สวัสดีคร้าบบบ
อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ช่วงปีใหม่กันแล้วนะคร้าบบบ พี่ ๆ เพื่อน ๆ หลายคนคงจะมีกิจกรรมฉลองส่งท้ายปีกันแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ที่บ้าน หรือตามร้านอาหาร สถานบันเทิงต่าง ๆ พาพันอยากให้ทุกคนมีความสุข สนุกสนานอย่างเต็มที่ และเดินทางอย่างปลอดภัยในช่วงเทศกาลหยุดยาวนี้ แต่...คงไม่ดีแน่ หากตัวเราเองหรือคนที่เรารักต้องมาพบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่าง ๆ ที่ทำให้ช่วงเวลาดีๆ ต้องสะดุดลง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คืออุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับ ที่ทุกๆ ปีจะต้องมีข่าวรายงานจำนวนผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ จนทำให้เวลาแห่งความสุขของหลายคนต้องเศร้าลงทันที! แล้วเราจะมีวิธีป้องกันตัวเองและผู้อื่นไม่ให้ประสบอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับเหล่านี้ได้อย่างไร ตามพาพันมาเลยคร้าบบบ
สัปดาห์ที่ผ่านมา พาพันได้มีโอกาสพบกับ
คุณหมอธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ที่มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับอุบัติเหตุบนท้องถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยเฉพาะกรณีดื่มแล้วขับ คุณหมอเล่าถึงต้นตอของปัญหา แนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ และความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยบนท้องถนนที่น่าสนใจมาก พาพันได้ความรู้ใหม่ๆ มากมายและคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนๆ พี่ ๆ ชาว Pantip Network เลยขอนำมาแชร์กันนะครับ
ตอนที่คุยกับพี่หมอ พาพันถามพี่หมอว่า
“ดื่มแบบรับผิดชอบ มีจริงไหมครับ??” พี่หมอตอบพาพันว่า
“ดื่มแล้วรับผิดชอบ ไม่มีจริงหรอก...” เพราะคนที่ดื่มแล้วขับไม่ยอมรับว่าตัวเองอาจจะควบคุมรถไม่ได้... โอ้โห! พูดมาประโยคแรกก็โดนใจพาพันให้สงสัยอย่างแรงเลยครับ พี่หมอบอกว่า ลองสังเกตตัวเองดูสิว่าเวลาเดินทางไปต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น อเมริกา หรือยุโรป เรากล้าดื่มแล้วไปขับรถรึเปล่า... เชื่อว่าทุกคนคงตอบว่าไม่กล้าแน่ๆ เพราะอะไร... เพราะกฎหมายต่างประเทศเข้มงวดเอาผิดผู้ดื่มแล้วขับรุนแรงมากเลย ทั้งค่าปรับที่แพงเป็นแสนและจำคุกนาน แถมถูกไล่ออกจากงานในบางบริษัทด้วยครับ... พาพันสงสัยต่อ "แล้วทำไมพอเราอยู่เมืองไทยถึงกล้าดื่มแล้วขับกันละคร้าบบบ...?"

