This is real life. It's not perfect but it's real.
ผมเพิ่งมีโอกาสได้ดู Before Sunrise และ Before Sunset เมื่อประมาณ 6 เดือนก่อน โดยดูทั้ง 2 ภาคในเวลาไล่เลี่ยกัน ส่วนตัวเฉยๆกับ Before Sunrise เนื่องจากไม่ค่อยเชื่อในความสัมพันธ์แบบฉาบฉวยและรวดเร็วแบบนั้น แต่ก็เข้าใจในสิ่งที่ทั้ง 2 รู้สึกต่อกันในค่ำคืนที่เวียนนา แต่พอมีโอกาสได้ดู Before Sunset กลายเป็นชอบเรื่องนี้มาก อาจเพราะการพบกันของทั้งคู่ที่ปารีส เป็นสิ่งที่พวกเราเฝ้าหวังให้มันเกิดขึ้น เราจึงเหมือนรู้สึกสมหวังกับสิ่งที่เรารอคอย
ก่อนดู Before Midnight ผมมีโอกาสได้อ่านรีวิวเล็กๆน้อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะค่อนข้างบอกไปในทางเดียวกันว่าน่าประทับใจมาก และส่วนใหญ่ก็จะชอบมากเช่นกัน ผมจึงตั้งความหวังไว้ค่อนข้างสูงก่อนดูหนังเรื่องนี้
และ Before Midnight ก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวัง หนังยังคงจุดเด่นทั้งหมดของไตรภาค Before ไว้ครบถ้วน การพูดคุยกันยาวๆของตัวละคร ฉาก long-take การดำเนินเรื่องในช่วงเวลาสั้นๆ ทำได้ยอดเยี่ยมมาก เหมือนได้กลับไปเจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานานเลย รู้สึกคุยกันได้ถูกคอทันที
การแสดงของ Ethan Hawke และ Julie Delpy ถือเป็นจุดเด่นของหนังไตรภาค Before ในช่วงเวลาที่ผมได้ดู Before Midnight ผมเชื่อไปแล้วว่าทั้ง 2 คือคนที่มีความสัมพันธ์กันจริงๆ เค้าคือ Jesse กับ Celine จริงๆ การพูดคุย หยอกล้อ โต้เถียง ง้องอน ทั้งหมดที่ผมเห็น มันไม่ใช่การแสดง มันคือเรื่องจริง ต้องขอชื่นชม Richard Linklater ด้วย ที่สามารถสร้างตัวละคร 2 ตัวนี้ ให้มีชีวิตจิตใจได้จริงๆ
เราเคยเห็น “การตกหลุมรัก” มาแล้ว ใน Before Sunrise ทำให้ชีวิตกระชุมกระชวย มีความหวังในความรัก โลกสดใสสวยงาม จากนั้น เราก็ได้พบกับ “การเติบโต การไขว่คว้าหาสิ่งที่ต้องการจริงๆในชีวิต” ใน Before Sunset ทำให้เรารู้ว่า ในเรื่องร้ายๆที่เราพบเจอ จริงๆแล้วยังมีบางสิ่งที่เป็นแรงยึดเหนี่ยวจิตใจเราอยู่ ให้เราก้าวผ่านช่วงเวลาแบบนั้นไปได้
แม้จะมีเรื่องเศร้าอยู่บ้างเล็กน้อยใน 2 ภาคแรก แต่ทั้ง 2 ภาค ยังเต็มไปด้วยความหวังที่รอคอยใครซักคนให้เข้ามาเติมเต็มชีวิตของตัวเอง
