บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง--8/49วัยเจริญศึกษา ( ต่อ )

เคยคิดอยากจะจัดรวมเพื่อนสมัยประถมดูเหมือนกันนะ แต่ไม่รู้ว่าจะติดต่อสื่อสารกันยังไงนี่สิ ถ้ามีเงินเยอะ ๆ ว่าจะทำโฆษณาออกทีวีช่วงไพรม์ไทม์ซะเลยให้มันรู้แล้วรู้รอด ที่แน่ ๆ ที่ผ่าน ๆ มา เราอาจจะเคยเดินเหยียบเท้าหรือทับเงาเพื่อนรุ่นนั้นมาบ้างแล้วก็ได้ เพียงแต่ไม่มีใครจำกันได้เท่านั้นเอง

ที่มาที่ไปยังไงไม่รู้ชัด จู่ ๆ ก็เกิดข่าวลือเรื่องผีผ้าขาวในห้องน้ำโรงเรียน ประมาณว่ามีคนอยู่ดึก ๆแล้วไปเข้าห้องน้ำ เห็นผ้าขาวลอยไปลอยมาในห้องน้ำชั้นล่างที่อยู่ส่วนท้ายของโรงเรียน งานนี้เลยงานเข้าเด็ก ๆ พอดิบพอดี เพราะมีพื้นฐานกลัวผีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สภาวะอุจาดบาดตาจึงเกิดขึ้นในโรงเรียนของเราจนได้ เพราะไม่มีใครกล้าไปเข้าห้องน้ำ ก็เลยแอบไปปล่อยของเหลวของแข็งของกึ่งเหลวกึ่งแข็งแถว ๆ หน้าห้องน้ำตอนทีเผลอกันยกใหญ่ เล่นเอาอึ่งซินแซ ครูอำนวยการต้องรีบเข้ามาเคลียร์ ทว่าเคลียร์ยังไงนี่ก็จำไม่ได้แล้ว สุดท้ายทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติต่อไป

เนื่องจากที่นี่เป็นโรงเรียนคริสต์ เราจึงได้เข้าโบสถ์สัปดาห์ละครั้งได้มั้ง ได้ฟังเรื่องราวของพระเยซูและบุคคลต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ และมีแข่งขันท่องจำข้อพระคัมภีร์อีกด้วย เราเองก็ได้รางวัลเป็นแสตมป์มาหลายดอกดวงเหมือนกัน แต่เพราะความที่ยังเด็กมากหรือไงนี่แหละ ตอนนั้นเลยยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก รับ ๆ ไว้แล้วก็ลืมเลือนไปซะเกือบหมดทีเดียว เหมือน ๆ กับภาษาจีนนั่นแหละ ทั้ง ๆ ที่เรียนแบบเข้มข้นจริงจังสุด ๆ ชนิดเป็นภาษาที่สอง เหมือน ๆ กับเด็กยุคนี้ที่มีภาษาอังกฤษเป็นภาษารองนั่นเลย ทว่าจบออกมาไม่นานก็ละลายหายเกือบหมดภูมิเหมือนกัน นับถึงตอนนี้ เหลือแค่เขียนชื่อตัวเอง แล้วก็หว่ออว้ายหนวี่ และอีกไม่เกินสิบตัวได้มั้ง นึก ๆ แล้วก็เสียดายเหมือนกันนะ ไม่รู้จะได้ใช้ประโยชน์บ้างรึเปล่า เพราะตอนจีบสาวก็ไม่เคยได้ใช้หว่ออว้ายหนวี่ ซักกะครั้งเดียว

ขอย้อนไปตอนเข้ามาเรียนที่นี่ใหม่ ๆ หน่อยเถอะ เราเหมือนเป็นโรคจิตชนิดนึงเลย คือชอบสะสมยางลบที่เพื่อน ๆ ทำตกไว้ตามพื้นห้อง จะค่อย ๆ ย่องไปเก็บกลับบ้านตลอด บางทีก็ไปเปิดเอาจากเก๊ะโต๊ะครูที่หน้าชั้นหลังเลิกเรียน คือพวกที่หัวหน้าชั้นเจอแล้วเอาไปให้ครูประกาศหาเจ้าของนั่นน่ะ ตอนแม่มาเยี่ยม แม่เลยอบรมสอนสั่งซะหนึ่งยก หลังจากนั้นอาการนี้ก็หายเป็นปลิดทิ้ง มีอยู่ครั้งนึง ตอนเดินไปโรงเรียน สวนกับเด็กผู้หญิงอีกโรงเรียนนึง แล้วเค้าทำยางลบปากกาแบบวงกลม ๆ สีน้ำเงินหล่นกลิ้งหลุน ๆ มาเข้าทางเราพอดิบพอดี จะไวอะไรได้ปานนั้น เรารีบเอาเท้าเหยียบไว้ แล้วรีบก้มลงดึงเชือกรองเท้าออก และแกล้งทำทีกำลังผูกเชือกรองเท้าโหมดสโโมชั่น ตึ๊ด ๆๆๆๆ เด็กน่าสงสารคนนั้นก็ง่วนหาอยู่นานทีเดียว เธอคงงง ๆ ว่า หล่นอยู่ตรงนั้นชัด ๆ แล้วมันหายไปไหนได้ยังไงฟะ พอเธอถอดใจ เดินลับตาไปแล้ว เราถึงค่อย ๆ หยิบมันขึ้นมาอย่างกระหยิ่มอิ่มเอมใจ ( โรคจิตแหงม ๆ เลยตรู )