พี่หมอตอบว่า กฎหมายไทยยังไม่มีบทลงโทษที่จริงจัง ไม่มีมาตรการบังคับใช้ที่เข้มงวด ทำให้คนยังไม่กลัวโทษจากการดื่มแล้วขับ และคนไทยยังมีความเชื่อที่ผิดอยู่ ว่าการดื่มแล้วขับเป็นเรื่องปกติหรือขับได้ถ้ายังมีสติ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดอย่างมาก แล้วที่น่าตกใจมากก็คือ 1 ใน 5 ของคนไทยก็เชื่อแบบนี้ด้วยสิครับ พี่หมอบอกว่าต้องลบทัศนคติที่ว่า "ดื่มแล้วขับได้หากมีสติ" ออกไป เพราะมีความเสี่ยงในการประสบอุบัติเหตุทุกครั้ง เนื่องจากแอลกอฮอล์มีผลต่อสมองส่วนควบคุมการตัดสินใจ การตัดสินใจเหยียบเบรคที่ช้าไปครึ่งวินาทีทำให้รถชนแล้ว เสี้ยววินาทีมีค่าถึงชีวิต ทั้งชีวิตเราและคนอื่นๆ เราต้องคิดใหม่ว่า
"หากดื่มแล้วสตาร์ทรถ = เจตนาฆ่าผู้อื่นบนท้องถนน" ถ้าหากเปลี่ยนแนวคิดนี้ได้รับรองว่าจำนวนอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับจะลดลงแน่นอนครับ
หลังจากพี่หมอได้ให้ความรู้อันเป็นประโยชน์แล้ว พาพันก็มีข้อสงสัยมาถามพี่หมอเพิ่มดังนี้ครับ
พาพัน : พี่หมอคิดว่า “ดื่มไม่ขับ” มีความสำคัญอย่างไรครับ?
โดยปกติการขับรถเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอยู่แล้ว ยิ่งคนที่ดื่มแล้วขับก็เพิ่มความเสี่ยงเข้าไปอีก แถมไม่ใช่เสี่ยงแค่ตัวคนดื่มแล้วขับอย่างเดียว แต่ทำให้คนอื่นบนท้องถนนต้องเสี่ยงไปด้วย มีความสูญเสียเกิดขึ้นเสมอเมื่อเกิดอุบัติเหตุทั้งผู้ขับและผู้ร่วมทาง มีชาวอเมริกันท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า สถิติคนตายเพราะอุบัติเหตุเมาแล้วขับจะเท่ากับกี่เปอร์เซ็นต์เป็นตัวเลขที่เค้าไม่สนใจเลย ที่เค้าสนใจคือ ความสูญเสีย 100 เปอร์เซ็นต์ของผู้เป็นพ่อที่ต้องเสียลูกชายคนเดียวไปจากการเป็นเหยื่อของคนที่ดื่มแล้วขับ ต่างหากที่สำคัญ ผู้ชายท่านนี้กลายมาเป็นนักรณรงค์ “ดื่มไม่ขับ” หลังจากสูญเสียลูกชายที่รัก... สังคมไทยจึงต้องให้ความสำคัญกับการดื่มไม่ขับ เพราะไม่มีใครอยากสูญเสียทั้งนั้น มีตัวอย่างความสูญเสียให้เห็นมากมาย และความสูญเสียเหล่านี้มันคือ 100 เปอร์เซ็นต์ของผู้ประสบเหตุ... ใช่มั้ยครับ?
พาพัน : ทำไมมีการรณรงค์ดื่มไม่ขับทุกปีแต่ประเทศไทยก็ยังมียอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ครับ?
ในประเทศไทยการพยายามรณรงค์สร้างจิตสำนึกเพียงอย่างเดียวไม่ช่วยลดอุบัติเหตุหรอก จะต้องรณรงค์ควบคู่กับการบังคับใช้กฏหมายที่เข้มงวดไปด้วยกัน สังคมไทยที่เป็นนักดื่มจะเริ่มยอมรับแล้วทำตามได้
พี่หมอได้ยกกรณีศึกษาสำคัญของประเทศญี่ปุ่นมาเล่าให้ฟังว่า
“ความสูญเสีย” สุดเศร้าใจของเหยื่อที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุดื่มแล้วขับ 3 เหตุการณ์ที่ญี่ปุ่น ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และการพิจารณาของตุลาการครั้งใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่ามาก คือ ทำให้จำนวนอุบัติเหตุการจากดื่มแล้วขับลดลงเป็นจำนวนมาก ทั้งๆที่ญี่ปุ่นยังคงเป็นนักดื่มตัวยงครับ
