สวัสดีครับ
รู้สึกว่าช่วงนี้ผมจะพบเจอกับพฤติกรรมและตรรกะของคนไทยบางกลุ่ม ย้ำบางกลุ่มว่านะครับ ที่รู้สึกแปลกดี (ในความรู้สึกของผม) เลยอยากแชร์ประสบการณ์ครับ
เริ่มตรงที่ผมจะต้องเดินทางจากสิงคโปร์มาประชุมที่ภูเก็ต
ณ สนามบิน ชางอี อาคาร 1
เหตุการณ์แรก ณ บริเวณจุดรับเงินคืนภาษี ถ้าใครเคยมาจะรู้ว่าจุดรับเงินคืนภาษี จะตั้งอยู่ในซอก ที่มี ร้านกระเป๋ารองเท้าชื่อดังของสิงคโปร์ (ที่คนไทยชอบมาก) ตั้งอยู่ข้างๆ
พอดีเดินผ่านก็ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกัน สักพักได้ยินเสียงสบถภาษาไทยชัดเจน (แหะๆ ด้วยอยากรู้อยากเห็น) เลยเดินเข้าไปดู ก็เห็นสาวไทย (ยังดูเด็กๆ น่าจะอายุไม่เกิน 25) กำลังยืนเถียงกับต่างชาติอยู่
โดยสาวไทยพ่นภาษาไทยแบบหยาบคายมากใส่ต่างชาติสุดๆ และมี f_ck you เป็นระยะๆ ต่างชาติก็ปรี้ดเหมือนจะเอาเรื่อง จนในที่สุดก็มี รปภ. มาแยกคู่กรณี
ขณะที่ รปภ. ถามคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย ดูเหมือนสาวไทยจะพูดภาษาอังกฤษได้ไม่คล่อง เหมือนงงๆ ก็เลยเข้าไปช่วยคุย
จึงได้ทราบเรื่องดังนี้ คือ สาวไทย มาต่อคิวเพื่อรับเงินคืนภาษี แต่เนื่องจากคิวยาวมากจึงและเห็นว่าร้านรองเท้ากระเป๋าตั้งอยู่ข้างๆ เลยวางสัมภาระคือถุงช็อปปิ้ง 3 ใบ ไว้เพื่อจองคิว!?!
แล้วก็ออกจากแถวไปช็อปปิ้งสักพักก็เดินกลับมาก็พยายามจะขอแทรกคิวกลับไป ณ จุดที่ตนได้ทำการจองคิวไว้ แต่ต่างชาติในแถวไม่ยอมจึงเกิดเรื่องด่าทอกันขึ้น...
ผมนี่อึ้งไปพักนึงหลังจากได้ยินคำอธิบายของสาวไทย...
จึงบอกเธอไปว่ากรณีนี้ วิธีที่เธอใช้ไม่สามารถใช้ที่นี่ได้ (ที่ไหนก็ไม่ได้...รึเปล่า?) แล้วแนะนำว่าไปต่อแถวใหม่เถอะ อย่ามีเรื่องเลย (อายเค้า... อันนี้ผมพูดในใจ)
โชคดีที่ต่างชาติไม่ติดใจเลย และสาวไทยก็ดูจะเย็นลงแล้ว ผมและสาวไทยเลยขอโทษต่างชาติคนนั้น
แล้วสาวไทยไปต่อคิวใหม่ ก็เลย จบๆ กันไป (ขอขอบคุณทาง รปภ. ที่ไม่เอาเรื่องด้วย)
ผ่านไปก็มานั่งรอที่เกท รอเรียกขึ้นเครื่อง
คนที่เดินทางน่าจะเคยเห็นว่า เก้าอี้ที่ใกล้เกทที่สุดจะเป็น priority seat ซึ่งจริงๆแล้วใครจะนั่งก็ได้ แต่หากในขณะนั้นมี คนแก่ คนชรา คนท้อง เจ้าหน้าที่ พนักงานต้อนรับ กัปตัน (หรือบุคคลที่มีเหตุสมควรที่จะนั่งใกล้เกท) ก็ต้องสละที่ให้บุคคลเหล่านั้นนั่งใช้งาน
