สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ประเด็นของ จขกท คือ ไม่ว่าบ้านหรือคอนโด ราคามันสูงเกินกว่ามนุษย์เงินเดือนธรรมดา ๆ รายได้ปานกลางจะมีปัญญาหาซื้อกันแล้ว เนื่องจากต้องมีเงินเก็บเพื่อไว้จ่ายดาวน์ หรือ ผ่อนดาวน์ และยังต้องผ่อนต่อเนื่องไปอีก 30-40 ปี (ห้ามตกงานเด็ดขาด) อันนี้พูดถึงมนุษย์เงินเดือนทั่ว ๆ ไป
เงินเดือน 15,000 บาท จะมีปัญญาซื้อบ้านได้วงเงินเท่าไหร่ ผ่อน 30 ปี
เงินเดือน 20,000 บาท จะมีปัญญาซื้อบ้านได้วงเงินเท่าไหร่ ผ่อน 30 ปี
เงินเดือน 30,000 บาท จะมีปัญญาซื้อบ้านได้วงเงินเท่าไหร่ ผ่อน 30 ปี
เงินเดือน 40,000 บาท จะมีปัญญาซื้อบ้านได้วงเงินเท่าไหร่ ผ่อน 30 ปี
เงินเดือน 50,000 บาท จะมีปัญญาซื้อบ้านได้วงเงินเท่าไหร่ ผ่อน 30 ปี
มนุษย์เงินเดือนธรรมดาทั่ว ๆ ไป เงินเดือนคงไม่เกิน 30,000 บาท ถ้าจะผ่อนบ้านคงต้องรวมพลังกันเป็นคู่ ๆ ถึงจะมีโอกาส อาทิตย์ที่แล้วได้มีโอกาสตระเวณ ดูบ้านหลายที่ ในใบเสนอราคาของเซล ดังนี้
- ราคา 5.99 ล้าน ผ่อน 37,000 บาท 30 ปี ดอก 6.75%
- ราคา 7.39 ล้าน ผ่อน 44,100 บาท (อัตราผ่อนปีแรก) 40 ปี
- ราคา 8.01 ล้าน ผ่อน 48,447 บาท 30 ปี ดอก 7.50%
จากตัวเลขด้านบน คิดต่อไปได้ว่า มนุษย์เงินเดือนอายุเท่าไหร่กันถึงจะมีเงินเหลือมาผ่อนบ้านเดือนละ 4-5 หมื่นบาท สมมติว่าอายุ 30 ปี มีรายได้เดือนละแสน หักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ผ่อนรถ เหลือเดือนละ 50,000 บาท ถึงจะเริ่มมีโอกาสผ่อนบ้านได้ คำถามคือ จะมีมนุษย์เงินเดือนสักกี่คนที่ มีเงินเดือน 100,000 บาท ตอนอายุ 30 ปี และถ้าตัดสินใจซื้อแล้ว มันผูกพันต่อเนื่องไปอีก 30-40 ปี (ห้ามตาย ห้ามตกงาน)
ในความเห็นของผม
ราคาบ้านสูง <--- ราคาที่ดินมันแพง <--- ที่ดินอยู่ในมือคนรวย เงินเย็น ซื้อทิ้ง ๆ ไว้ ราคาดีก็ไม่ขายปล่อยมันไว้อย่างนั้น
เงินของมนุษย์เงินเดือนที่ผ่อนบ้านทุกเดือน ---> ธนาคาร ---> บริษัทสร้างบ้าน/คอนโด ---> เจ้าของที่ดิน
สรุปความคือ
- สมมติเจ้าของที่ดินขายที่ให้บริษัทก่อสร้าง ได้เงิน 100 ล้านบาท
- บริษัทก่อสร้าง ก็สร้างบ้านขาย ได้เงินมา 120 ล้านบาทจากธนาคาร (ทุน 100 ล้าน + กำไร 20 ล้าน)
