จุดมืดของวงการนาฏศิลป์ไทยในระบบการศึกษาที่เป็นกระทรวงวัฒนธรรม

กระทู้สนทนา
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของผมครับ ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องที่ผมไม่อยากให้เกิดกับรุ่นน้องรุ่นต่อไปที่เข้าไปเรียนในวิทยาลัยนาฏศิลป์ จึงจะนำมาเล่าให้เป็นตัวอย่างที่ควรระวังในการศึกษาต่อด้านนี้นะครับ🙏🏻

**นามปากกา: BLACKROSE

สวัสดีครับ ผมblackrose อดีตนักศึกษารั้วเขียวขาวรุ่นที่82 ผมจะเล่าย้อนไปในตอนที่จะเข้าม.4ละกันนะครับ😙

ครั้งนั้นผมจบม.3ใหม่ๆ และมีความสามารถด้านนาฏศิลป์และนาฏยศัพท์มาตั้งแต่อนุบาล รวมถึงปูพื้นฐานโขนตัวละครพระมาโดยตลอด ผมจึงปรึกษาพ่อและแม่เลี้ยง ว่าผมต้องการไปเรียนต่อวิทยาลัยนาฏศิลป์ ท่านจึงได้พาผมไปสมัครวิทยาลัยนาฏศิลป์ทางตะวันออกแห่งหนึ่ง ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะไปได้ด้วยดี ที่จะได้เรียนในสิ่งที่เราชอบ ถนัด มีใจรัก และปูพื้นฐานมาเหมือนกับคนอื่นๆ แต่เมื่อผมเรียนไปได้ไม่กี่สัปดาห์ ครูเอกโขนละครพระกลับให้ผมไปเรียนเอกโขนละครลิงแทน ซึ่งไม่ตรงตามที่ผมกรอกใบสมัครและตั้งใจปูพื้นฐานเพื่อมาเรียนเอกที่ถนัด โดยครูให้เหตุผลว่า ลงชื่อนักเรียนผิดวิชา และแก้ไขไม่ได้ จึงต้องไปเรียนตามวิชาที่ครูลงชื่อไว้ นั่นทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่า "อ่าว แล้วพื้นฐานที่เราปูมาหลายปีล่ะ โขนลิงเราก็ไม่มีพื้นฐานมาด้วย,, จึงต้องจำยอมไปเรียน และทุลักทุเลในการเรียนมากครับ เพราะลิงต้องมีความแข็งแกร็ง ว่องไว ตีลังกา หงายหลังพลิกกลับได้ ผมพยายามอยู่ร่วม5เดือน จำได้แค่ท่า แต่ลีลาท่าทางและลายท่ากับความแข็งแรงของท่า มันไม่ได้เลย แถมตีลังกาอะไรพวกนั้นก็ไม่ได้สักที จนผมหนีเข้าไปร้องไห้ในห้องน้ำ และหน้ามืดสลบไป เพื่อนมาเห็นจึงพากันปีนห้องน้ำมาอุ้มออกไปข้างนอก ในขณะที่ผมนั่งพัก ผมได้ยินครูของเอกโขนละครพระพูดว่า "ฉันสงสารนะ ต้องไปเรียนสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจมาเรียน และต้องสอบอีกภายใน6เดือน นี่เข้าเดือนที่5แล้ว พวกนางจำท่าได้ แต่ลีลาท่าทางไม่ได้ มันจะผ่านหรอ เดี๋ยวก็ได้ออกเหมือนอีเจมส์,,
ครูโขนพระอีกคนบอกว่า"โอ้ยยยย มันอาจจะสอบได้แหละ ก็ตัวเล็ก เตี้ยแบบนั้น เอาเข้าเอกเรามาจะไปออกงานอะไรได้ แต่งเครื่องพระไม่ขึ้นหรอก เสียผลงานหมด,,
นั่นได้ทำให้ผมเข้าใจว่า ครูไม่ได้ลงชื่อผิดวิชา แต่จงใจให้เราไปอยู่วิชาอื่นต่างหาก หลังจากผมรู้ ผมยอมรับเลยว่าความโกรธเคือง ทำให้ผมเกิดการต่อต้าน ไม่รับ ขี้เกียจ ไม่เอาอะไรทั้งสิ้น จนมีปัญหาและได้คุยกับพ่อ แล้วเอาใบลาออกไปยื่นออกแบบยิ้มๆในที่สุด ผมมองว่า ผมควรยืนหยัดในสิ่งที่เราอุตส่าเสียเงินเรียนพื้นฐานมาหลายปี ยืนหยัดในความสามารถ เรียนในสิ่งที่เราถนัด เพื่อต่อยอดสิ่งที่เรามีให้มันกล้าแกร่งขึ้น ไม่ใช่ถูกคนอื่นกำหนดให้ไปเรียนในสิ่งที่ไม่ใช่เรา จริงๆโขนลิงก็ไม่ได้เกิดความสามารถของผมหรอกนะครับ แต่6เดือนต้องสอบสำหรับคนไม่มีพื้นฐานมาเลย มันเป็นเวลาที่น้อยมาก ขนาดโขนพระง่ายกว่า ผมยังต้องปูพื้นฐานมาตั้ง9ปี กว่าจะกล้าสอบเข้ามาเรียนเอกนี้ได้ ไม่ใช่ควรจะเกิดเรื่องแบบนี้