พี่หมอธนะพงศ์ เล่ารายละเอียดว่า ประเทศญี่ปุ่นก่อนหน้านี้ปัญหาเมาขับชนคนตาย ยังถูกพิจารณาว่าเป็นเรื่อง “ประมาท” (Professional Negligence Resulting in Death) กฏหมายลงโทษจำคุกไม่เกิน 5ปี...ปรับ 5 แสนเยน จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ.1999 เกิดกรณีคนเมาขับรถบรรทุก (แอลกอฮอล์ในเลือด 126 mg%) ชนรถเก๋งบนทางด่วนโทลล์เวย์ ทำให้รถเกิดไฟลุกไหม้ ส่งผลให้ลูกสาววัย 1 ขวบและ 3 ขวบเสียชีวิต... และในช่วงติด ๆ กันนั้น เดือนเมษายน ค.ศ.2000 คนเมาขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต ชนนักศึกษาบนทางเท้าทำให้เสียชีวิต 2 คน
จากทั้ง 2 เหตุการณ์ส่งผลให้เกิดกระแสเรียกร้องของสังคมให้มีการ “แก้ไขกฎหมายเพิ่มโทษ” โดยครอบครัวของเหยื่อยื่นเรื่องต่อรัฐสภาขอให้มีการแก้ไขกฎหมายและพิจารณาว่า
เมาขับ “ไม่ใช่เรื่องประมาท”
กระทั่งในปี ค.ศ.2001 มีกฎหมายใหม่ในเรื่อง “เมาขับ” กระบวนการยุติธรรมและศาลจะต้องพิจารณาด้วยว่าเป็นเรื่อง “ประมาท” หรือ “เจตนา” (negligent or crime of intent) เพราะถ้ายังเป็นความประมาท บทลงโทษยังคงเดิม คือ จำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนเยน
แต่ถ้าชี้ว่าเป็น “Dangerous Driving Resulting in Deaths and Injuries” หรือ crime of intent “เจตนา” โทษจะสูงถึง 20 ปี ในกรณีที่มีการเสียชีวิต ซึ่งจะคำนึงถึง
(1) การขับขี่ที่ได้รับผลกระทบจากแอลกอฮอล์และยา
(2) การขับขี่ที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยความเร็วสูง
(3) ไม่มีทักษะการขับขี่
(4) แซงอย่างน่ากลัว หรือขับรถจี้กดดันคันหน้า
(5) ฝ่าสัญญาณไฟแดง
ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ.2006 เกิดคดีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเมาขับชนท้ายรถเก๋งของครอบครัวหนึ่งบนสะพานตกลงไปในอ่าวฮานาตะ เมืองฟูกูโอกะ เป็นเหตุให้เด็กที่นั่งมาในรถทั้ง 3 คนเสียชีวิต...เด็กชาย 4 และ 3 ขวบ เด็กหญิง 1 ขวบ โดยเจ้าหน้าที่คนนี้ได้ขับรถหนีและขอให้เพื่อนที่นั่งมาด้วยกันสลับที่นั่งเพื่อหลอกว่าเป็นผู้ขับขี่แทน
ขอขอบคุณรูปภาพจาก japantimes.co.jp
จากเหตุการณ์ดังกล่าว กระแสสังคมญี่ปุ่นได้เรียกร้องขึ้นอีกครั้ง ขอให้มีการแก้กฎหมายโดยเพิ่มโทษคนที่นั่งไปด้วย และเอาผิดร้านจำหน่ายสุรา ที่ละเลยจำหน่ายให้คนที่มีหน้าที่ต้องขับรถ โดยยึดหลัก... “โทษหนัก บังคับเข้ม”
ที่สำคัญคือ “บทลงโทษ” ผู้ขับขี่เมาแล้วขับ จะรุนแรงและครอบคลุม ผู้เกี่ยวข้อง โดยมีหัวใจสำคัญ...การเมาแล้วขับและทำให้มีผู้เสียชีวิต จะมีโทษรุนแรง รองจากความผิดฐานฆ่าคนตายเลยทีเดียวครับ
แล้วเมื่อพาพันย้อนกลับมาดูจำนวนผู้เป็นเหยื่อจากอุบัติเหตุดื่มแล้วขับในประเทศไทย แม้ว่าจะมีจำนวนสูญเสียเพิ่มขึ้นทุกปีจนไทยติดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก และอันดับที่ 1 ของอาเซียน แต่ดูเหมือนว่ากฏหมายไทยจะยังไม่มีการแก้ไขอะไรเลยนะครับ