แต่ Before Midnight ไม่ให้ความหวังอะไรเราอีกแล้ว Before Midnight เล่าช่วงเวลาหลังจากที่เราสมหวังแล้ว ได้มาแล้วในสิ่งที่มองหามาตลอดในชีวิต และชีวิตจริงมันไม่ได้สวยงามเหมือนที่เราจินตนาการไว้ โลกแห่งความฝันที่สวยงามใน 2 ภาคแรกพังลงมาหมด เหลือแต่สภาพชีวิตจริงๆที่ทุกคู่รักต้องพบเจอ
ผมเชื่อว่าคนที่เคยมีคนรักทุกคน ต้องอินกับสิ่งที่เห็นในหนังเรื่องนี้ บทสนทนา การกระทำของตัวละคร มันจริงมากๆ หนังไม่ประนีประนอมกับความรู้สึกคนดู แต่ดึงเราเข้าไปให้มีความรู้สึกร่วม เรารู้สึกตามไปกับตัวละครจริงๆ เหมือนนั่งแอบดูชีวิตจริงๆของคู่รักคู่หนึ่ง
ฉากที่ผมประทับใจที่สุด เป็นฉากที่ตัวละครทั้ง 2 ทะเลาะกันในห้องนอน มันสมจริงมากๆ การโต้ตอบของตัวละคร ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง ทุกๆรายละเอียดในการกระทำ การขยับตัว การเดิน คำพูดที่พูดและจังหวะในการแสดงที่ลงตัวมากๆ ฉากนี้จะเป็นฉากจำของผมไปอีกนาน
การที่เราได้พบเจอใครซักคนที่เรารู้สึกดีด้วย โลกมันมักจะสดใสสวยงามมากๆในตอนแรก เราอยากรู้จักกัน เรียนรู้กัน เราพร้อมเปิดใจรับสิ่งที่เราไม่ชอบในตัวเค้า เราพร้อมปรับตัวเองในทุกอย่างที่เค้าไม่ชอบให้เราเป็น เพื่อให้ได้คบกัน เพื่อให้ได้รักกัน แต่พอเวลาผ่านไป เมื่อเราได้มาในสิ่งที่เราคาดหวังแล้ว เราไม่ค่อยจะดูแลสิ่งที่เราได้มา เราปล่อยปะละเลยความรู้สึกของกันและกัน เรามักทิ้งอีกคนให้เค้ารู้สึกว่าเค้าอยู่คนเดียว ความคิดเห็นก็มักจะขัดแย้งกัน เราไม่ค่อยยอมกันแบบที่เคยในตอนแรก เรามักมีทิฐิแรง เราไม่ค่อยให้อภัยกัน เราไม่ค่อยนึกถึงวันแรกที่เราได้เจอกัน เราลืมคำพูดที่เราเคยบอกแก่กันและกัน การก้าวผ่านช่วงเวลาแบบนี้เป็นสิ่งที่ยากมาก ไม่ใช่ทุกคู่ที่จะผ่านมันไปได้
ในตอนจบ สิ่งที่ Jesse เลือกทำ คือการไปง้อ Celine แม้ว่าการทะเลาะกันในฉากก่อนหน้ามันจะรุนแรงเท่าไหร่ก็ตาม เราเชื่อว่า ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมลดทิฐิตัวเองลง และยอมที่จะถอยให้อีกฝ่าย ทุกปัญหาย่อมมีทางออกแน่นอน เราไม่รู้ว่าเมื่อเราอายุ 80 ปี แล้วเรามองย้อนมาวันนี้ วันนี้อาจะเป็นวันที่เรามีความสุขในชีวิตก็ได้ แล้วเราจะรออะไรอยู่ ทำวันนี้ให้เป็นที่มีความสุขที่สุด เมื่อเวลาผ่านเที่ยงคืนไป มันก็จะกลายเป็นวันใหม่ เราจะไม่สามารถกลับไปแก้ไขมันได้อีกแล้ว
ถ้าวันนี้เรามีอะไรบางอย่างที่คิดว่า จะต้องเสียใจแน่ๆหากไม่ได้ทำสิ่งนั้นในวันนี้ อยากให้รีบทำมันซะ “ก่อนเที่ยงคืน”
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