- ธนาคารจ่ายเงิน 120 ล้าน ให้กับบริษัทก่อสร้าง เพราะขายหมดปิดโปรเจ็ค บ้านทุกหลังมีมนุษย์เงินเดือนซื้อ
- มนุษย์เงินเดือนทุกคนที่ซื้อบ้าน ผ่อนงวดบ้าน ให้กับธนาคารทุกเดือน โดยยอดเงินรวมที่ผ่อนทั้งหมด เป็นเงิน 150 ล้าน
จะเห็นได้ว่า
- จุดเริ่มต้นของความแพงเริ่มจาก การที่เจ้าของที่ดินขายที่ดินในราคา 100 ล้านบาท
- คนที่ผ่อนบ้านทุกคน กำลังทำงานให้เจ้าของที่ดิน ซึ่งรับเงินเต็มจำนวนไปตั้งแต่ตอนขายที่ดินให้กับบริษัทรับสร้างบ้านไปแล้ว
น่าเห็นใจคนผ่อนบ้านทุกคน ต้องทำงานตลอดชีวิต เพื่อส่งเงินให้เจ้าของที่ดิน
เงินเดือน 15,000 บาท จะมีปัญญาซื้อบ้านได้วงเงินเท่าไหร่ ผ่อน 30 ปี
เงินเดือน 20,000 บาท จะมีปัญญาซื้อบ้านได้วงเงินเท่าไหร่ ผ่อน 30 ปี
เงินเดือน 30,000 บาท จะมีปัญญาซื้อบ้านได้วงเงินเท่าไหร่ ผ่อน 30 ปี
เงินเดือน 40,000 บาท จะมีปัญญาซื้อบ้านได้วงเงินเท่าไหร่ ผ่อน 30 ปี
เงินเดือน 50,000 บาท จะมีปัญญาซื้อบ้านได้วงเงินเท่าไหร่ ผ่อน 30 ปี
มนุษย์เงินเดือนธรรมดาทั่ว ๆ ไป เงินเดือนคงไม่เกิน 30,000 บาท ถ้าจะผ่อนบ้านคงต้องรวมพลังกันเป็นคู่ ๆ ถึงจะมีโอกาส อาทิตย์ที่แล้วได้มีโอกาสตระเวณ ดูบ้านหลายที่ ในใบเสนอราคาของเซล ดังนี้
- ราคา 5.99 ล้าน ผ่อน 37,000 บาท 30 ปี ดอก 6.75%
- ราคา 7.39 ล้าน ผ่อน 44,100 บาท (อัตราผ่อนปีแรก) 40 ปี
- ราคา 8.01 ล้าน ผ่อน 48,447 บาท 30 ปี ดอก 7.50%
จากตัวเลขด้านบน คิดต่อไปได้ว่า มนุษย์เงินเดือนอายุเท่าไหร่กันถึงจะมีเงินเหลือมาผ่อนบ้านเดือนละ 4-5 หมื่นบาท สมมติว่าอายุ 30 ปี มีรายได้เดือนละแสน หักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ผ่อนรถ เหลือเดือนละ 50,000 บาท ถึงจะเริ่มมีโอกาสผ่อนบ้านได้ คำถามคือ จะมีมนุษย์เงินเดือนสักกี่คนที่ มีเงินเดือน 100,000 บาท ตอนอายุ 30 ปี และถ้าตัดสินใจซื้อแล้ว มันผูกพันต่อเนื่องไปอีก 30-40 ปี (ห้ามตาย ห้ามตกงาน)
ในความเห็นของผม
ราคาบ้านสูง <--- ราคาที่ดินมันแพง <--- ที่ดินอยู่ในมือคนรวย เงินเย็น ซื้อทิ้ง ๆ ไว้ ราคาดีก็ไม่ขายปล่อยมันไว้อย่างนั้น
เงินของมนุษย์เงินเดือนที่ผ่อนบ้านทุกเดือน ---> ธนาคาร ---> บริษัทสร้างบ้าน/คอนโด ---> เจ้าของที่ดิน
สรุปความคือ
- สมมติเจ้าของที่ดินขายที่ให้บริษัทก่อสร้าง ได้เงิน 100 ล้านบาท