อีกอย่างนึงที่จำได้คือ สงสัยเลือดลูกพ่อค้าแม่ค้าจะแรง เราเลยหาเงินจากเพื่อน ๆ ได้ตั้งแต่ตอนนั้นเลยเชียว คือเราจะไปซื้อสติ๊กเกอร์รูปการ์ตูนญี่ปุ่นแผ่นใหญ่ ๆ มา แล้วเอามาตัดแบ่งเป็นชิ้นละสามรูป นับเป็นโลจิสติกแบบนึงได้นะเนี่ย และกำไรก็ใช้ได้ทีเดียวเชียวแหละ

ฟีลนึงที่เด็กกรุงเทพฯไม่มีทางได้สัมผัสคือ ความตื่นเต้นชนิดตั้งตาจดจ่อรอคอยชนิดแทบนับวินาทีที่จะได้กลับบ้านต่างจังหวัดในช่วงปิดเทอม เราจะได้กลับบ้านปีละสองครั้ง คือช่วงปิดเทอมกลางกับปิดเทอมใหญ่ หัวใจความคิดจะล่องลอยโบยบินไปที่นั่นล่วงหน้านานโขแล้ว เราจะไปขึ้นรถไฟชั้นสามที่หัวลำโพง ไปลงที่อุดรแล้วต่อรถบัสสีส้มอีกชั่วโมงนึง ( 70 กิโล )ไปที่สว่างแดนดิน ช่วงราวยี่สิบกิโลสุดท้ายนี่แหละ ใจมันจะเต้นรัวไม่เป็นส่ำ เราจะดูหลักกิโลไปเรื่อย ๆ 19 18 17 16 15 14 13...........6 5 4 3 2 และ ถึงแล้ว บ้านเก่าเราเกิด บ้านนอกที่คุ้นเคย คนที่ตื่นเต้นรอคอยไม่แพ้กันก็เห็นจะเป็นแม่นี่แหละ หลังจากนั้นแม่ก็จะคอยจัดหาขนมนมเนยและอาหารโปรดที่เราชอบมาให้กินตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่นด้วย

แม่เป็นคนที่ทำอาหารอร่อยหลายอย่าง ถ้าวันไหนที่แม่ทำน้ำพริกเห็ดฟางย่าง หรือซี่โครงหมูย่างล่ะก็ วันนั้นเป็นข้าวหมดหม้อโดยไม่รู้ตัวเชียวแหละ ตอนหลัง พี่ชายเราก่อการกบฏกับเตี่ย เพราะเตี่ยใช้กำลังข่มเหงทำร้ายแม่ พวกเราทุกคนรวมทั้งแม่ด้วยเลยยกโขยงย้ายออกมาอยู่ที่บ้านหลังใหม่ ห่างออกไปราวหนึ่งกิโล ซึ่งแม่แอบเก็บสะสมเงินมาซื้อที่และปลูกบ้านไว้ล่วงหน้าแล้ว เราเองก็มีส่วนไม่น้อยเหมือนกัน เพราะแม่จะกล่อมให้เราไปเป็นไส้ศึก คือไปช่วยเตี่ยขายของ แล้วค่อย ๆ จิ๊กเงินเตี่ยทุก ๆ วันตลอดช่วงปิดเทอม โดยที่เตี่ยไม่เคยรู้ระแคะระคายเลยแม้แต่น้อย การไปขลุกอยู่กับเตี่ยที่เราแสนจะชัง เป็นอะไรที่อึดอัดกระอักกระอ่วนที่สุดแล้วในชีวิต แต่เพราะเห็นแก่แม่และพี่ ๆ น้อง ๆ เราจึงต้องกล้ำกลืนฝืนทนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอย่างนั้น