เรื่องที่ผมเห็นคือมีกลุ่มคนไทยนั่งอยู่ (ที่รู้เพราะเมาท์มอยภาษาไทยกัน) แล้วต่อมาก็มีกัปตันและผู้ช่วยนักบินเดินมา ก็มานั่งข้างๆคนไทยกลุ่มนั้น (เข้าใจว่าเครื่องยังมาไม่ถึง) ต่อมาพนักงานต้อนรับบนเครื่องก็เดินมา แต่ที่นั่งไม่พอ (คนไทยกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่) กัปตันและผู้ช่วยนักบิน จึงลุกขึ้น แล้วสละที่นั่งให้พนักงานต้อนรับบนเครื่อง โดยกลุ่มคนไทยกลุ่มนั้นไม่ได้สนใจ แยแสสักนิด กรณีนี้ผมก็ได้แต่มองอยู่ ไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามอะไร แต่มองแล้วไม่สบายใจเลยจริงๆ
จนกระทั่งขึ้นเครื่องขณะรอเครื่องขึ้น
ก็ยังมีเรื่องต่อ คือ มีคนไทยนายนึงหยิบแทปเลตขึ้นมาเล่น ขณะรอเครื่องขึ้น พอพนักงานต้อนรับ เดินมาขอความร่วมมือให้ช่วยปิดเครื่องก่อน นายคนนั้นก็ไม่ยอม
อ้างแบบว่า มีผลการวิจัย บลาๆๆๆ เครื่องไม่มีปัญหาหรอก บางเครื่องมีไวไฟให้ใช้ไม่เห็นมีปัญหาอะไร อย่ามาเยอะๆ (ได้ยินมาแบบนี้ อารมณ์ประมาณนี้)
คือความเห็นส่วนตัวผม ผมว่ามันเหมือน house rule แต่ละสถานที่ก็มีกฎแตกต่างกันไป ถ้าไปอยู่ที่ของเค้าก็ต้องทำตามกฎของเค้า ผมคิดประมาณนั้นนะ สุดท้ายก็จบตรงที่ หัวหน้าพนักงานต้อนรับมาคุยกับผู้โดยสารคนนั้น ถ้าไม่ทำตามก็คงต้องเชิญลงจากเครื่อง เรื่องจึงจบ...
ขณะบินก็เจอเหตุการณ์ประจำคือผู้โดยสารชาวต่างชาติชอบย้ายที่นั่งเอง อันนี้ผมเจอประจำ ถ้าไฟลท์ว่างๆ มักเจอคุณลุงคุณป้าย้ายที่นั่งเอง มายังแถวที่ว่างๆ แต่กรณีนี้ พนักงานต้อนรับทำหน้าที่ได้ดี เข้าไปอธิบายและพาคุณลุงคุณป้ากลับที่นั่งโดยสงบ
เหตุการณ์ต่อไปเกิดที่ beach club แห่งหนึ่งในภูเก็ต (ที่นี่ไม่ค่อยมีคนไทยเข้ามาเพราะราคาอาหารค่อนข้างสูง)
ขณะที่รับประทานอาหารเป็นบุฟเฟ่อาหารกลางวัน ก็มีคนไทยกลุ่มนึงเข้ามารับประทานด้วย โต๊ะติดๆกัน เนื่องจากเป็น beach club การแต่งตัวก็ไม่เคร่งอะไรมาก ชุดว่ายน้ำ ลำลอง นั่งตัก กอดจูบ ก็ว่ากันไป
เรื่องมันเกิดตอนไปตักอาหาร
ขณะเข้าคิวตักอาหาร เนื่องจากแถวยาวก็ค่อยๆเคลื่อนตักๆกันไป อาหารที่ตั้งติดกันคือ สปาเกตตี้มีทซอส กับ สปาเกตตี้ไวท์ซอส โดยแต่ละถาดก็มีช้อนกลางสำหรับตักอาหารถาดละ 1 คัน
ขณะที่ผมตักสปาเก็ตตี้ไวท์ซอส (ผมไม่ได้ตักช้านะครับ ก็ตามๆคิว)
คนไทยนางหนึ่งซึ่งต่อคิวหลังผมก็ทำสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง
คือ นางเอาช้อนกลางสำหรับตักมีทซอสมาตักไวท์ซอส!!!...