Before Midnight – นี่คือชีวิตจริง มันไม่ได้สมบูรณ์แบบหรอกนะ แต่มันจริง (Spoil)
ผมเพิ่งมีโอกาสได้ดู Before Sunrise และ Before Sunset เมื่อประมาณ 6 เดือนก่อน โดยดูทั้ง 2 ภาคในเวลาไล่เลี่ยกัน ส่วนตัวเฉยๆกับ Before Sunrise เนื่องจากไม่ค่อยเชื่อในความสัมพันธ์แบบฉาบฉวยและรวดเร็วแบบนั้น แต่ก็เข้าใจในสิ่งที่ทั้ง 2 รู้สึกต่อกันในค่ำคืนที่เวียนนา แต่พอมีโอกาสได้ดู Before Sunset กลายเป็นชอบเรื่องนี้มาก อาจเพราะการพบกันของทั้งคู่ที่ปารีส เป็นสิ่งที่พวกเราเฝ้าหวังให้มันเกิดขึ้น เราจึงเหมือนรู้สึกสมหวังกับสิ่งที่เรารอคอย
ก่อนดู Before Midnight ผมมีโอกาสได้อ่านรีวิวเล็กๆน้อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะค่อนข้างบอกไปในทางเดียวกันว่าน่าประทับใจมาก และส่วนใหญ่ก็จะชอบมากเช่นกัน ผมจึงตั้งความหวังไว้ค่อนข้างสูงก่อนดูหนังเรื่องนี้
และ Before Midnight ก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวัง หนังยังคงจุดเด่นทั้งหมดของไตรภาค Before ไว้ครบถ้วน การพูดคุยกันยาวๆของตัวละคร ฉาก long-take การดำเนินเรื่องในช่วงเวลาสั้นๆ ทำได้ยอดเยี่ยมมาก เหมือนได้กลับไปเจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานานเลย รู้สึกคุยกันได้ถูกคอทันที
การแสดงของ Ethan Hawke และ Julie Delpy ถือเป็นจุดเด่นของหนังไตรภาค Before ในช่วงเวลาที่ผมได้ดู Before Midnight ผมเชื่อไปแล้วว่าทั้ง 2 คือคนที่มีความสัมพันธ์กันจริงๆ เค้าคือ Jesse กับ Celine จริงๆ การพูดคุย หยอกล้อ โต้เถียง ง้องอน ทั้งหมดที่ผมเห็น มันไม่ใช่การแสดง มันคือเรื่องจริง ต้องขอชื่นชม Richard Linklater ด้วย ที่สามารถสร้างตัวละคร 2 ตัวนี้ ให้มีชีวิตจิตใจได้จริงๆ
เราเคยเห็น “การตกหลุมรัก” มาแล้ว ใน Before Sunrise ทำให้ชีวิตกระชุมกระชวย มีความหวังในความรัก โลกสดใสสวยงาม จากนั้น เราก็ได้พบกับ “การเติบโต การไขว่คว้าหาสิ่งที่ต้องการจริงๆในชีวิต” ใน Before Sunset ทำให้เรารู้ว่า ในเรื่องร้ายๆที่เราพบเจอ จริงๆแล้วยังมีบางสิ่งที่เป็นแรงยึดเหนี่ยวจิตใจเราอยู่ ให้เราก้าวผ่านช่วงเวลาแบบนั้นไปได้
แม้จะมีเรื่องเศร้าอยู่บ้างเล็กน้อยใน 2 ภาคแรก แต่ทั้ง 2 ภาค ยังเต็มไปด้วยความหวังที่รอคอยใครซักคนให้เข้ามาเติมเต็มชีวิตของตัวเอง
