มีหนังสือเล่มนึงบอกว่า "ถ้าออมเดือนละ8000เพื่อลงทุนปีละแสนห้าปีจะได้เงินล้าน" ใครทำได้มั่ง


จากบทสัมภาษณ์ของ กิติชัย เตชะงามเลิศ ผู้เขียน "ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน" ...
"วอร์เรน บัฟเฟ็ต ที่เป็นนักลงทุนชื่อก้องโลก เค้าสามารถสร้างผลตอบแทนแค่ 20% ต่อปีเท่านั้นเอง แต่คุณไปเอาเงินในอนาคตมาใช้ โดยที่ต้นทุนของเงินคุณแพงพอๆกับเศรษฐีของโลกที่เค้าหาผลตอบแทนของเค้าได้ต่อปี แสดงว่าเริ่มต้นคุณคิดผิดแล้ว คุณต้องเปลี่ยน mindset ของคุณ ว่ารายได้เข้ามาคุณต้องกันไว้ออมก่อนที่เหลือไว้ใช้ เพราะถ้าคุณไม่กันไว้ออมก่อนด้วยโฆษณาปัจจุบันนี้มันดึงเงินจากกระเป๋าคุณไปแน่นอน คุณจะไม่มีเงินเก็บเหลือเลย

คุณต้องกันเงินออมไว้ก่อนเสมอ แล้วที่เหลือคุณค่อยใช้ เพื่อให้มีเงินออมแน่นอนในแต่ละเดือน คนที่กำลังจะรวยคือคนที่ใช้จ่ายต่ำกว่าฐานะของตัวเอง แต่คนที่กำลังจะจนคือคนที่ใช้จ่ายเกินฐานะของตัวเอง

สังคมในปัจจุบัน ผมมองว่าคนหลายคนยังติดอยู่ที่หน้าตา แบรนด์เนม ผมสังเกตทุกคนจะต้องถือสมาร์ทโฟน ราคาแพง ผมไปร้านกาแฟก็เห็นเด็กนักศึกษา นักเรียน นั่งสตาร์บัคส์อะไรพวกนี้ คุณเชื่อไหมว่าตั้งแต่สตาร์บัคส์เข้ามาที่เมืองไทย ผมไม่เคยเสียเงินซื้อกินเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ผมคิดว่ากาแฟถ้วยละ 100 กว่าบาท กินข้าวแกงได้ตั้ง 3 จาน ถ้าคุณไปอเมริกากาแฟสตาร์บัคส์ถ้วยนึง ร้อยบาทในขณะที่ค่าข้าว 300-400 บาท กาแฟถูกกว่าข้าวไม่เป็นไร แต่มาเมืองไทยกาแฟแพงกว่าข้าว มันไม่ make sense ผมเลยแอนตี้ ผมไม่กิน ถ้าคนอื่นซื้อมาเผื่อเราเรากิน แต่ถ้าให้ผมไปควักตังค์ซื้อผมไม่ซื้อ

ไมค์ ไทสัน ที่เป็นนักมวยชื่อดังของอเมริกา ชกทีมีรายได้เป็นร้อยๆล้านบาท จนมีเงินเป็นพันๆล้าน ในที่สุดก็ล้มละลายเพราะเค้าใช้เงินเกินฐานะของตัวเอง ให้คุณมีเงินรวยล้นฟ้า แต่ถ้าใช้จ่ายเกินฐานะของตัวเอง ในที่สุดคุณก็จนได้

คุณต้องเปลี่ยนความคิดโดย หนึ่ง-มีรายได้กันไว้ออมก่อน สอง-ใช้จ่ายต่ำกว่าฐานะของตัวเองเสมอ อย่างผมเองมีเงินขนาดนี้ แต่ผมนั่งรถไฟฟ้าแล้วก็เดินมานะ การที่เราใช้จ่ายต่ำกว่าฐานเงินของตัวเอง มันจะทำให้เราเพิ่มความมั่งคั่งให้กับตัวเองได้เร็วขึ้นอีก สองข้อนี้ถ้าคุณทำได้ คุณมีโอกาสรวย แล้วคุณค่อยๆมาเรียนรู้ว่าเงินที่คุณออมได้คุณจะเอามาใช้อะไรบ้าง