- บริษัทก่อสร้าง ก็สร้างบ้านขาย ได้เงินมา 120 ล้านบาทจากธนาคาร (ทุน 100 ล้าน + กำไร 20 ล้าน)
- ธนาคารจ่ายเงิน 120 ล้าน ให้กับบริษัทก่อสร้าง เพราะขายหมดปิดโปรเจ็ค บ้านทุกหลังมีมนุษย์เงินเดือนซื้อ
- มนุษย์เงินเดือนทุกคนที่ซื้อบ้าน ผ่อนงวดบ้าน ให้กับธนาคารทุกเดือน โดยยอดเงินรวมที่ผ่อนทั้งหมด เป็นเงิน 150 ล้าน
จะเห็นได้ว่า
- จุดเริ่มต้นของความแพงเริ่มจาก การที่เจ้าของที่ดินขายที่ดินในราคา 100 ล้านบาท
- คนที่ผ่อนบ้านทุกคน กำลังทำงานให้เจ้าของที่ดิน ซึ่งรับเงินเต็มจำนวนไปตั้งแต่ตอนขายที่ดินให้กับบริษัทรับสร้างบ้านไปแล้ว
น่าเห็นใจคนผ่อนบ้านทุกคน ต้องทำงานตลอดชีวิต เพื่อส่งเงินให้เจ้าของที่ดิน
ความคิดเห็นที่ 27
ผมทำงานในภาคอสังหาฯมาตลอด จนผมเข้าใจในธรรมชาติของมันนะว่าคุณควรมีบ้านด้วยเหตุผลต่อไปนี้
1.เป็นการลงทุนที่ความเสี่ยงต่ำ หากเทียบกับซื้อทอง หุ้น กองทุน หรือปล่อยกู้ ฝากธนาคาร ผมคิดว่าอสังหาเมืองไทยชัวร์สุด เพราะตั้งแต่กรุงสุโขทัยถึงปัจจุบัน ราคาที่ดินไม่เคยตกนะ
2.ถึงคุณจะต้องกู้มาซื้อและเป็นหนี้ธนาคาร แต่คุณก็มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น
3.มันเป็นศูนย์กลางครอบครัวในเชิงสัญลักษ์ มีคนกล่าวว่า สถานที่ที่แม่ของคุณอยู่ นั่นแหละเรียกว่าบ้าน บ้านจะทำให้คุณได้มีกิจกรรมดีๆทำกันในครอบครัวเช่นทำอาหาร กินข้าวเย็นด้วยกัน เจอกันคุยกันมากขึ้น
และหากคุณมีบ้านที่คุณภูมิใจคุณจะตั้งใจกระตือรือร้นที่จะทำงานหาเงินเพื่อรักษาและดูแลมัน เชื่อผมสิ
4.มันเป็นมรดกตกทอดมูลค่ายิ่งยวด
5.ไม่ว่าคุณจะอาภัพ อกหัก หรือผิดหวังอะไรก็ตาม ยังไงคุณก็ยังมี"บ้าน"ให้กลับ
1.เป็นการลงทุนที่ความเสี่ยงต่ำ หากเทียบกับซื้อทอง หุ้น กองทุน หรือปล่อยกู้ ฝากธนาคาร ผมคิดว่าอสังหาเมืองไทยชัวร์สุด เพราะตั้งแต่กรุงสุโขทัยถึงปัจจุบัน ราคาที่ดินไม่เคยตกนะ
2.ถึงคุณจะต้องกู้มาซื้อและเป็นหนี้ธนาคาร แต่คุณก็มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น
3.มันเป็นศูนย์กลางครอบครัวในเชิงสัญลักษ์ มีคนกล่าวว่า สถานที่ที่แม่ของคุณอยู่ นั่นแหละเรียกว่าบ้าน บ้านจะทำให้คุณได้มีกิจกรรมดีๆทำกันในครอบครัวเช่นทำอาหาร กินข้าวเย็นด้วยกัน เจอกันคุยกันมากขึ้น