ขอขอบคุณรูปภาพจาก รายการครอบครัวข่าว3
เพื่อนของพาพันคนหนึ่งเค้ายังเป็นเด็กอยู่ (ในภาพ) เมื่อหลายปีมาแล้วครอบครัวของเขาประสบอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับทำให้ต้องเสียทั้งพ่อและแม่ไป แถมตัวเขาเองร่างกายก็ต้องพิการจากเหตุการณ์ครั้งนั้นอีก ครอบครัวที่เคยมีของเขาได้หายไปเป็นความเจ็บปวดของชีวิตมากเป็นความสูญเสียที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น พี่หมอธนะพงศ์ได้พาเพื่อนของพาพันคนนี้ไปร่วมเรียกร้องให้มีการเพิ่มโทษเอาผิดผู้ที่ดื่มแล้วขับ เพราะตราบใดที่การตัดสินโทษเอาผิดผู้ก่อเหตุยังคงใช้ทัศนคติว่า “คนดื่มขับรถชนคนเสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัส” เป็นเพียงเรื่อง “ขับรถโดยประมาท” โอกาสที่จะทำให้ “คนดื่มแล้วขับ” ที่มีอยู่เต็มท้องถนน เกิดสำนึกและเกรงกลัวต่อความผิดคงจะเป็นไปได้ยากแน่นอนครับ...
ข้อเสนอชุดนี้เป็นการเรียกร้องให้ศาลพิจารณามีดุลพินิจเพิ่มว่า
เมาขับชนคนตาย=เจตนา (คลิ๊กอ่านรายละเอียดได้ใน spoil)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้





ข้อเสนอนี้จะได้รับความสำเร็จเร็วขึ้น หากได้รับการสนันสนุนจากกระแสสังคมครับ
บันทึกของพาพัน ตอน ดื่มไม่ขับ แล้วกลับมาพบกันใหม่บนเว็บ...ปีหน้านะครับ
อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ช่วงปีใหม่กันแล้วนะคร้าบบบ พี่ ๆ เพื่อน ๆ หลายคนคงจะมีกิจกรรมฉลองส่งท้ายปีกันแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ที่บ้าน หรือตามร้านอาหาร สถานบันเทิงต่าง ๆ พาพันอยากให้ทุกคนมีความสุข สนุกสนานอย่างเต็มที่ และเดินทางอย่างปลอดภัยในช่วงเทศกาลหยุดยาวนี้ แต่...คงไม่ดีแน่ หากตัวเราเองหรือคนที่เรารักต้องมาพบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่าง ๆ ที่ทำให้ช่วงเวลาดีๆ ต้องสะดุดลง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คืออุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับ ที่ทุกๆ ปีจะต้องมีข่าวรายงานจำนวนผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ จนทำให้เวลาแห่งความสุขของหลายคนต้องเศร้าลงทันที! แล้วเราจะมีวิธีป้องกันตัวเองและผู้อื่นไม่ให้ประสบอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับเหล่านี้ได้อย่างไร ตามพาพันมาเลยคร้าบบบ
สัปดาห์ที่ผ่านมา พาพันได้มีโอกาสพบกับคุณหมอธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ที่มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับอุบัติเหตุบนท้องถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยเฉพาะกรณีดื่มแล้วขับ คุณหมอเล่าถึงต้นตอของปัญหา แนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ และความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยบนท้องถนนที่น่าสนใจมาก พาพันได้ความรู้ใหม่ๆ มากมายและคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนๆ พี่ ๆ ชาว Pantip Network เลยขอนำมาแชร์กันนะครับ
