็ไม่ใช่เรื่องต่ำต้อยแล้ว กระทั้งครูเทพเทวาที่เรานับถือกันก็เป็นเทพเทวดาชั้นสูงทั้งสิ้น ซึ่งคนทั่วไปที่ไม่ได้เรียนนาฏศิลป์ก็เคารพนับถือเช่นกัน หากใครดูถูกเราก็เท่ากับดูถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขานับถือ และก็เท่ากับว่าเขาดูถูกตัวเองด้วย เต็มรู้ไหมบ้านเมืองเราตอนนี้น่ะมีอะไรที่บอกกับคนอื่นได้ว่าเป็นสยามอย่างแท้จริง การแต่งกายก็เรียนแบบฝรั่งมังค่า แม้แต่อาหารการกินก็เรียนแบบเขา แล้วก็พูดได้ว่าเราอารยะแล้วเราพัฒนาแล้ว พัฒนาแต่เปลือกน่ะสิ ประเทศที่เขาพัฒนาแล้วเขาก็มีศิลปะวัฒนะธรรมอย่างละครโอเปร่าของตะวันตกก็มีประวัติยาวนานเขาไม่เห็นต้องแสร้งทำตัวให้เหมือนใครแต่ทำไมเขาถึงดูเป็นอารยะล่ะ ลองหันกลับมาดูเราสิ เราก็มีศิลปะวัฒนธรรมที่เนินนานผ่านกาลเวลาจนพูดได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของสยาม แต่เรากลับมองตัวเองว่าไร้ค่า เสด็จเคยตรัสกับครูเนืองๆว่า วันนึงเราจะเสียเอกราช ถึงจะไม่ได้เสียเอกราชทางการปกครอง แต่จะเป็นการเสียเอกราชทางวัฒนธรรม ทุกวันนี้ก็เป็นจริงทุกคำอย่างที่เสด็จเคยตรัสไว้”
มาถึงตอนนี้เต็มสิปป์ ที่ได้ฟังคำตอบจากครูเติม ทำให้เขานั่งยิ้มอย่างภูมิใจ ที่เขาเป็นผู้หนึ่งที่จะคงเอกราชทางวัฒนธรรมไว้ได้ ……
องก์ที่ ๒ จุดจบหรือการเริ่มต้น
เสียงเพลงวา ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งโรงละคร นั่นเป็นสัญญาณที่คนดูโขนละครจะทราบดีว่าบัดนี้การแสดงที่พวกเขาเฝ้ารอคอยกำลังจะเริ่มทำการแสดงแล้ว ความมืดมิดของโรงละครค่อยสลายลงพร้อมแสงไฟที่ค่อยๆสว่างจ้าขึ้น ม่านสีแดงเข้มขนาดใหญ่กลางเวที ค่อยๆคลี่ตัวออกจากกัน เผยให้เห็นตัวละครที่แต่งชุดอย่างวิจิตรสวยงาม เต็มเวที กลางเวทีเป็นที่นั่งยกตัวสูงขึ้นจากพื้น มีชายหนุ่มรูปงามแต่งกายเต็มยศ นั่งเป็นประธาน ทั้นทีที่เพลงวาบรรเลงมาจนถึงท้ายเพลงเหล้าบริวารวานรทั้งซ้ายขวาต่างนั่งคุกเข้าและทำความเคารพด้วยการถวายบังคม ...... การแสดงได้ดำเนินไปอย่างออกรสออกชาติตามกระบวนที่ครูผู้เชี่ยวชาญแต่ละแขนงท่านได้ประสิทธิ์ประสาทกันมา
ผมนั่งชมจนจบ ตอนนี้คงเหลือแต่ผมคนเดียวที่ยังนั่งยิ้มอย่างมีความสุข ในขณะที่ทุกคนกำลังลุกออกจากที่นั่ง
"ครูครับ ครู ผมเล่นเป็นอย่างไรบ้างครับ..." เสียงหนุ่มน้อยในชุดรัดเครื่องโขน คุกเข่านั่งข้างๆ ตัวของผม
ผมหันไปยิ้มรับเป็นการตอบคำถาม เด็กหนุ่มผู้นั้นคงจะทราบในรอยยิ้มได้ดีว่าคำตอบของผมคืออะไรก่อนจะก้มลงกราบ
ก่อนที่บรรดาลูกศิษย์คนอื่นๆ จะพากันตามมาสมทบ แล้วนั่งห้อมล้อม น้ำตาแห่งความปิติของผมมันเอ่อไหลออกมาอย่างบอกไม่ถูก “โขนคงไม่ตายแล้วสินะ...โชคดีเป็นบุญของวงการ รวมทั้งเป็นบุญของผมจริงๆ ที่เจ้านายในแผ่นดินไม่ลืมศิลปปะวัมนะรรมของเรา ทั้งยังส่งเสริมยกระดับทำให้โขนคงอยู่ กับดลกที่มีการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ นอกจากภาษาไทยแล้วนี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกความเป็นไทยได้ดี” เป็นคำที่ผมคิดอยู่ในใจ ก่อนที่ผมจะหลับตาลง
เสี่ยงร่ำไห้ของบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของครูเต็มสิปป์ ดังขึ้น ทุกคนก้มกราบเป็นการทำความเคารพเป็นครั้งสุดท้าย ……. “ครูเองคงหลับได้อย่างสบายใจ โขนถึงจะไม่เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน แต่ก็มั่นใจได้ว่า โขนจะยังคงอยู่คงมี แม้ลมหายใจของนักสู้สายนาฏศิลป์อย่างครูเต็ม จะดับสิ้นไป แต่ครูเองก็ต่อลมหายใจให้กับนาฏศิลป์ที่ครูรักมาทั้งชีวิต...”