และหากคุณมีบ้านที่คุณภูมิใจคุณจะตั้งใจกระตือรือร้นที่จะทำงานหาเงินเพื่อรักษาและดูแลมัน เชื่อผมสิ
4.มันเป็นมรดกตกทอดมูลค่ายิ่งยวด
5.ไม่ว่าคุณจะอาภัพ อกหัก หรือผิดหวังอะไรก็ตาม ยังไงคุณก็ยังมี"บ้าน"ให้กลับ
ความคิดเห็นที่ 9
ความเห็นส่วนตัวคิดว่า
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ในภาพใหญ่ (macro)
จะมีหลักๆ 2 ส่วน
คือ demand กับ supply
supply ก็มาจากผู้พัฒนาโครงการต่างๆ
demand มี 2 ส่วนหลักๆคือ
ความต้องการแท้จริง เพื่อเอาไว้ใช้อยู่อาศัยจริงๆด้วยตัวเอง
อีกส่วนคือ ความต้องการ เพื่อเอาไว้เก็งกำไร
ผู้พัฒนาโครงการต่างๆ
ในช่วงแรกๆ
จะเล่นกับตลาด mass
ที่ราคาไม่สูง
ช่วงนี้ ผู้พัฒนาโครงการ
จะรีบเปิดโครงการต่างๆ
จนสร้างกันแทบไม่ทัน
เพราะเป็นช่วงตลาด mass
มีความต้องการสูงมาก
ยิ่งทำมาก ยิ่งได้มาก
ระหว่างช่วงเวลานี้
ก็อาศัย ความต้องการเพื่อเก็งกำไร ของนักเก็งกำไร
เป็นตัววัด ความเป็นไปได้
ของโครงการถัดๆไป
ว่าจะทำโครงการต่อไป โดยเป้าหมายลูกค้าในระดับใดต่อไป
ถ้าพบว่า มีแรงเก็งกำไรมาก
ผู้พัฒนา ก็จะพัฒนาโครงการ
สำหรับ mass ให้มีราคาสูงขึ้น และ สูงขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อโอนส่วนต่างของผู้เก็งกำไร
มาเป็นผลกำไรของผู้พัฒนาโครงการเอง
(อันนี้ รวมถึงราคาที่สูงขึ้น อันเนื่องจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแล้ว)
อันนี้ เป็นเหตุผลว่า
ทำไม มันจึงแพงขึ้นๆเรื่อยๆ
จนกว่าจะเห็นว่า สัญญาณเก็งกำไรเริ่มชะลอตัว
การเล่นในตลาดเดิม ลูกค้าประเภทเดิมๆ
ทำได้ยากแล้ว
ผู้พัฒนา ก็จะจับกลุ่มลุกค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้น
จะลดการเล่นในตลาด mass
ราคาอสังหาริมทรัพย์ในภาพใหญ่
ราคาจะไม่ตกลง แย่สุดก็เป็นอาการทรงๆ
อสังหาจะลงได้ ก็ต่อเมื่อ
เกิดวิกฤติเศรษฐกิจขนาดใหญ่และรุนแรง
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ในภาพใหญ่ (macro)
จะมีหลักๆ 2 ส่วน
คือ demand กับ supply
supply ก็มาจากผู้พัฒนาโครงการต่างๆ
demand มี 2 ส่วนหลักๆคือ
ความต้องการแท้จริง เพื่อเอาไว้ใช้อยู่อาศัยจริงๆด้วยตัวเอง
อีกส่วนคือ ความต้องการ เพื่อเอาไว้เก็งกำไร
ผู้พัฒนาโครงการต่างๆ
ในช่วงแรกๆ