แต่ Before Midnight ไม่ให้ความหวังอะไรเราอีกแล้ว Before Midnight เล่าช่วงเวลาหลังจากที่เราสมหวังแล้ว ได้มาแล้วในสิ่งที่มองหามาตลอดในชีวิต และชีวิตจริงมันไม่ได้สวยงามเหมือนที่เราจินตนาการไว้ โลกแห่งความฝันที่สวยงามใน 2 ภาคแรกพังลงมาหมด เหลือแต่สภาพชีวิตจริงๆที่ทุกคู่รักต้องพบเจอ
ผมเชื่อว่าคนที่เคยมีคนรักทุกคน ต้องอินกับสิ่งที่เห็นในหนังเรื่องนี้ บทสนทนา การกระทำของตัวละคร มันจริงมากๆ หนังไม่ประนีประนอมกับความรู้สึกคนดู แต่ดึงเราเข้าไปให้มีความรู้สึกร่วม เรารู้สึกตามไปกับตัวละครจริงๆ เหมือนนั่งแอบดูชีวิตจริงๆของคู่รักคู่หนึ่ง
ฉากที่ผมประทับใจที่สุด เป็นฉากที่ตัวละครทั้ง 2 ทะเลาะกันในห้องนอน มันสมจริงมากๆ การโต้ตอบของตัวละคร ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง ทุกๆรายละเอียดในการกระทำ การขยับตัว การเดิน คำพูดที่พูดและจังหวะในการแสดงที่ลงตัวมากๆ ฉากนี้จะเป็นฉากจำของผมไปอีกนาน
การที่เราได้พบเจอใครซักคนที่เรารู้สึกดีด้วย โลกมันมักจะสดใสสวยงามมากๆในตอนแรก เราอยากรู้จักกัน เรียนรู้กัน เราพร้อมเปิดใจรับสิ่งที่เราไม่ชอบในตัวเค้า เราพร้อมปรับตัวเองในทุกอย่างที่เค้าไม่ชอบให้เราเป็น เพื่อให้ได้คบกัน เพื่อให้ได้รักกัน แต่พอเวลาผ่านไป เมื่อเราได้มาในสิ่งที่เราคาดหวังแล้ว เราไม่ค่อยจะดูแลสิ่งที่เราได้มา เราปล่อยปะละเลยความรู้สึกของกันและกัน เรามักทิ้งอีกคนให้เค้ารู้สึกว่าเค้าอยู่คนเดียว ความคิดเห็นก็มักจะขัดแย้งกัน เราไม่ค่อยยอมกันแบบที่เคยในตอนแรก เรามักมีทิฐิแรง เราไม่ค่อยให้อภัยกัน เราไม่ค่อยนึกถึงวันแรกที่เราได้เจอกัน เราลืมคำพูดที่เราเคยบอกแก่กันและกัน การก้าวผ่านช่วงเวลาแบบนี้เป็นสิ่งที่ยากมาก ไม่ใช่ทุกคู่ที่จะผ่านมันไปได้
ในตอนจบ สิ่งที่ Jesse เลือกทำ คือการไปง้อ Celine แม้ว่าการทะเลาะกันในฉากก่อนหน้ามันจะรุนแรงเท่าไหร่ก็ตาม เราเชื่อว่า ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมลดทิฐิตัวเองลง และยอมที่จะถอยให้อีกฝ่าย ทุกปัญหาย่อมมีทางออกแน่นอน เราไม่รู้ว่าเมื่อเราอายุ 80 ปี แล้วเรามองย้อนมาวันนี้ วันนี้อาจะเป็นวันที่เรามีความสุขในชีวิตก็ได้ แล้วเราจะรออะไรอยู่ ทำวันนี้ให้เป็นที่มีความสุขที่สุด เมื่อเวลาผ่านเที่ยงคืนไป มันก็จะกลายเป็นวันใหม่ เราจะไม่สามารถกลับไปแก้ไขมันได้อีกแล้ว
ถ้าวันนี้เรามีอะไรบางอย่างที่คิดว่า จะต้องเสียใจแน่ๆหากไม่ได้ทำสิ่งนั้นในวันนี้ อยากให้รีบทำมันซะ “ก่อนเที่ยงคืน”
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/