ผลก็คือไวท์ฺซอสก็เละสิครับ ซอสครีมสีนวลๆ เละไปด้วยสีแดงของมะเขือเทศเต็มไปหมด ผมถึงกับมองหน้านางนิดนึง แต่ก็ไม่อยากมีเรื่องอะไรเพราะมาทานกับลูกค้า (เลยคิดในใจ ว่าแ_่งคิดได้ไง รอนิดหน่อยไม่ได้รึ) หลังจากนั้นก็แอบเห็นพนักงานต้องยกถาดไวท์ซอสไปเปลี่ยน อืม... น่าคิด
ยังไม่จบแค่นั้น ณ มุม ของปิ้งย่าง
ผมก็เดินไปเข้าคิวตักอาหาร ต่อคิวจากคนไทยนายหนึ่ง(ที่มาด้วยกันกับกลุ่มนั้น) ก็เจอพฤติกรรมประหลาด คือ จะมีซอสน้ำจิ้มอยู่ประมาณ 8 อย่าง ทุกถ้วยมีช้อนกลางหมด แต่นายคนนี้ไม่สนใจ เอาช้อนตัวเองตักน้ำจิ้มทุกถ้วยตามใจฉัน
ผลก็คือ น้ำจิ้มเละเทะหมดครับ... ผมงี้อึ้ง พนักงานก็อึ้ง... นายนั้นก็มองผมแบบมีอะไรรึ... ผมก็ไม่อยากมีเรื่อง เลยเอ่ยปากกับพนักงานให้ช่วยตักซอสที่ผมต้องการ(ที่เละไปแล้ว)ให้ใหม่ (ผมคุยกับพนักงานเป็นภาษาอังกฤษ เพราะพนักงานเป็นต่างชาติ) เหมือนนายนั้นจะรู้สึกนิดๆ พอนางหนึ่งเดินมาสมทบ ก็เหมือนจะได้ยินเค้าคุยๆกัน เรื่องที่เกิดขึ้น แล้วผมก็ได้ยินชัดเจนจากปาก ผู้หญิงนางนั้นว่า "แมร่งดัดจริตว่ะ แค่น้ำจิ้มจะอะไรนักหนา"
ผมนี่ปรี้ดปรอทแตก... หันขวับ...แต่ก็ด้วยความที่ต้องรักษาหน้าต่อหน้าลูกค้าก็อดทนๆ ให้ผ่านๆ
ต่อมา ผู้จัดการร้าน ก็เดินมาคุยกับลูกค้าที่โต๊ะ (เป็นเพื่อนกันกับลูกค้า) ก็เลยมาถามผมด้วย ด้วยความที่ผู้จัดการเป็นคนไทยก็เลยบ่นๆ เป็นภาษาไทย(ตั้งใจให้โต๊ะข้างๆกลุ่มนั้นได้ยิน) แอบมองไปโต๊ะข้างๆจากที่คุยกันเสียงดังถึงกับเงียบไปพักใหญ่ ผู้จัดการก็ยิ้ม (แล้วกระซิบบอกผม เข้าใจๆ เดี๋ยวจัดการให้)
ผมก็ครับๆ
แล้วพอออกจากร้านก็อดอมยิ้มไม่ได้กับสิ่งที่ผู้จัดการ จัดการให้ (ขอสงวนไว้นะครับ เอาเป็นว่า หยอกกันเล่นกับกลุ่มนั้น นิดๆ ขำๆ)
ก็ประมาณนี้ครับสำหรับทริปนี้ อาจเป็นโชคชะตาของผมที่เจอคนไทยแปลกๆ (ในสายตาผม ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ)
แต่ก็ทำให้เป็นเรื่องที่น่าคิดเหมือนกันในหลายๆเรื่อง
เพื่อนๆมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับ
ขอบคุณครับ
มารยาทในสังคม พฤติกรรมแปลกๆ ตรรกะแปลกๆ ที่ผมได้พบเจอ
รู้สึกว่าช่วงนี้ผมจะพบเจอกับพฤติกรรมและตรรกะของคนไทยบางกลุ่ม ย้ำบางกลุ่มว่านะครับ ที่รู้สึกแปลกดี (ในความรู้สึกของผม) เลยอยากแชร์ประสบการณ์ครับ