จะเล่นกับตลาด mass
ที่ราคาไม่สูง
ช่วงนี้ ผู้พัฒนาโครงการ
จะรีบเปิดโครงการต่างๆ
จนสร้างกันแทบไม่ทัน
เพราะเป็นช่วงตลาด mass
มีความต้องการสูงมาก
ยิ่งทำมาก ยิ่งได้มาก
ระหว่างช่วงเวลานี้
ก็อาศัย ความต้องการเพื่อเก็งกำไร ของนักเก็งกำไร
เป็นตัววัด ความเป็นไปได้
ของโครงการถัดๆไป
ว่าจะทำโครงการต่อไป โดยเป้าหมายลูกค้าในระดับใดต่อไป
ถ้าพบว่า มีแรงเก็งกำไรมาก
ผู้พัฒนา ก็จะพัฒนาโครงการ
สำหรับ mass ให้มีราคาสูงขึ้น และ สูงขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อโอนส่วนต่างของผู้เก็งกำไร
มาเป็นผลกำไรของผู้พัฒนาโครงการเอง
(อันนี้ รวมถึงราคาที่สูงขึ้น อันเนื่องจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแล้ว)
อันนี้ เป็นเหตุผลว่า
ทำไม มันจึงแพงขึ้นๆเรื่อยๆ
จนกว่าจะเห็นว่า สัญญาณเก็งกำไรเริ่มชะลอตัว
การเล่นในตลาดเดิม ลูกค้าประเภทเดิมๆ
ทำได้ยากแล้ว
ผู้พัฒนา ก็จะจับกลุ่มลุกค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้น
จะลดการเล่นในตลาด mass
ราคาอสังหาริมทรัพย์ในภาพใหญ่
ราคาจะไม่ตกลง แย่สุดก็เป็นอาการทรงๆ
อสังหาจะลงได้ ก็ต่อเมื่อ
เกิดวิกฤติเศรษฐกิจขนาดใหญ่และรุนแรง
แสดงความคิดเห็น
จริงไหมว่า อีกไม่กี่ปีจากนี้ บ้าน คอนโด คนจะไม่มีปัญญาผ่อนกันแล้ว
ซึ่งการผ่อน ที่อยู่อาศัย มือหนึ่ง เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่ตลอดชีวิต แต่อาจจะหมายถึงต้องผ่อน ชั่วลูกชั่วหลาน
กว่าจะถึงตอนนั้นมันก็เก่าโทรมไปเยอะแล้ว ถึงแม้ว่า ความต้องการขาย กับ ความต้องการซื้อ
มันจะมีกลไก ในการปรับตัวของมันก็ตาม แต่เราทุกคนอยุ่ในระบบทุนนิยม สิ่งของต่างๆ
จะมีราคาสูงขึ้น (ไม่มีวันลดลง)
แล้วด้วยงาน money expo ทีเ่ป็นงานที่มีสถาบันการเงินต่างๆ มาออกบูท จัดโปรพวกสินเชื่อ
ก็เห็นหลายๆคน พูดกันหนาหูว่า เดี๋ยวนี้ อะไรก็แพงมาก
อีกหน่อย คนรุ่นหลังๆจะอยู่ลำบาก โดยเฉพาะ เรื่องบ้าน หรือ คอนโด คนจะซื้อ (หมายถึงผ่อนนั่นแหล่ะ)
กันไม่ไหว ก็เลยหันไปมอง พวก บ้าน คอนโด มือสองแทน
ซึ่งตัวบ้านนั้น ถ้ามองเรื่องทำเลดีๆ ก็เห็นทีจะหายากมากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะมีรถสาธารณะ ตลาด โรงพยาบาล
