ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปตีกรุงเวียงจันท์ พร้อมกวาดต้อนชาวลาวข้ามโขงมาฝั่งไทยจำนวนมาก ท่านสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกก็ได้แม่หญิงลาวมารับใช้เป็นบาทจาริกาด้วย และเมื่อท่านเถลิงราชย์ขึ้นเป็นปฐมมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ท่านก็ยกแม่หญิงลาวท่านนั้นขึ้นตำแหน่งเจ้าจอมที่ “เจ้าจอมแว่น” แต่บรรดาพระเจ้าลูกท่านหลานยาเธอเรียกติดปากว่า “เจ้าคุณเสือ” เพราะความเข้มงวดของเธอ สมัยที่ยังไม่ขึ้นครองราชย์ กล่าวกันว่าสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์โปรดแม่หญิงลาวท่านนี้มาก ยามที่ท่านกริ้วขึ้นมา...ไม่มีใครหน้าไหนกล้าขัด ต้องพากันไปให้เจ้าจอมแว่นท่านนี้มาเกลี้ยกล่อมท่านสมเด็จเจ้าพระยาถึงจะยอมหายกริ้ว (เมื่อคราวที่เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร(ต่อมาคือ ร.๒)ทรงคบหาอยู่กับเจ้าฟ้าบุญรอด(ต่อมาคือสมเด็จพระศรีสุริเยทราบรมราชินี)จนเจ้าฟ้าบุญรอดทรงตั้งพระครรภ์ เป็นเหตุให้สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯกริ้วเป็นอย่างมาก กรมหลวงอิศรสุนทรต้องไปขอให้เจ้าจอมแว่นช่วยเกลี้ยกล่อม จึงคลายกริ้ว)
เป็นที่ทราบกันดีว่า ยุคต้นรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพยายามฟื้นฟูและส่งเสริมกิจกรรมหลายๆ อย่าง ด้านศาสนา สงคราม กล่าวเฉพาะด้านประเพณีแล้ว... พระองค์ทรงวางพระทัยให้เจ้าจอมแว่นรับหน้าที่อบรมสั่งสอนพระเจ้าลูกและหลานยาเธอ รวมทั้งสาวใช้ในวังเรื่องมารยาทชาววัง เจ้าจอมแว่นมีเชื้อพระวงศ์จากฝั่งลาว จึงนำประสบการณ์/มารยาท/ประเพณีจากอีกฝั่งของมาอบรม
(ตรงนี้ ใครที่ชอบเผลอปากก็ดี หรือตั้งใจก็ดีใช้คำว่า “ลาว” เพื่อสื่อถึงพฤติกรรมคนร่วมชาติว่าไม่ศิวิไลซ์/เซอร์/ไร้มารยาท/ล้าหลังก็ลองใคร่ครวญเสียใหม่)
ในยุคต้นรัตนโกสินทร์นั้นมีแม่หญิงลาวที่มีบทบาทหลายท่าน เช่นว่า พระองค์เจ้านารีรัตนา พระองค์เจ้าประดิษฐาสารี เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี พระองค์เจ้าแม้นเขียน บางท่านมีพระชนม์ชีพสืบมาจนถึงร.๖ ทิ้งรายชื่อเหล่านี้เผื่อท่านที่สนใจจะค้นคว้าต่อ (เพราะบางชื่อหลายท่านอาจจะไม่คุ้นหู)
แม่หญิงลาว(ล้านนา)อีกท่านหนึ่งที่หลายท่านอาจจะไม่คุ้นชื่อเพราะเธอเป็นพระอัครชายาเธอ เจ้าครอกศรีอโนชาพระอนุชาร.๑ นั่นก็คือ “เจ้าครอกศรีอโนชา” ช่วงการเปลี่ยนแผ่นดินจากสมเด็จพระเจากรุงธนบุรีสู่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกนั้น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกต้องรีบยกทัพกลับจากเขมรเมื่อทราบข่าวความวุ่นวายในวัง ก่อนที่ทัพของสมเด็จเจ้าพระยาฯ จะมาถึงพระนคร ความวุ่นวายก็จบลงด้วยเจ้าครอกศรีอโนชาได้ร่วมกับพระยาสุริยภัยปราบ(กบฏ)พระยาสรรค์ลงได้จากนั้นก็ “หงายเมือง”(คือเปิดเมือง)ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเข้า แล้วต่อมาท่านก็ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์สืบจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี นั่นเป็นเหตุการณ์ก่อนผลัดแผ่นดิน ผมก็เคยคิดเงียบๆ ว่า หากเจ้าครอกศรีอโนชาคิดจะครองบ้านเมืองเสียตอนนั้นคือไม่หงายเมืองให้ทัพของสมเด็จเจ้าพระยาฯ เข้าพระนคร ประวัติศาสตร์ไทยคงอาจเป็นไปในทิศทางอื่น???
