เรือแสนแสบ (แสนจะทน) สุดยอดคมนาคมขนส่งมวลชน กรุงเทพฯ

ชีวิตของมนุษย์ เงินเดือน อย่างผม ทำงานมายาวนานเป็นเวลา 7-8 ปีแล้ว การเดินทางผูกพันกับเรือในคลองแสนแสบมาตลอดตั้งแต่อายุ 23-24
ระยะทางยาวสุดสายจากบางกะปิ - ประตูน้ำ - สะพานหัวช้าง มีเปลี่ยนงานบ้างตามกาลเวลาแต่ก็ยังไม่พ้นเส้นทางเรือมาโดยตลอด
จากสมัยก่อนที่แคล่วคล่องโดดขึ้นโดดลงเรือได้อย่างสบาย กระทั่งวันนี้อายุ 30 ซึ่งตัวเองเป็นคนที่ชอบเล่นกีฬาจึงเริ่มประสบปัญหาอาการปวดข้อเข่าขึ้นมาซะแล้ว ในช่วงหลังๆมานี้ก็เลยจะโดดขึ้นลงลำบากนักชักจะไม่ค่อยไหว
เพราะที่ทำงานปัจจุบันอยู่ อโศก รถรามันติดเหลือเกิน การจะขับรถออกจากที่พักบางกะปิช่างเป็นเรื่องยาก ต้องแหกตาตื่นตั้งแต่เช้ามืดมันทำไม่ไหว ถือว่ายอมซื้อเวลาตื่นไม่เช้ามากแลกกับการอดทนโดดลงเรือไป-กลับใช้เวลาน้อยกว่า ก็พอรับได้นะ แต่ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่พยายมยืนตลอดสาย และจะรอเรือที่สามารถมีที่ให้นั่ง เสียเป็นส่วนมาก
เอาละครับ เข้าเรื่องที่ผมอยากจะเล่าเลยดีกว่า การเดินทางที่ว่า มันสุดยอดอย่างไร ผมเก็บประสบการณ์ต่างๆ มาเล่าให้ลองอ่านกันดู คิดว่าคงมีใครที่พบเจอเหตุการณ์แบบผมบ้างไม่มากก็น้อย

สุดยอดแห่งการบริการทุกระดับประทับใจ ที่ผมคิดเอาไว้มีประมาณ 5 ข้อดังต่อไปนี้

1.ผมรู้มาว่า เส้นทางคมนาคมทางเรือคลองแสนแสบอันเน่าเหม็น แห่งนี้ผูกขาดสัมปทานกับ บ.ครอบครัวขน... เพียงเจ้าเดียว มาอย่างยาวนาน มาตรฐานการให้บริการก็ดูเหมือนไม่มีการพัฒนาใดๆ 10 กว่าปีที่แล้วเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น ทำยังไงได้ก็ผู้โดยสารอย่างเราไม่มีตัวเลือก จะไปซื้อสปีดโบท , เจ๊ตสกี มาขี่เดินทางในคลองแห่งนี้คงไม่ไหว

2. เรื่องสภาพของเรือและอุปกรณ์ ลองนับกี่ครั้งก็พบว่า ชูชีพมันไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้โดยสารแน่ๆ ในกรณีที่หากมีอุบัติเหตุ ขึ้นมาอันนี้คงจะช่วยอะไรทุกคนไม่ได้ (แต่ดีนะที่ไม่เคยมีข่าวเหตุการร้ายแรงอะไร) เรือทุกลำจะมีผ้าใบสำหรับกันน้ำคลองอยู่ เพราะในขณะที่เรือวิ่งด้วยความเร็วจะมีน้ำกระเด็นเข้ามาโดนเราจึงต้องมีผ้าใบกันไว้ และผ้าใบชนิดนี้สามารถกันน้ำคลองได้ในระดับนึงเท่านั้นต่อให้ดึงเชือกให้มันสูงแค่ไหนก็ตาม น้ำในคลองมันก็สามารถทะลุทะลวงกระเด็นมาโดนเราได้อย่างคาดไม่ถึง สมัยก่อนจะมีผ่าใบสีฟ้าสลับฟ้าอ่อนแบบทึบ เมื่อ 1-2 ปีมานี้เปลี่ยนเป็นแบบผ้าสีเขียวเข้ม และเจาะทำเป็นใสบ้างให้สามารถมองทะลุได้เผื่อใครนั่งเรือชมวิว