อยู่ใกล้แบบเดินด้วยเท้าไม่นานก็ถึง แต่ด้วยความอยากได้ อยากอวดชาวบ้าน ว่ามีบ้าน คอนโดใหม่
ก็เลยตัดสินใจ เดินดูโครงการ วางเงินจอง ติดต่อสินเชื่อ ทำสัญญา โอนกรรมสิทธิ์ แล้วก็ผ่อนเป็นงวดๆ
ซึ่งก่อนจะเซ็นต์รับบ้าน ก็ควรจะตรวจสอบสภาพ และ ระบบต่างๆในบ้านให้ดีๆ (อาจจะต้องจ้างบริษัทตรวจบ้านบ้านมา)
ซึ่งก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายอีก 3-5 พันบาท ต่อครั้ง เป็นอย่างน้อย เพราะไม่งั้นแล้ว
สุดท้ายพอมาอยู่จริงๆ กลับพบเเต่ปัญหา ผนังไม่เรียบร้อย กระเบื้องแตก ท่อน้ำรั่ว ระบบไฟมีปัญหา
แล้วโครงการ ก็จะเอาเหตุผลเรื่องเซ็นต์รับกรรมสิทธิ์มาอ้าง ว่าไม่ดูให้เรียบร้อยเอง
ส่วนที่จะเห็นหนักๆเลยก็คงจะเรื่องการเดินทาง เพราะโครงการที่สร้างใหม่ มักจะอยู่นอกเมือง
คือ ถ้าไม่เดินหลายกิโล ก็ต้องนั่งมอไซด์ หรือ รถยนต์ส่วนตัวออกมา ก็ยิ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มหนักขึ้นไปอีก
ส่วนที่เห็นอยากได้กันจังเลย ก็คือ คอนโด เพราะราคาไม่สูงเท่าบ้าน
สุดท้าย ตัวเองก็ต้องเจียดเงินไปผ่อน แล้วตัวเองก็ต้องมาอดๆอยากๆ แล้วพออายุมาก
ก็เลยไม่พอใช้ เนื่องจาก ได้เอาเงินตรงส่วนนี้ไปผ่อน คอนโด หมด แล้วตัวเองก็ต้องมาอยู่
คอนโด นี้ซึ่งพื้นที่ก็ไม่ได้กว้างขวางอะไรนัก ที่จอดรถก็แสนจำกัด (ประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ของโครงการได้)
พออยู่ๆไปสักพัก ตึกคอนโด ก็เริ่มจะมีรอยแตกร้าว อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะคอนโดที่สร้างขึ้นใหม่เดี๋ยวนี้
นอกจากนี้ สิ่งที่หลายๆคนลืมนึกถึง ก็คือ คนที่อยู่คอนโด ก็ต้องเสียค่าส่วนกลางในทุกๆเดือนอีก
ยิ่งถ้าแย่ๆหน่อย ระหว่างผ่อนคอนโดไป อยู่ๆก็ดันมาป่วยหนัก นอกจากไม่มีเงินผ่อ่นแล้ว
ก็ยังไม่มีเงินรักษาตัวเองอีก ที่เหลือก็คงจะทำได้เพียงแต่นอนรอความตายเท่านั้น ... เห็นอะไรตรงนี้ไหม
ซึ่งถ้ามองถึงประเด็นการเก็งกำไร อสังหา เห็นยุคนี้ ด้วยความยากลำบากในการหารายได้ เพื่อเอาไว้กินใช้
หลายๆคน อยากจะสบาย ก็เลยสนใจ เรื่องการลงทุน ความอยากมีอิสระภาพ ก็เลยมาซื้อคอนโด
แล่วก็ปล่อยให้คนเช่า จนมีกูรูหลายคน ออกมาพูดอย่างสวยหรูว่า มันทำให้ร่ำรวย ได้อย่างไร
