คนไทยตายบนถนนกว่า๒หมื่นคน/ปี อันดับ๒ของโลก ควรรีบแก้ไข มีประเทศที่ทำสำเร็จ ควรเรียนรู้จากเขา???

กระทู้สนทนา
ญี่ปุ่น และหลายประเทศ ใช้ได้ผลมาแล้ว ไทยควรเรียนรู้ไหม???
http://www.naewna.com/politic/columnist/18333

ดื่มแล้วขับ โทษหนัก-บังคับเข้ม

ปัจจุบัน อุบัติเหตุโดยผู้ใช้รถที่ “เมาแล้วขับ” เกิดขึ้นถี่ๆ หลายกรณี อาทิ

เมาแล้วขับไปชนนักปั่นจักรยานตาย แต่คนเมาไม่ตาย

เมาแล้วขับไปชนรั้วชาวบ้าน พังเสียหาย

เมาแล้วขับไปชนผู้อื่น เสียชีวิตก็มี พิการก็เยอะ ฯลฯ

สังคมไทยกำลังสนใจว่า จะจัดการกับ “เมาแล้วขับ” อย่างไร จึงจะมีประสิทธิภาพ?

น่าคิดว่า ในต่างประเทศก็มีวิธีจัดการกับปัญหาด้วยระดับความเข้มข้น หนัก-เบา แตกต่างกัน

1) กรณีประเทศญี่ปุ่น ศึกษาจากบทความของอาจารย์พิเชษฐ เมาลานนท์ และอาจารย์นิลุบล ชัยอิทธิพรวงศ์ ศูนย์วิจัยญี่ปุ่นร่วมสมัย มหาวิทยาลัยรังสิต ว่าด้วยวิธีการที่ญี่ปุ่นใช้สู้กับการเมาแล้วขับ“โทษหนัก-บังคับเข้ม” บางส่วนบางตอน ระบุว่า

หลังจากญี่ปุ่นใช้นโยบาย “โทษหนัก-บังคับเข้ม” (เก็มบัทซึขะ) ทำให้จำนวนผู้ตายลดลงทุกปี จนเหลือเพียง 227 รายทั่วประเทศเมื่อปี 2014 จากจำนวนประชากรทั้งหมด 126.5 ล้านคน

(1) ญี่ปุ่นกำหนด “โทษหนัก”

กรณีเมาแล้วขับ ไม่มีคนตาย จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านเยน

กรณีเมาแล้วขับ ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุกไม่เกิน 25 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านเยน

กรณีเมาแล้วขับ ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แล้วหนีโดยที่ไม่อยู่ช่วยเหลือ (Hit and Run) จำคุกไม่เกิน 30 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านเยน

กรณีเมาแล้วขับ ทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ จำคุกไม่เกิน 20 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านเยน

กรณีเมาแล้วขับ ทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ แล้วหนีโดยที่ไม่อยู่ช่วยเหลือ (Hit and Run) จำคุกไม่เกิน 25 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านเยน

(2) ญี่ปุ่น “บังคับเข้ม” คือ บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด

ตัวอย่างคดีเมาแล้วขับชนคนตาย 3 คน ศาลจำคุก 23 ปี

24 มิถุนายน 2007 ช่างก่อสร้างวัย 50 ปี ขับรถหลังดื่มเหล้า ชนชายคนหนึ่งวัย 29 ปีที่กำลังเดินอยู่บนฟุตปาธ หลังจากนั้น เขายังขับต่อไปอีก 800 เมตร และได้ชนรถแท็กซี่ เป็นเหตุให้คนขับแท็กซี่ วัย 48 และผู้โดยสารวัย 68 เสียชีวิตทั้งคู่

19 ธันวาคม 2007 ศาลชั้นต้นจังหวัดโกเบ ตัดสินจำคุก 23 ปี ผู้พิพากษาวาตะนะเบะ ตุลาการเจ้าของสำนวน เขียนในคำตัดสินไว้ว่า - - คดีนี้เปรียบดั่งเป็น “อาชญากรรมที่เปลี่ยนรถยนต์ 1.9 ตัน เป็นอาวุธเคลื่อนที่ได้” ท่านตุลาการ ยังเขียนไว้ว่า - - นี่คือโศกนาฏกรรมที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า เพราะจำเลยละเลยกฎหมาย เขาจะต้องรับผิดชอบอย่างยิ่งในการคร่าชีวิตที่มีค่าทั้งสามไป



2) การบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดเป็นเรื่องจำเป็น

และจำเป็นจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนที่ปลอดภัย ตระหนักถึงสิทธิและชีวิตของผู้อื่น เพื่อให้เกิดบรรทัดฐานและ
ค่านิยมใหม่ในสังคม ว่าการเมาแล้วขับ หรือดื่มแล้วขับ ถือเป็นเรื่องน่าอับอาย น่ารังเกียจ หรือเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นเพราะต้องการความสะดวกสบายเฉพาะหน้าของตนเอง หรือเห็นแก่ความสนุกเฉพาะหน้าของตนเองก็ตามแต่ มันก็คือความเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด

ถือว่ามีเจตนาละเลย ประมาทเลินเล่อร้ายแรง ทำให้ประชาชนในสังคมต้องตกอยู่ในความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างไม่อาจให้อภัยได้

ในการนี้ องค์กรในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ต้นธารจนถึงปลายธาร จะต้องตระหนักถึงความสำคัญของการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น

หากทำต่อเนื่อง จริงจัง อย่างน้อย 5-10 ปี เชื่อแน่ว่า คนในสังคมจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม กระทั่งการดื่มไม่ขับ หรือเมาไม่ขับกลายเป็นเรื่องปกติ ส่วนการละเมิดกฎหมายเมาแล้วขับก็จะเป็นเรื่องผิดปกติร้ายแรงอย่างที่มันควรจะเป็นเสียที

3) ตามกฎหมายไทย หากพบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าเมาสุรา

ถ้าเมาแล้วขับ มีโทษสูงสุดจำคุก 1 ปี ปรับสูงสุด 20,000 บาท พักใช้ใบขับขี่อย่างน้อย 6 เดือน

ถ้าไม่ยอมเป่าเครื่องตรวจแอลกอฮอล์ ให้ถือว่าเมา

และถ้าเมาแล้วขับ เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต ต้องรับโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และต้องถูกเพิกถอนใบขับขี่

ที่ผ่านมา มีการรณรงค์ของ สสส. ในแคมเปญที่ชื่อ “ดื่มแล้วขับ นับเป็นฆาตกร”

ถือเป็นการกระตุ้นและกระตุกจิตสำนึกของสังคมแบบแรงๆ

ทำให้ได้คิดว่า คนที่ดื่มสุราแล้วไปขับรถ (แม้จะอ้างว่าตัวเองไม่เมาก็ตาม) ในเมื่อการขับรถบนท้องถนนเป็นการกระทำที่ต้องรับผิดชอบอย่างสำคัญ สามารถเล็งเห็นผลได้ตั้งแต่ต้นว่าอาจมีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น อาจถึงตาย พิการ หรือเสียทรัพย์ ขณะที่การดื่มสุราก็เป็นที่เล็งเห็นผลได้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าทำให้ความสามารถในการขับขี่ลดลง มีโอกาสเกิดอันตรายบนท้องถนนมากขึ้น

ดังนั้น “ดื่มแล้วขับ” ย่อมอาจจะถือว่ามีเจตนาให้เกิดการกระทำผิด โดยเมื่อเกิดอันตรายแก่ผู้อื่น อาจนับเป็น “อาชญากรรมบนท้องถนน” ซึ่งผู้ก่อเหตุก็อาจถือเป็น “อาชญากร”นั่นเอง

โทษควรจะหนักขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ และบังคับใช้เด็ดขาดยิ่งขึ้น เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง

4) อย่าคิดว่า “ดื่มแล้วขับ”คงไม่เป็นไร

หรือคิดว่า การบังคับใช้กฎหมาย “เมาแล้วขับ” หยุมหยิมเกินไป

เพราะต้องไม่ลืมว่า ขณะที่เราอยู่บนท้องถนนนั้น “อาชญากร” ในคราบของ “คนเมาแล้วขับ” อาจจะกำลังขับรถตามหลัง หรือซุ่มซ่อนรอก่อเหตุเอากับเรา หรือคนที่เรารัก อยู่บนท้องถนน ณ จุดใดจุดหนึ่งก็เป็นได้!

สารส้ม

- See more at: http://www.naewna.com/politic/columnist/18333#sthash.XewlomO2.dpuf
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่