หลังจากบ้านเป็นรูปเป็นร่างเข้าที่เข้าทางแล้ว แม่ก็เปิดร้านค้าของชำเล็ก ๆ เพื่อหาเลี้ยงพวกเรา รายได้หลักส่วนนึงนั้นมาจากกล้วยตากฝีมือแม่ แม่จะสั่งกล้วยจากเจ้าประจำที่คุณภาพดี เอามาตากแล้วบรรจุถุงพลาสติกใส วางขายหน้าร้าน อาศัยว่าทำเลดี มีรถบัสมาจอดรอรับคนตลอดเวลา ก็เลยขายดีมาก ๆ และเพราะแม่ทำอร่อยไม่เหมือนใคร จึงมีลูกค้าประจำคอยมาอุดหนุนอยู่เนือง ๆ บางคนก็ถึงกับขับรถมาจอดแวะซื้อกลับไปฝากญาติมิตรที่กรุงเทพฯอีกด้วย ที่เราเรียนหนังสือจนจบมหา'ลัยได้ก็ด้วยน้ำพักน้ำแรงของแม่และคุณานุคุณของกล้วยตาก รวมทั้งแฟนคลับกล้วยตากทุกคนนี่เอง และที่บ้านใหม่นี่เองที่พวกเราทุกคนได้สัมผัสความรักความอบอุ่นฉันพี่ ๆ น้อง ๆ อย่างแท้จริง เพราะตกเย็นมา วงสำรับข้าวแบบนั่งพื้นของบ้านเราจะใหญ่มาก ๆ มีสมาชิกร่วมสิบคนเห็นจะได้ กินกันไปคุยกันไปหยอกเอินกันไป อาหารที่อร่อยอยู่แล้วยิ่งทบเท่าทวีคูณไปอีกไม่น้อยเลย พวกเรายังมีวงอีกแบบนึงด้วย แต่อุบไว้เล่าต่ออีกที

ตัดฉากดราม่ามาหาแอ็กชั่นบ้างดีกว่า เด็ก ๆ แถว ๆ บ้านที่เคยเขม่น ๆ กับก๊วนแก๊งเราก่อนหน้านี้ ยิ่งมีเหตุผลเพิ่มขึ้นในการประกาศตัวเป็นอริ เพราะเดี๋ยวนี้ เรากลายเป็นเด็กเทพ ( กรุงเทพ ) ที่พูดอีสานเหน่อไปซะแล้ว ( เพี้ยนจากเดิมเยอะเลย ) หมั่นไส้หนัก ๆ เข้า ก็เลยเกิดฉากการต่อสู้แบบไม่ธรรมดาขึ้น เพราะเราชกมวยไม่เป็น เป็นแต่กังฟู คราวนั้นเลยรู้ซึ้งเลยว่า ศิลปะมวยไทยเนี่ยสุดยอดที่สุดแล้ว เล่นเอาเรากะปลกกะเปลี้ย และปากแตกกลับบ้านทีเดียว พอแม่เห็นและทักเท่านั้นแหละ ลูกผู้ชายอกศอกครึ่งอย่างเราก็น้ำตาร่วงแผละ ๆ เลย แม่ดึงเราเข้าไปกอด พร้อมกับบอกว่า " ไม่เป็นไรหรอกนะ ทายาเดี๋ยวเดียวก็หาย แล้ววันหลังอย่าไปเล่นแถวนั้นอีกล่ะ"

สงกรานต์ สงกรานต์ อยู่ในช่วงปิดเทอมใหญ่พอดี หนุกหนาน หนานหนุกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เราจะตั้งถังน้ำขนาดเขื่องโขที่หน้าบ้าน แล้ววิ่งไล่สาดน้ำกับเพื่อน ๆ รวมทั้งลูกค้าที่ผ่านไปผ่านมา แต่ที่มันส์สะใจที่สุดเห็นจะเป็นการเปิดศึกปะทะกับก๊วนแก๊งอรินี่แหละ แบบว่าชิงไหวชิงพริบ หยอดเหยาะความโหดใส่กันเต็มที่ น้ำที่เราใช้สาดและฉีดใส่กันจึงมีทั้งน้ำเน่าเหม็นคลุ้ง ที่ภาษาอีสานเรียกว่าน้ำขี่สีก น้ำปลา น้ำพริก ซีอิ๊ว จนถึงน้ำฉี่ เรียกว่าตอนเลิกเนี่ย เหม็นกันไปทั้งก๊วนแก๊งของเราและของพวกมันนั่นแหละ

พูดถึงน้ำขี่สีกเนี่ย เรามีประวัติกับมันชนิดลืมไม่ลงเลยเชียว ด้านหลังบ้านเรา ( บ้านเก่า ) จะมีคลองน้ำขี่สีกอยู่ ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก พอให้ฝูงเป็ดย่อม ๆ ล่องไปล่องมาได้ ด้วยความซนเป็นที่ตั้ง วันนึง เราจึงเอาไม้ไปแหย่พวกมันเล่น เลยโดนผีเป็ดผลักหรือไงไม่รู้ ตูมมมม เหม็นไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจดหาง เอ๊ยเท้าเลยทีนี้ เล่นเอาเซ็งเป็ดไปเลย ( นี่คือที่มาของคำนี้ หุหุ )กว่าจะชำระสะสางคราบดำ ๆ และกลิ่นอันรัญจวนจิตหมดสิ้นไปได้ ก็เล่นเอาสบู่ซันไลต์ซักผ้าก้อนสีเหลืองใหญ่ ๆ หดหายไปเกือบค่อนทีเดียว เดี๋ยวนี้ พอเห็นคลองน้ำเน่าที่ไหนเมื่อไหร่ เป็นได้ขนลุกซ่านทุกทีสิน่า
Narin Eng Onginsea's photo.

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่