เริ่มตรงที่ผมจะต้องเดินทางจากสิงคโปร์มาประชุมที่ภูเก็ต
ณ สนามบิน ชางอี อาคาร 1
เหตุการณ์แรก ณ บริเวณจุดรับเงินคืนภาษี ถ้าใครเคยมาจะรู้ว่าจุดรับเงินคืนภาษี จะตั้งอยู่ในซอก ที่มี ร้านกระเป๋ารองเท้าชื่อดังของสิงคโปร์ (ที่คนไทยชอบมาก) ตั้งอยู่ข้างๆ
พอดีเดินผ่านก็ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกัน สักพักได้ยินเสียงสบถภาษาไทยชัดเจน (แหะๆ ด้วยอยากรู้อยากเห็น) เลยเดินเข้าไปดู ก็เห็นสาวไทย (ยังดูเด็กๆ น่าจะอายุไม่เกิน 25) กำลังยืนเถียงกับต่างชาติอยู่
โดยสาวไทยพ่นภาษาไทยแบบหยาบคายมากใส่ต่างชาติสุดๆ และมี f_ck you เป็นระยะๆ ต่างชาติก็ปรี้ดเหมือนจะเอาเรื่อง จนในที่สุดก็มี รปภ. มาแยกคู่กรณี
ขณะที่ รปภ. ถามคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย ดูเหมือนสาวไทยจะพูดภาษาอังกฤษได้ไม่คล่อง เหมือนงงๆ ก็เลยเข้าไปช่วยคุย
จึงได้ทราบเรื่องดังนี้ คือ สาวไทย มาต่อคิวเพื่อรับเงินคืนภาษี แต่เนื่องจากคิวยาวมากจึงและเห็นว่าร้านรองเท้ากระเป๋าตั้งอยู่ข้างๆ เลยวางสัมภาระคือถุงช็อปปิ้ง 3 ใบ ไว้เพื่อจองคิว!?!
แล้วก็ออกจากแถวไปช็อปปิ้งสักพักก็เดินกลับมาก็พยายามจะขอแทรกคิวกลับไป ณ จุดที่ตนได้ทำการจองคิวไว้ แต่ต่างชาติในแถวไม่ยอมจึงเกิดเรื่องด่าทอกันขึ้น...
ผมนี่อึ้งไปพักนึงหลังจากได้ยินคำอธิบายของสาวไทย...
จึงบอกเธอไปว่ากรณีนี้ วิธีที่เธอใช้ไม่สามารถใช้ที่นี่ได้ (ที่ไหนก็ไม่ได้...รึเปล่า?) แล้วแนะนำว่าไปต่อแถวใหม่เถอะ อย่ามีเรื่องเลย (อายเค้า... อันนี้ผมพูดในใจ)
โชคดีที่ต่างชาติไม่ติดใจเลย และสาวไทยก็ดูจะเย็นลงแล้ว ผมและสาวไทยเลยขอโทษต่างชาติคนนั้น
แล้วสาวไทยไปต่อคิวใหม่ ก็เลย จบๆ กันไป (ขอขอบคุณทาง รปภ. ที่ไม่เอาเรื่องด้วย)
ผ่านไปก็มานั่งรอที่เกท รอเรียกขึ้นเครื่อง
คนที่เดินทางน่าจะเคยเห็นว่า เก้าอี้ที่ใกล้เกทที่สุดจะเป็น priority seat ซึ่งจริงๆแล้วใครจะนั่งก็ได้ แต่หากในขณะนั้นมี คนแก่ คนชรา คนท้อง เจ้าหน้าที่ พนักงานต้อนรับ กัปตัน (หรือบุคคลที่มีเหตุสมควรที่จะนั่งใกล้เกท) ก็ต้องสละที่ให้บุคคลเหล่านั้นนั่งใช้งาน