หลังจากนั้น ผมจึงได้อยู่บ้าน รอเวลาไปสมัครเรียนใหม่ แต่ก็ไปหางานทำแก้เบื่อบ้าง จนถึงเวลา แม่เลี้ยงได้นำใบสมัครวิทยาลัยนาฏศิลป์หัวกะทิแห่งหนึ่งให้ผมดู และตกลงจะสมัคร แต่ด้วยความที่ เรื่องถูกจับเปลี่ยนเอกโดยไม่ชอบธรรมนั้น กลายเป็นความกลัวสำหรับผม กลัวจะเกิดปัญหาอีก ผมจึงเลือกเอกใหม่เป็น คีตศิลป์สากล(ขับร้องเพลงสากล)
และจะมีวิชาโทให้เลือกตามความถนัดและชอบ ซึ่งในใบไม่ได้ระบุว่ามีอะไรให้เลือก จึงกรอกไปแค่นั้น จนทุกอย่างผ่านไปด้วยดี จนกระทั้งได้เข้าเรียน ถึงวันที่ต้องเลือกสาระเพิ่มและวิชาโท นั่นทำให้ผมเกิดความเครียดอีกครั้ง เพราะเขาบอกว่า เอกคีตศิลป์สากล จะบังคับให้ทุกคนเลือกวิชาโทเป็นเปียโน หากในอาทิตย์แรกเรียนไม่ได้ สามารถเปลี่ยนวิชาโทได้ในสัปดาห์ดาแรก ซึ่งเรามีปัญหาที่ที่บ้านก็รู้อยู่แล้ว และเราเองก็รู้ดี คืออาการที่ ไม่สามารถแยกประสาททำอะไรหลายๆอย่างพร้อมกันได้ ปัญหาที่เจอในตอนนั้นคือ เล่นข้างซ้าย ข้างขวาจะหยุดไปเลย เล่นข้างขวา ข้างซ้ายจะหยุดเช่นกัน ทำให้ผมพยายามหาเพื่อนที่เก่งๆมาฝึกผมวันละ7ชั่วโมงจนกลับหอมืดตลอด  พอผมเริ่มรู้ว่ามันจะไม่รอดแน่นอน จึงได้ขอเปลี่ยนวิชาโททันที แต่ครู่มั่นใจในตัวผมมาก ว่าผมต้องทำได้ จึงให้ผมอยู่วิชาโทนี้ต่อ สุดท้าย ก็ไม่ได้เลย ครูจึงยกเกรดให้ฟรีๆ โดยให้ผมพยายามไล่นิ้วให้ได้ แต่เทอมต่อมา ดันเปลี่ยนครูวิชาโท ผมเลยเริ่มเครียดอีกรอบและเริ่มทำพาร์ทไทม์ เอาเงินมาเรียนเปียโน นอกเวลา จนในที่สุดก็พัง ผมติด0วิชาโท ซึ่งมันเป็นอะไรที่แย่มากๆ รวมถึงตอนนั้นผมมีแฟนที่เพิ่งเลิกไปเพราะผมไปรู้ว่าเขาขายตัว จึงเกิดข่าวลือว่า ผมมีแฟนโรงเรียนชายล้วนขายตัว และผมเองก็อาจจะขายกับแฟนด้วย ซึ่งผมไม่ได้ขายเลย ผมแค่จับได้ว่าแฟนขายและได้บอกเลิกกันไป ด้วยการที่เราติด0วิชาหลักสำคัญ+มีข่าวเสื่อมเสีย ทำให้ทางวิทยาลัยรีไทร์ผม พ่อและแม้เลี้ยงเสียหน้าและอับอายกับข่าวลือ ท่านผิดหวังไม่เท่าไหร่ืแต่ดันมีเรื่องเสียหาย ท่านจึงไม่กล้าส่งผมเรียนอีก
โดยไม่ใช่แค่เรื่องระบบการเรียนนะครับ เรื่องอื่นๆที่มันไม่ควรจะเกิดขึ้นกับผมรูปแบบอื่นในวิทลับแห่งนี้ก็ยังมีอีก เช่น ใส่กางเกงสลับกับเพื่อน ทำให้กางเกงขาเต่อ ไม่เป็นระเบียบ ผมไม่สามารถอธิบายอะไรได้ ครูฝ่ายปกครองก็ตัดกางเกงของเพื่อนที่ผมใส่อยู่ จนขาดวิ่นแบบซ่อมไม่ได้เลย รวมถึงเรื่องอื่นๆที่เกิดขึ้นกับคนรอบตัวผม ทั้งครูขออมของลับเด็กในห้องน้ำเซนทรัล ครูคุมหอย่องเข้าห้องเด็กจนเกิดการลงไม้ลงมือ ต่างๆนาๆ ซึ่งตอนนั้นยอมรับว่า ผมและเพื่อนบางคนที่โดนขี้ขลาดมาก ที่ไม่หนักแน่นพอที่จะต่อต้านเพื่อสิ่งอันควรจะเป็น ไม่กล้าพอที่จะชี้แจงปัญหาแต่ละอย่างให้พ่อแม่รับรู้ มัวแต่กลัวว่าจะมีปัญหาใหญ่  ทำให้ผมต้องออกมาทำงานยาวๆตั้งแต่อายุ18 ตอนทำงานเวลาเลิกงานออกจากออฟฟิศแล้วเจอนักเรียน ผมต้องปลีกตัวไปร้องไห้คนเดียวตลอด เพราะผมเองก็ควรที่จะยังอยู่ในชุดนักเรียน แต่มันคงไม่มีโอกาสแล้ว ที่ผมจะได้โลดแล่นในการเรียนสายอาชีพด้านนาฏศิลป์
บางคนอาจจะมองว่าเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเพราะผมมีข้อยกเว้นเยอะ แต่สำหรับผม มันไม่ใช่ขอยกเว้น ผมกลับมองว่า มันควรจะเป็นไปตามสิ่งที่ควรจะเป็นมากกว่า เพราะแต่ละวิทยาลัย จะมีวิชาเอกให้นักศึกษาได้เรียนตามความสามารถที่ถนัด เพื่อให้นักศึกษาได้ต่อยอดความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่มีความสามารถเรื่องขนอาหารแต่ไปบินสร้างรัง
เหมือนมดกับนก  อย่างผมฝันอยากเป็นครูโขนละครพระ ไม่ก็ครูสอนร้องเพลง แต่จบโขนลิง มันก็ขัดแย้งกับความฝันและความสามารถใช่มั้ยล่ะครับ
ที่สำคัญ เรื่องนี้ถ้าแยกออกมา มันเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุเลย

