
เอาล่ะ เห็นว่าก่อนหน้านี้มีดราม่าเกี่ยวกับขนมโตเกียวบานาน่ากันไปใหญ่โต หลังจากที่ จขกท. จะไปหาตามมาลองชิมของไทยเราบ้างก็ดูจะหาทานยากเหลือเกิน เลยลองทำเองดูซะเลย เป็นสูตรโตเกียวบานาน่า หรือ บานาน่าโรลเค้ก ดัดแปลงมาตามแบบฉบับของแม่บ้านญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว ไม่พูดพร่ามทำเพลงละ เรามาเริ่มลงมือทำกันเลยดีกว่า ก่อนหน้านี้ จขกท.เคยลงสูตร เครปเค้กหม้อหุงข้าว กับ เค้กสตอเบอรี่นมสดไปแล้ว วันนี้ก็ฝากโตเกียวบานาน่าแบบง่ายๆรสชาติอร่อยไว้ในอ้อมใจกันอีกซักกระทู้นะคะ

จากในรูปส่วนผสมนี้จะขาดส่วนผสมหลักซึ่งก็คือ กล้วยหอม อันเนื่องมาจาก จขกท. ซื้อกล้วยหอมแล้วแช่ตู้เย็นไว้จนสุกงอม จนเปลือกดำหมดละจ้า เกรงว่าจะไม่สวย เลยไม่ถ่ายลงดีกว่าเนอะ แหะๆ
เรามาเริ่มดูที่ส่วนผสมกันเลยค่ะ
ในส่วนแรกจะเป็นในส่วนของไส้ครีมกล้วยค่ะ
1. กล้วยหอม 1 ลูก (ได้แบบดำๆงอมๆเลยจะดีมาก หอมอร่อยสุดๆ)
2. ไข่ไก่ 1 ฟอง
3. น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะ
4. นมสด 150 มิลลิลิตร
5. แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
6. กลิ่นวนิลา 1-2 หยด (ในส่วนนี้ใครชอบก็ใส่ ไม่ชอบก็ไม่ต้องใส่ค่ะ)
ในส่วนที่สองจะเป็นในส่วนของตัวชิฟฟ่อนเค้กค่ะ ขอบอกว่านุ่มมากๆ
1. แป้งเค้ก 80 กรัม
2. ไข่ 3 ฟอง และทำการแยกไข่แดงไข่ขาว ออกจากกัน
3. น้ำตาล 70 กรัม (แยกเป็น 2 ถ้วย ถ้วยละ 35 กรัม)
4. น้ำเปล่า 60 มิลลิลิตร
5. น้ำมันมะกอก 40 มิลลิลิตร
6. ผงฟู ½ ช้อนชา
7. เกลือ 1/8 ช้อนชา
8. สีผสมอาหารสีเหลือง
9. กลิ่นกล้วย
สำหรับในข้อ 8 และ 9 หากใครไม่มีจริงๆก็ไม่ต้องใส่ก็ได้นะคะ เพราะจริงๆเราใช้กล้วยหอมจริงๆก็หอมอยู่แล้วค่ะ ส่วนสีเหลืองถ้าใครอยากให้ได้สีสวยๆแลดูเหมือนกล้วยก็ใส่ค่ะ แต่ จขกท.ไม่มีสีเหลืองค่ะเลยไม่ได้ใส่ เลยแลดูสีธรรมชาติมว๊ากกกกก 5555
เอาล่ะเริ่ม!!!!!!! เราจะเริ่มจากการทำครีมกล้วยกันก่อนเลยค่ะ
1. นำกล้วยหอมที่สุกงอม มาขยี้ โดยใช้ส้อมค่อยๆขูดๆเนื้อออกมา จนหมดลูก แล้วบดๆให้เลอะสุดๆไปเลยค่ะ

2. หลังจากบดกล้วยเสร็จแล้ว ตอกไข่ใส่ไปโลด ตามด้วยแป้งข้าวโพด, นม และน้ำตาล และกลิ่นวนิลา(หากใครต้องการใส่)

3. ตีหรือคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว (ใครอยากจะใส่สีเหลืองลงไปซักนิดให้ดูเป็นครีมสีเหลืองก็ไม่ว่ากันนะคะ)
4. จากนั้นนำส่วนผสมที่ผสมเรียบร้อยแล้ว เข้าไมโครเวฟ 800 วัตต์ นาน 2 นาที หรือดูให้พอเนื้อเป็นครีมๆข้นๆเป็นใช้ได้ หรือถ้าใครไม่มีไมโครเวฟก็นำส่วนผสมใส่หม้อขึ้นตั้งไฟจนกว่าส่วนผสมจะเป็นครีมข้นนั่นล่ะค่ะ หน้าตาก็จะออกมาเป็นแบบนี้ กลิ่นหอมมากกกกก พูดเลย!!!!