ทู้นี้ไม่มีอะไรครับ....เล่าสู่กันฟัง สำหรับคนที่ชอบเหยียดคนลาวแค่นั้นเอง....ส่วนคนที่ไม่เคยเมื่อได้อ่านแล้วคงเฉยๆ ไม่เดือดร้อนอะไร
ปล.ไม่ได้แท็กห้องประวัติศาสตร์เพราะว่าผมอยู่ที่ห้องราชฯ
“คนลาว” ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น กับมารยาทผู้ดี/ชาววัง...ใครสั่งสอน??...
เป็นที่ทราบกันดีว่า ยุคต้นรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพยายามฟื้นฟูและส่งเสริมกิจกรรมหลายๆ อย่าง ด้านศาสนา สงคราม กล่าวเฉพาะด้านประเพณีแล้ว... พระองค์ทรงวางพระทัยให้เจ้าจอมแว่นรับหน้าที่อบรมสั่งสอนพระเจ้าลูกและหลานยาเธอ รวมทั้งสาวใช้ในวังเรื่องมารยาทชาววัง เจ้าจอมแว่นมีเชื้อพระวงศ์จากฝั่งลาว จึงนำประสบการณ์/มารยาท/ประเพณีจากอีกฝั่งของมาอบรม (ตรงนี้ ใครที่ชอบเผลอปากก็ดี หรือตั้งใจก็ดีใช้คำว่า “ลาว” เพื่อสื่อถึงพฤติกรรมคนร่วมชาติว่าไม่ศิวิไลซ์/เซอร์/ไร้มารยาท/ล้าหลังก็ลองใคร่ครวญเสียใหม่)
ในยุคต้นรัตนโกสินทร์นั้นมีแม่หญิงลาวที่มีบทบาทหลายท่าน เช่นว่า พระองค์เจ้านารีรัตนา พระองค์เจ้าประดิษฐาสารี เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี พระองค์เจ้าแม้นเขียน บางท่านมีพระชนม์ชีพสืบมาจนถึงร.๖ ทิ้งรายชื่อเหล่านี้เผื่อท่านที่สนใจจะค้นคว้าต่อ (เพราะบางชื่อหลายท่านอาจจะไม่คุ้นหู)
แม่หญิงลาว(ล้านนา)อีกท่านหนึ่งที่หลายท่านอาจจะไม่คุ้นชื่อเพราะเธอเป็นพระอัครชายาเธอ เจ้าครอกศรีอโนชาพระอนุชาร.๑ นั่นก็คือ “เจ้าครอกศรีอโนชา” ช่วงการเปลี่ยนแผ่นดินจากสมเด็จพระเจากรุงธนบุรีสู่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกนั้น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกต้องรีบยกทัพกลับจากเขมรเมื่อทราบข่าวความวุ่นวายในวัง ก่อนที่ทัพของสมเด็จเจ้าพระยาฯ จะมาถึงพระนคร ความวุ่นวายก็จบลงด้วยเจ้าครอกศรีอโนชาได้ร่วมกับพระยาสุริยภัยปราบ(กบฏ)พระยาสรรค์ลงได้จากนั้นก็ “หงายเมือง”(คือเปิดเมือง)ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเข้า แล้วต่อมาท่านก็ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์สืบจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี นั่นเป็นเหตุการณ์ก่อนผลัดแผ่นดิน ผมก็เคยคิดเงียบๆ ว่า หากเจ้าครอกศรีอโนชาคิดจะครองบ้านเมืองเสียตอนนั้นคือไม่หงายเมืองให้ทัพของสมเด็จเจ้าพระยาฯ เข้าพระนคร ประวัติศาสตร์ไทยคงอาจเป็นไปในทิศทางอื่น???
ทู้นี้ไม่มีอะไรครับ....เล่าสู่กันฟัง สำหรับคนที่ชอบเหยียดคนลาวแค่นั้นเอง....ส่วนคนที่ไม่เคยเมื่อได้อ่านแล้วคงเฉยๆ ไม่เดือดร้อนอะไร
ปล.ไม่ได้แท็กห้องประวัติศาสตร์เพราะว่าผมอยู่ที่ห้องราชฯ