เรื่องที่ผมเห็นคือมีกลุ่มคนไทยนั่งอยู่ (ที่รู้เพราะเมาท์มอยภาษาไทยกัน) แล้วต่อมาก็มีกัปตันและผู้ช่วยนักบินเดินมา ก็มานั่งข้างๆคนไทยกลุ่มนั้น (เข้าใจว่าเครื่องยังมาไม่ถึง) ต่อมาพนักงานต้อนรับบนเครื่องก็เดินมา แต่ที่นั่งไม่พอ (คนไทยกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่) กัปตันและผู้ช่วยนักบิน จึงลุกขึ้น แล้วสละที่นั่งให้พนักงานต้อนรับบนเครื่อง โดยกลุ่มคนไทยกลุ่มนั้นไม่ได้สนใจ แยแสสักนิด กรณีนี้ผมก็ได้แต่มองอยู่ ไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามอะไร แต่มองแล้วไม่สบายใจเลยจริงๆ
จนกระทั่งขึ้นเครื่องขณะรอเครื่องขึ้น
ก็ยังมีเรื่องต่อ คือ มีคนไทยนายนึงหยิบแทปเลตขึ้นมาเล่น ขณะรอเครื่องขึ้น พอพนักงานต้อนรับ เดินมาขอความร่วมมือให้ช่วยปิดเครื่องก่อน นายคนนั้นก็ไม่ยอม
อ้างแบบว่า มีผลการวิจัย บลาๆๆๆ เครื่องไม่มีปัญหาหรอก บางเครื่องมีไวไฟให้ใช้ไม่เห็นมีปัญหาอะไร อย่ามาเยอะๆ (ได้ยินมาแบบนี้ อารมณ์ประมาณนี้)
คือความเห็นส่วนตัวผม ผมว่ามันเหมือน house rule แต่ละสถานที่ก็มีกฎแตกต่างกันไป ถ้าไปอยู่ที่ของเค้าก็ต้องทำตามกฎของเค้า ผมคิดประมาณนั้นนะ สุดท้ายก็จบตรงที่ หัวหน้าพนักงานต้อนรับมาคุยกับผู้โดยสารคนนั้น ถ้าไม่ทำตามก็คงต้องเชิญลงจากเครื่อง เรื่องจึงจบ...
ขณะบินก็เจอเหตุการณ์ประจำคือผู้โดยสารชาวต่างชาติชอบย้ายที่นั่งเอง อันนี้ผมเจอประจำ ถ้าไฟลท์ว่างๆ มักเจอคุณลุงคุณป้าย้ายที่นั่งเอง มายังแถวที่ว่างๆ แต่กรณีนี้ พนักงานต้อนรับทำหน้าที่ได้ดี เข้าไปอธิบายและพาคุณลุงคุณป้ากลับที่นั่งโดยสงบ
เหตุการณ์ต่อไปเกิดที่ beach club แห่งหนึ่งในภูเก็ต (ที่นี่ไม่ค่อยมีคนไทยเข้ามาเพราะราคาอาหารค่อนข้างสูง)
ขณะที่รับประทานอาหารเป็นบุฟเฟ่อาหารกลางวัน ก็มีคนไทยกลุ่มนึงเข้ามารับประทานด้วย โต๊ะติดๆกัน เนื่องจากเป็น beach club การแต่งตัวก็ไม่เคร่งอะไรมาก ชุดว่ายน้ำ ลำลอง นั่งตัก กอดจูบ ก็ว่ากันไป
เรื่องมันเกิดตอนไปตักอาหาร
ขณะเข้าคิวตักอาหาร เนื่องจากแถวยาวก็ค่อยๆเคลื่อนตักๆกันไป อาหารที่ตั้งติดกันคือ สปาเกตตี้มีทซอส กับ สปาเกตตี้ไวท์ซอส โดยแต่ละถาดก็มีช้อนกลางสำหรับตักอาหารถาดละ 1 คัน
ขณะที่ผมตักสปาเก็ตตี้ไวท์ซอส (ผมไม่ได้ตักช้านะครับ ก็ตามๆคิว)
คนไทยนางหนึ่งซึ่งต่อคิวหลังผมก็ทำสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง
คือ นางเอาช้อนกลางสำหรับตักมีทซอสมาตักไวท์ซอส!!!...