สำหรับคนที่เพิ่งจบมาเงินเดือน 15,000-20,000 ผมแยกเป็น 2 กรณี กรณีคนที่อยู่ที่บ้าน กับคนที่แยกมาอยู่ คนที่อยู่ที่บ้านคุณสามารถใช้จ่ายเดือนละ 5,000 บาทเองด้วยซ้ำ เพราะถ้าอยากรวยคุณต้องทำ มื้อเช้าคุณทานข้าวที่บ้าน ผมเชื่อว่าคุณแม่อยากทำให้เค้ากินอยู่แล้ว เสียค่ารถไปทำงานเดือนนึง 22 วันเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นค่ารถผมให้ไม่เกินเดือนละ 1,500 ให้นั่ง BTS รถไฟใต้ดินหรือรถเมล์ ไม่ใช่นั่งแท็กซี่  เค้าก็จะเสียค่าอาหารกลางวันแค่มื้อเดียว พอเลิกงานปุ๊บรีบกลับมากินข้าวเย็นที่บ้านคุณแม่ดีใจใหญ่ ลูกไม่เถลไถล คุณแม่ดีใจทำกับข้าวให้กิน ตัวคุณเองก็ประหยัด เพราะฉะนั้นคุณจะเสียแค่อาหารมื้อละ 50 บาท เดือนนึงเสีย 1,100 บาท บวกค่ารถ 1,500 บาท เป็น 2,600 ผมให้ค่าโทรศัพท์มือถือเดือนละ 200 บางคนบอกไม่พอหรอก ผมรายได้ขนาดนี้ ผมใช้ค่ามือถือเดือนละ 399 แค่นั้นเองนะ ลองเปรียบเทียบดูสิ คุณทำงานมีรายรับแค่เดือนละ 15,000 คุณจะมีธุรกิจคุยโทรศัพท์เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ คุณจะมีค่าใช้จ่ายส่วนตัวเดือนละ 2,000 กว่าบาท หมายถึงว่าคุณก็อาจจะซื้อเสื้อผ้า แต่คุณคงไม่ซื้อเสื้อผ้าทุกเดือนอยู่แล้ว คุณก็กินของที่บ้าน ใช้ยาสระผมของที่บ้านหมดคุณก็ไม่เสียอะไรแล้ว

ถ้าคุณไม่เรื่องมาก ทำอย่างที่ผมบอก คุณก็จะมีเงินออมเดือนละ 9,000 กว่าบาท ก็เกินที่คุณต้องการอยู่แล้ว สมมติคนเงินเดือน 20,000 เค้าย้ายไปอยู่ข้างนอก เค้าต้องเสียค่ากิน 3 มื้อ สมมติมื้อละ 150 เดือนนึง 4,500 ค่าเช่าห้องเดือนละ 3,000 เป็น 7,500  ค่าใช้จ่ายส่วนตัวให้เดือนละ 2,000 ก็เป็น 9,000 กว่าบาท ค่าน้ำไฟโทรศัพท์เบ็ดเสร็จไม่เกิน 12,000 บาทที่เค้าจะใช้ เพราะฉะนั้นเค้าจะมีเหลือ 3,000 กว่าบาท ในหนังสือผมทำตารางแล้วว่า คุณรายได้เท่านี้คุณใช้จ่ายอะไรได้บ้าง

เพราะฉะนั้นถ้าใครทำตามหนังสือผม เค้าจะมีโอกาสมีเงินออมเดือนละ 8,000 กว่าบาทซึ่งจะไปเข้าโปรแกรมผมได้ถ้าคุณมีเงินออมปีละ 100,000 เพราะเดือนละ 8,000 ปีนึงก็ 96,000 แล้ว ขาดอีก 4,000 บาท ก็ตกเดือนละ 300 เอง กระเหม็ดกระแหม่เพิ่มอีกนิดนึงก็ได้อีก 300 บาท ครบปีนึงก็ได้แสน ผ่านไป 5 ปี คุณก็ได้เป็นเศรษฐีเงินล้านแล้ว"
---------
คือ...เป็นแนวคิดที่ดีนะ แต่อยากรู้ว่าใครทำได้ตามนี้บ้างอะ

Credit: http://www.hiclasssociety.com/?p=56508
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่