ตอนที่คุยกับพี่หมอ พาพันถามพี่หมอว่า “ดื่มแบบรับผิดชอบ มีจริงไหมครับ??” พี่หมอตอบพาพันว่า “ดื่มแล้วรับผิดชอบ ไม่มีจริงหรอก...” เพราะคนที่ดื่มแล้วขับไม่ยอมรับว่าตัวเองอาจจะควบคุมรถไม่ได้... โอ้โห! พูดมาประโยคแรกก็โดนใจพาพันให้สงสัยอย่างแรงเลยครับ พี่หมอบอกว่า ลองสังเกตตัวเองดูสิว่าเวลาเดินทางไปต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น อเมริกา หรือยุโรป เรากล้าดื่มแล้วไปขับรถรึเปล่า... เชื่อว่าทุกคนคงตอบว่าไม่กล้าแน่ๆ เพราะอะไร... เพราะกฎหมายต่างประเทศเข้มงวดเอาผิดผู้ดื่มแล้วขับรุนแรงมากเลย ทั้งค่าปรับที่แพงเป็นแสนและจำคุกนาน แถมถูกไล่ออกจากงานในบางบริษัทด้วยครับ... พาพันสงสัยต่อ "แล้วทำไมพอเราอยู่เมืองไทยถึงกล้าดื่มแล้วขับกันละคร้าบบบ...?"
พี่หมอตอบว่า กฎหมายไทยยังไม่มีบทลงโทษที่จริงจัง ไม่มีมาตรการบังคับใช้ที่เข้มงวด ทำให้คนยังไม่กลัวโทษจากการดื่มแล้วขับ และคนไทยยังมีความเชื่อที่ผิดอยู่ ว่าการดื่มแล้วขับเป็นเรื่องปกติหรือขับได้ถ้ายังมีสติ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดอย่างมาก แล้วที่น่าตกใจมากก็คือ 1 ใน 5 ของคนไทยก็เชื่อแบบนี้ด้วยสิครับ พี่หมอบอกว่าต้องลบทัศนคติที่ว่า "ดื่มแล้วขับได้หากมีสติ" ออกไป เพราะมีความเสี่ยงในการประสบอุบัติเหตุทุกครั้ง เนื่องจากแอลกอฮอล์มีผลต่อสมองส่วนควบคุมการตัดสินใจ การตัดสินใจเหยียบเบรคที่ช้าไปครึ่งวินาทีทำให้รถชนแล้ว เสี้ยววินาทีมีค่าถึงชีวิต ทั้งชีวิตเราและคนอื่นๆ เราต้องคิดใหม่ว่า "หากดื่มแล้วสตาร์ทรถ = เจตนาฆ่าผู้อื่นบนท้องถนน" ถ้าหากเปลี่ยนแนวคิดนี้ได้รับรองว่าจำนวนอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับจะลดลงแน่นอนครับ
หลังจากพี่หมอได้ให้ความรู้อันเป็นประโยชน์แล้ว พาพันก็มีข้อสงสัยมาถามพี่หมอเพิ่มดังนี้ครับ
พาพัน : พี่หมอคิดว่า “ดื่มไม่ขับ” มีความสำคัญอย่างไรครับ?
โดยปกติการขับรถเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอยู่แล้ว ยิ่งคนที่ดื่มแล้วขับก็เพิ่มความเสี่ยงเข้าไปอีก แถมไม่ใช่เสี่ยงแค่ตัวคนดื่มแล้วขับอย่างเดียว แต่ทำให้คนอื่นบนท้องถนนต้องเสี่ยงไปด้วย มีความสูญเสียเกิดขึ้นเสมอเมื่อเกิดอุบัติเหตุทั้งผู้ขับและผู้ร่วมทาง มีชาวอเมริกันท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า สถิติคนตายเพราะอุบัติเหตุเมาแล้วขับจะเท่ากับกี่เปอร์เซ็นต์เป็นตัวเลขที่เค้าไม่สนใจเลย ที่เค้าสนใจคือ ความสูญเสีย 100 เปอร์เซ็นต์ของผู้เป็นพ่อที่ต้องเสียลูกชายคนเดียวไปจากการเป็นเหยื่อของคนที่ดื่มแล้วขับ ต่างหากที่สำคัญ ผู้ชายท่านนี้กลายมาเป็นนักรณรงค์ “ดื่มไม่ขับ” หลังจากสูญเสียลูกชายที่รัก... สังคมไทยจึงต้องให้ความสำคัญกับการดื่มไม่ขับ เพราะไม่มีใครอยากสูญเสียทั้งนั้น มีตัวอย่างความสูญเสียให้เห็นมากมาย และความสูญเสียเหล่านี้มันคือ 100 เปอร์เซ็นต์ของผู้ประสบเหตุ... ใช่มั้ยครับ?