ผลก็คือไวท์ฺซอสก็เละสิครับ ซอสครีมสีนวลๆ เละไปด้วยสีแดงของมะเขือเทศเต็มไปหมด ผมถึงกับมองหน้านางนิดนึง แต่ก็ไม่อยากมีเรื่องอะไรเพราะมาทานกับลูกค้า (เลยคิดในใจ ว่าแ_่งคิดได้ไง รอนิดหน่อยไม่ได้รึ) หลังจากนั้นก็แอบเห็นพนักงานต้องยกถาดไวท์ซอสไปเปลี่ยน อืม... น่าคิด
ยังไม่จบแค่นั้น ณ มุม ของปิ้งย่าง
ผมก็เดินไปเข้าคิวตักอาหาร ต่อคิวจากคนไทยนายหนึ่ง(ที่มาด้วยกันกับกลุ่มนั้น) ก็เจอพฤติกรรมประหลาด คือ จะมีซอสน้ำจิ้มอยู่ประมาณ 8 อย่าง ทุกถ้วยมีช้อนกลางหมด แต่นายคนนี้ไม่สนใจ เอาช้อนตัวเองตักน้ำจิ้มทุกถ้วยตามใจฉัน
ผลก็คือ น้ำจิ้มเละเทะหมดครับ... ผมงี้อึ้ง พนักงานก็อึ้ง... นายนั้นก็มองผมแบบมีอะไรรึ... ผมก็ไม่อยากมีเรื่อง เลยเอ่ยปากกับพนักงานให้ช่วยตักซอสที่ผมต้องการ(ที่เละไปแล้ว)ให้ใหม่ (ผมคุยกับพนักงานเป็นภาษาอังกฤษ เพราะพนักงานเป็นต่างชาติ) เหมือนนายนั้นจะรู้สึกนิดๆ พอนางหนึ่งเดินมาสมทบ ก็เหมือนจะได้ยินเค้าคุยๆกัน เรื่องที่เกิดขึ้น แล้วผมก็ได้ยินชัดเจนจากปาก ผู้หญิงนางนั้นว่า "แมร่งดัดจริตว่ะ แค่น้ำจิ้มจะอะไรนักหนา"
ผมนี่ปรี้ดปรอทแตก... หันขวับ...แต่ก็ด้วยความที่ต้องรักษาหน้าต่อหน้าลูกค้าก็อดทนๆ ให้ผ่านๆ
ต่อมา ผู้จัดการร้าน ก็เดินมาคุยกับลูกค้าที่โต๊ะ (เป็นเพื่อนกันกับลูกค้า) ก็เลยมาถามผมด้วย ด้วยความที่ผู้จัดการเป็นคนไทยก็เลยบ่นๆ เป็นภาษาไทย(ตั้งใจให้โต๊ะข้างๆกลุ่มนั้นได้ยิน) แอบมองไปโต๊ะข้างๆจากที่คุยกันเสียงดังถึงกับเงียบไปพักใหญ่ ผู้จัดการก็ยิ้ม (แล้วกระซิบบอกผม เข้าใจๆ เดี๋ยวจัดการให้)
ผมก็ครับๆ
แล้วพอออกจากร้านก็อดอมยิ้มไม่ได้กับสิ่งที่ผู้จัดการ จัดการให้ (ขอสงวนไว้นะครับ เอาเป็นว่า หยอกกันเล่นกับกลุ่มนั้น นิดๆ ขำๆ)
ก็ประมาณนี้ครับสำหรับทริปนี้ อาจเป็นโชคชะตาของผมที่เจอคนไทยแปลกๆ (ในสายตาผม ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ)
แต่ก็ทำให้เป็นเรื่องที่น่าคิดเหมือนกันในหลายๆเรื่อง
เพื่อนๆมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับ
ขอบคุณครับ