1.ถูกเปลี่ยนเอกโดยไม่เป็นธรรม จนต้องเรียนในสิ่งที่ไม่มีพื้นฐานมาเลย
2.ไม่กล้าพอที่จะบอกพ่อแม่แล้วใช้อารมณ์
3.ได้รับข้อมูลการสมัครไม่ครบท่วนืและไม่โทรถามทางวิทยาลัยให้ชัดเจน ทำให้เจอกับปัญหาเรื่องวิชาโท
4.ไม่หนักแน่นพอที่จะเปลี่ยนวิชาโทเป็อย่างอื่นที่ถนัด
5.เลือกคบแฟนไว้เรียนโดยไม่ระวัง ไม่ทันคน ทำให้เรื่องไม่ดีพาลพาเราและพ่อแม่เสียหายไปด้วย

ต้นเหตุที่ผิดพลาดมาทั้งหมด เราผิดบ้าง คนอื่นผิดบ้าง วนๆกันไป ทุกอย่างผมได้รับมาเป็นบทเรียน ถ้าเป็นไปได้ หากได้กลับไปเรียน ผมควรมีความหนักแน่นมากกว่านี้  
ทุกวันนี้ผมมักจะคิดถึงช่วงเวลาที่ผมได้แต่งยืนเครื่อง สวมชฎา ทาน้ำอบ นุ่งผ้าแดงแกะท่าเพลงต่างๆ แต่ถึงแม้จะคิดถึงมากแค่ไหน ผมก็คงได้แค่คิดถึง แต่ผมก็ไม่เสียดายเลย ที่ผมเลือกที่จะยืดหยัดในความสามารถด้านนี้ เลือกที่จะไม่ยอมเรียนอย่างอื่นที่ไม่ได้ต่อยอดพรสวรรค์ของตัวเอง
ถึงตอนนี้จะอยากกลับไปวางแผนใหม่และอยากกลับไปเรียนให้จบ แต่ผมก็จะไม่บั่นทอนและสู้ต่อ นำวิชานาฏศิลป์ด้านเครื่องประดับ มาทำมาหากิน ทำเป็นธุรกิจ เพิ่งเริ่มทำมา4-5เดือนแล้วคนับ และอาจจะมีการสอนโขนละคร พระ,นาง ในวันหยุดของนักเรียนด้วย หากผมสามารถหารายได้จากด้านนี้ได้แบบคงตัว ผมจะเริ่มกลับไปวางแผนการเรียนใหม่ ลบล้างสิ่งที่ผิดพลาดตอนนั้น  และสร้างมันขึ้นมาใหม่ เพื่ออนาคตของตัวเอง

พ่อๆ แม่ๆ น้องๆ ที่ได้อ่าน ผมขอให้ทุกท่านมีความรอบคอบ วางแผนดีๆกับการเรียนต่อนะครับ เพราะหากพลาดขึ้นมาเเบบผม มันจะทรมารทางจิตใจมากๆเลย ขอให้เต็มที่กับการเรียนนะครับ
🙏🏻ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับบบบ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่