3. ราคาตั๋ว ที่แพงสุดอยู่ที่ 19 บาทและรองลงมาคือ 17 บาท ด้วยราคาและระยะทางที่เรือวิ่งนั้นมันก็คุ้มค่าอยู่ แต่..มันจำเป็นไหมที่จะต้องพยายามรับผู้โดยสารจนเต็มลำ (จนบางครั้งมันก็เต็มมากจนเกินไป) มันเกิดมวลความเบียดเสียดของกลุ่มมนุษย์เงินเดือนจำนวนมหาศาลอยู่ในห้องเครื่องจนแทบจะไม่มีที่ให้หายใจ ไม่ว่าจะเป็นโซนที่นั่งตลอดทั้งลำก็นั่งเบียดแทบจะขี่คอกัน ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวอย่างปัจจุบันนี้ ยังต้องเจอกับเสียงห้องเครื่องคูโบต้าสนั่นหวั่นไหวและควันดำไอเสียที่ออกมาจากทางด้านท้าย ยิ่งถ้าวันไหนฝนตกก็คงไม่ต้องพูดถึง คุณคงต้องเตรียมเสื้อผ้าไปเปลี่ยนที่ทำงาน สัก 1 ชุด น่าจะดี
นั่นแหละครับยังไงก็คงต้องอดทน เพราะมองในแง่ดีมันก็เป็นช่วงเวลาไม่นาน เพียง 40-45 นาที ก็ถึงที่หมายปลายทางแล้ว ^^
ผมมองว่าถ้าหากครอบครัวขน.. ต้องการทำกำไรให้มากขึ้น จะเพิ่มค่าโดยสารก็ไม่ว่านะ แต่ขอแค่ให้รับผู้โดยสารให้พอดีๆ ไม่จำเป็นต้องสร้างค่านิยมการเบียดแบบนี้ มันอาจทำให้นักเดินทางทั้งหน้าใหม่/เก่า คิดว่าเป็นวัฒนธรรมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาในชั่วโมงเร่งด่วน จนกลายเป็นเรื่องปกติ และก็จะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแสนนานแน่นอน ตราบใดที่ประชากรในย่านบางกะปิ รามคำแหงและโซนแถบนี้ต้องการเดินทางเข้าเมืองกันอย่างล้นหลาม ครั้นจะไม่เบียดก็มีนะ เรือด่วนเรือยาว ซึ่งก็ไม่รับผู้โดยสารระหว่างทางจริงๆ แต่นานๆจะมีสักลำ!!

4. พนักงานเก็บสตางค์ อันนี้บอกได้เลยว่าเป็นสุดยอด ไฮไลท์ สีสันของการเดินทาง บางทีผมอาจะใช้บริการเรือแสนแสบมายาวนาน จึงเห็น พกส.พวกนี้เปลี่ยนไปหลายรุ่น แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยคือพนักงานทุกๆคนดูเหมือนจะถูกฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานหญิง พลังเสียง 2,000 เดซิเบล เหมือนกันหมด "เยิบหน่อยค่าาาาคุณณณ!!!" เขยิบกันชิดไปชิดมาซ้ายทีขวาที ผู้โดยสารบางคนทำเฉยเมยหูทวนลมก็ "โดนด่า" บางคนไม่อยากเขยิบเลย เพราะมันจะ "โดนแดด" ก็ต้องฝืนทนแบ่งๆกันไป บางทีนั่งกันแน่นจะตายอยู่แล้ว ยังจะให้เขยิบให้ผู้โดยสารลงมาเพิ่มอีก!! ผู้โดยสารนี้ก็ไม่รู้จะรีบไปไหน ยอมลงมาเบียดกันหน้าตาเฉย ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นเรืองธรรมดาไปแล้วสำหรับเขา โอว...บางครั้งนั่งอยู่ดีๆ ถูกปลายเชือกผูกเรือกระดอนมาฟาดหัวซะอย่างงั้นก็มี!!

5.ผู้โดยสารหลายระดับประทับใจ ต้องบอกเลยว่านอกจากที่เราจะเจอกับสุดยอดบริการจากชาวเรือกันแล้ว ยังมีอีกส่วนนึงที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือผู้โดยสารสุดแสบ ที่ยังไงก็ต้องเจอ สำหรับท่าเรือต้นสายที่มีการต่อคิวกันก่อนจะลงเรือนั้นถือว่ามีระบบระเบียบเป็นอย่างดี แต่สำหรับท่าเรือตามทางนั้นช่างหาระเบียบวินัยยากยิ่ง บางครั้งการที่คุณคิดว่ายืนในจุดที่ดีที่สุดแล้วเมื่อเรือมาจอดถึงท่าคุณจะได้ลงไปนั่นก่อนใครไม่ต้องไปยืนเบียดกันที่ห้องเครื่อง แต่...เมื่อเรือมาถึง มักจะมีคนที่เดินจากด้านหลังมาแซงคุณ ลงไปนั่งในจุดที่คุณหมายตาเอาไว้เสมอ และจำไว้เลยว่าไม่มีคำว่าคิว บนเส้นทางสายนี้

แน่นอนว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ผมเคยเห็น ทั้งคนตกน้ำตัวเปียกทั้งที่ใส่ชุดทำงานหล่อมาเลยเชียว ต้องรีบเอาโทรศัพท์มือถือแกะแบดออกมาสะบัดๆ
ยังมีความเบียดมากๆ จนทำให้กระเป๋า Notebook ของเพื่อนร่วมงานตกลงไปในน้ำก็มี และในวันที่ผมก้าวพลาดเกือบจะตกน้ำ แต่มีคนข้างหลังที่มีน้ำใจคว้าเอาไว้ได้
ใครที่คิดว่าประสบความทั้งดี และโชคร้ายต่างๆ จากการเดินทางบนเส้นทางนี้ ลองมาแลกเปลี่ยนกันดูนะครับ อีกไม่นาน เส้นทางนี้ก็คงจะสบายขึ้นมาบ้างในชั่วโมงเร่งด่วน ด้วยข่าวการมาของ รถไฟฟ้า สายสีส้ม http://www.mrta.co.th/th/MRTAproject/orangeLine.php ภายในปี 2562 ซึ่งก็ยังไม่รู้ ว่าจะแล้วเสร็จจริงๆหรือไม่ ก็คงได้แต่ต้องอดทนกันต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่