ปรากฎว่า ในความเป็นจริง มันก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น เพราะถึงแม้จะทำเรื่องกุ้ผ่าน
การหาคนมาเช่าต่อ ในราคาที่สูงกว่าที่ผ่อน แล้วกินส่วนต่างนั้นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เหตุผลก็เพราะ เขาไม่ได้เป็นเจ้าของ แล้วก็คงไม่มีใครอยากจะเช่าเเพงๆด้วย
ซึ่งตรงนี้หลายคนคงจะเคยได้ยิน ตัวเลขหนี้เสีย สินเชื่อส่วนบุคคลนั้น นับวันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ
ยังไงก็อย่าเอาเงินทองที่แสนหายากเย็นไปละลาย กับ พวกคลอสอบรม อย่างเสียสติ (2 วันจบเสียเป็นแสน)
เพราะไม่งั้นจะกลายเป็นว่า คนอยากรวย มีแต่จะจนลง แต่พวกโค้ซ ต่างๆมีแต่จะรวยขึ้น
ขณะที่บางคนดีหน่อย เขาก็พูดตรงไปมา ไม่เน้นตลาด หรือ ผลประโยชน์ตนเองมาก
ว่า อสังหา เก็งกำไร มันก็ไม่ง่ายนักหรอก
แล้วส่วนมาก ที่เห็น มีเงินมีทองใช้ ลงทุนเยอะแยะ ได้นัน่ก็เพราะมีคนรุ่นก่อน ได้กว้านซื้อ
ที่ดิน และ สร้างสมบัติต่างๆไว้ให้แล้ว เวลาเดือดร้อนก็แบ่งขายออกมานิดหน่อย
ที่เหลือก็ปล่อยให้คนเช่า มีกินมีใช้ ได้สบาย แต่นั่นก็คือ คนส่วนน้อย ส่วนใหญ่
ไม่ได้โชคดีแบบนั้นเลย
ยิ่งถ้าพวกแต่งงาน มีครอบครัว ลูกนะ เกิดสะดุด ถูกบีบออก หรือ หากรวยมีกิจการเจ๊ง
ครอบครัวก็พากันล่มสลายไปเลยก็มีให้เห็นเยอะแยะ หลายคนเจอสภาพนี้ถึงได้ตัดพ้อไงว่า
คนเราจะเห็นใจกันจริงๆ ยามยาก นี่แหล่ะ แต่ก็มีบางคนไม่ทิ้งไปไหนก็มี
แล้วก็มีอีกจำนวนไม่น้อย ไม่คิดถึงบ้านคอนโดใหม่ แต่กลับเลือกที่จะอยุ่ที่เดิม
อาจจะเบียดเสียดยัดเยียดหน่อย เก่าๆโทรมๆบ้าง เขาก็อาศัยอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ
แต่ก็ยังมีอีกหลายครอบครัว ที่อยุ่ที่เก่าๆ แล้วก็ไม่มีเงินพอซ่อมด้วย เขาก็พยายามอยู่กัน
นี่อาจจะเรียกได้ว่า คนรุ่นหลังๆ จะยิ่งอยุ่ลำบาก แล้วด้วยเหตุผลนี้
หลายคนถึงไม่แต่งงาน หรือ มีลูก
ปล.อย่าลืมเก็บเงิน หรือ ทรัพย์สิน ไว้บ้างในยามจำเป็น อย่ามัวแต่คิดอยากได้นั่นนี่
เพราะตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ แล้วมนุษย์ก็จำเป็นอยุ่ไม่กี่อยา่ง
ปล.2 ขอความกรุณา แสดงความเห็นเชิงแลกเปลี่ยนความเห็น ไม่ต้องการโต้แย้งเอาชนะ
เพราะโลกนี้ มันไม่มีใครรุ้ดีและเข้าใจทุกอย่าง และ เพื่อเป็นประโยชน์แก่คนอื่นด้วย