พาพัน : ทำไมมีการรณรงค์ดื่มไม่ขับทุกปีแต่ประเทศไทยก็ยังมียอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ครับ?
ในประเทศไทยการพยายามรณรงค์สร้างจิตสำนึกเพียงอย่างเดียวไม่ช่วยลดอุบัติเหตุหรอก จะต้องรณรงค์ควบคู่กับการบังคับใช้กฏหมายที่เข้มงวดไปด้วยกัน สังคมไทยที่เป็นนักดื่มจะเริ่มยอมรับแล้วทำตามได้
พี่หมอได้ยกกรณีศึกษาสำคัญของประเทศญี่ปุ่นมาเล่าให้ฟังว่า “ความสูญเสีย” สุดเศร้าใจของเหยื่อที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุดื่มแล้วขับ 3 เหตุการณ์ที่ญี่ปุ่น ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และการพิจารณาของตุลาการครั้งใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่ามาก คือ ทำให้จำนวนอุบัติเหตุการจากดื่มแล้วขับลดลงเป็นจำนวนมาก ทั้งๆที่ญี่ปุ่นยังคงเป็นนักดื่มตัวยงครับ
พี่หมอธนะพงศ์ เล่ารายละเอียดว่า ประเทศญี่ปุ่นก่อนหน้านี้ปัญหาเมาขับชนคนตาย ยังถูกพิจารณาว่าเป็นเรื่อง “ประมาท” (Professional Negligence Resulting in Death) กฏหมายลงโทษจำคุกไม่เกิน 5ปี...ปรับ 5 แสนเยน จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ.1999 เกิดกรณีคนเมาขับรถบรรทุก (แอลกอฮอล์ในเลือด 126 mg%) ชนรถเก๋งบนทางด่วนโทลล์เวย์ ทำให้รถเกิดไฟลุกไหม้ ส่งผลให้ลูกสาววัย 1 ขวบและ 3 ขวบเสียชีวิต... และในช่วงติด ๆ กันนั้น เดือนเมษายน ค.ศ.2000 คนเมาขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต ชนนักศึกษาบนทางเท้าทำให้เสียชีวิต 2 คน
จากทั้ง 2 เหตุการณ์ส่งผลให้เกิดกระแสเรียกร้องของสังคมให้มีการ “แก้ไขกฎหมายเพิ่มโทษ” โดยครอบครัวของเหยื่อยื่นเรื่องต่อรัฐสภาขอให้มีการแก้ไขกฎหมายและพิจารณาว่า เมาขับ “ไม่ใช่เรื่องประมาท”
กระทั่งในปี ค.ศ.2001 มีกฎหมายใหม่ในเรื่อง “เมาขับ” กระบวนการยุติธรรมและศาลจะต้องพิจารณาด้วยว่าเป็นเรื่อง “ประมาท” หรือ “เจตนา” (negligent or crime of intent) เพราะถ้ายังเป็นความประมาท บทลงโทษยังคงเดิม คือ จำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนเยน
แต่ถ้าชี้ว่าเป็น “Dangerous Driving Resulting in Deaths and Injuries” หรือ crime of intent “เจตนา” โทษจะสูงถึง 20 ปี ในกรณีที่มีการเสียชีวิต ซึ่งจะคำนึงถึง
(1) การขับขี่ที่ได้รับผลกระทบจากแอลกอฮอล์และยา
(2) การขับขี่ที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยความเร็วสูง
(3) ไม่มีทักษะการขับขี่
(4) แซงอย่างน่ากลัว หรือขับรถจี้กดดันคันหน้า
(5) ฝ่าสัญญาณไฟแดง
ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ.2006 เกิดคดีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเมาขับชนท้ายรถเก๋งของครอบครัวหนึ่งบนสะพานตกลงไปในอ่าวฮานาตะ เมืองฟูกูโอกะ เป็นเหตุให้เด็กที่นั่งมาในรถทั้ง 3 คนเสียชีวิต...เด็กชาย 4 และ 3 ขวบ เด็กหญิง 1 ขวบ โดยเจ้าหน้าที่คนนี้ได้ขับรถหนีและขอให้เพื่อนที่นั่งมาด้วยกันสลับที่นั่งเพื่อหลอกว่าเป็นผู้ขับขี่แทน
จากเหตุการณ์ดังกล่าว กระแสสังคมญี่ปุ่นได้เรียกร้องขึ้นอีกครั้ง ขอให้มีการแก้กฎหมายโดยเพิ่มโทษคนที่นั่งไปด้วย และเอาผิดร้านจำหน่ายสุรา ที่ละเลยจำหน่ายให้คนที่มีหน้าที่ต้องขับรถ โดยยึดหลัก... “โทษหนัก บังคับเข้ม”
ที่สำคัญคือ “บทลงโทษ” ผู้ขับขี่เมาแล้วขับ จะรุนแรงและครอบคลุม ผู้เกี่ยวข้อง โดยมีหัวใจสำคัญ...การเมาแล้วขับและทำให้มีผู้เสียชีวิต จะมีโทษรุนแรง รองจากความผิดฐานฆ่าคนตายเลยทีเดียวครับ
แล้วเมื่อพาพันย้อนกลับมาดูจำนวนผู้เป็นเหยื่อจากอุบัติเหตุดื่มแล้วขับในประเทศไทย แม้ว่าจะมีจำนวนสูญเสียเพิ่มขึ้นทุกปีจนไทยติดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก และอันดับที่ 1 ของอาเซียน แต่ดูเหมือนว่ากฏหมายไทยจะยังไม่มีการแก้ไขอะไรเลยนะครับ
เพื่อนของพาพันคนหนึ่งเค้ายังเป็นเด็กอยู่ (ในภาพ) เมื่อหลายปีมาแล้วครอบครัวของเขาประสบอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับทำให้ต้องเสียทั้งพ่อและแม่ไป แถมตัวเขาเองร่างกายก็ต้องพิการจากเหตุการณ์ครั้งนั้นอีก ครอบครัวที่เคยมีของเขาได้หายไปเป็นความเจ็บปวดของชีวิตมากเป็นความสูญเสียที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น พี่หมอธนะพงศ์ได้พาเพื่อนของพาพันคนนี้ไปร่วมเรียกร้องให้มีการเพิ่มโทษเอาผิดผู้ที่ดื่มแล้วขับ เพราะตราบใดที่การตัดสินโทษเอาผิดผู้ก่อเหตุยังคงใช้ทัศนคติว่า “คนดื่มขับรถชนคนเสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัส” เป็นเพียงเรื่อง “ขับรถโดยประมาท” โอกาสที่จะทำให้ “คนดื่มแล้วขับ” ที่มีอยู่เต็มท้องถนน เกิดสำนึกและเกรงกลัวต่อความผิดคงจะเป็นไปได้ยากแน่นอนครับ...
ข้อเสนอชุดนี้เป็นการเรียกร้องให้ศาลพิจารณามีดุลพินิจเพิ่มว่า เมาขับชนคนตาย=เจตนา (คลิ๊กอ่านรายละเอียดได้ใน spoil)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ข้อเสนอนี้จะได้รับความสำเร็จเร็วขึ้น หากได้รับการสนันสนุนจากกระแสสังคมครับ