5. นำส่วนผสมมาชิมดูนิสสสสสสสเนิง จะรู้ว่ามันอร่อยมว๊ากกกกกก (อันนี้นอกเรื่อง 555)
6. นำส่วนผสมใส่ถุงพลาสติกทนความร้อน เพื่อที่จะใช้บีบลงบนตัวแป้งเค้กได้

7. วางตัวครีมกล้วยไว้รอให้เย็น แล้วค่อยนำไปแช่ไว้ในตู้เย็นค่ะ
ต่อมาเรามาทำตัวชิฟฟ่อนเค้กกันดีกว่าค่ะ
1. นำแป้งเค้ก, ผงฟู และ เกลือ เทรวมกันแล้วร่อนแป้งค่ะ

2. แวบไปอุ่นเตาอบให้ร้อนซักหน่อย
3. แยกไข่แดง และ ไข่ขาวออกจากกันคนละถ้วย

4. จากนั้นนำน้ำตาล (ถ้วย1) มาผสมกับไข่แดงแล้วตีให้เข้ากัน

5. เติมน้ำมันมะกอกลงไปในถ้วยไข่แดง แล้วตีต่อไปให้เข้ากัน

6. จากนั้นนำแป้งที่เราร่อนไว้ ค่อยๆเทผสมทีละน้อยๆ ในถ้วยไข่แดง แล้วค่อยๆตีผสมจนเป็นเนื้อเนียนเข้ากันดี

7. เสร็จจากถ้วยไข่แดงแล้วปล่อยทิ้งไว้ เรามาดูที่ถ้วยไข่ขาวกันบ้างดีกว่าค่ะ นำน้ำตาล(ถ้วย2 )ผสมลงในไข่ขาว แล้วตีไข่ขาวด้วยความเร็วสุดเลยค่ะ หรือใครใช้ตะกร้อมือก็ตีเร็วๆแรงๆค่ะ จนไข่ขาวขึ้นฟูตั้งยอดดังรูปค่ะ เนื้อจะเป็นครีมฟูๆคล้ายๆวืปครีมเลยค่ะ นุ่มๆ น่ากินมว๊ากกกกกก อิอิ

***เทคนิค สำคัญมากกกก*** เนื่องจากในส่วนตีไข่ขาว จขกท.ประสบกับปัญหาตีไข่ไม่ขึ้นฟู ตียังไงก็ไม่ฟูให้ สรุปถามผู้เชี่ยวชาญมาได้ความว่า ในไข่ขาวที่เราตีต้องไม่มีน้ำมัน หรือไข่แดงลงไปปนเลยนะคะ จขกท.ดันขี้เกียจล้างตะกร้อมือที่ตีไข่แดงไปเมื่อตะกี้ เอามาตีเลยตะกร้อจึงมีน้ำมันและไข่แดงติดอยู่ เลยสรุปต้องเททิ้ง ล้างตะกร้อ ทำไม T T
แต่สุดท้ายก็สำเร็จฟูตั้งยอดตามรูปด้านบนนะคะ ฮี่ฮี่
8. ต่อค่ะ ตักฟองไข่ขาวฟูๆเมื่อตะกี้ ซักประมาณ 3 ช้อน ใส่ในแป้งที่ผสมไข่แดง แล้วค่อยๆตะล่อมไข่ขาวและแป้งรวมกัน

ย้ำนะคะ ขอย้ำเลยจริงๆ ว่าค่อยๆทำ ค่อยๆตะล่อมใจเย็นๆ อย่าให้ความฟูของไข่ขาวมันแฟบลง เรายังต้องการความฟูๆของไข่ขาวอยู่ เพื่อที่เวลาอบเสร็จมันจะฟูนุ่มมากๆเลยค่ะ
9. ค่อยๆตักไข่ขาวใส่แล้วตะล่อมไข่ขาวให้เข้ากับแป้งจนหมด เนียนเป็นเนื้อเดียวกัน หน้าตาจะออกมาเป็นแบบนี้ จะเห็นว่าตัวแป้งจะยังมีความฟูๆของไข่ขาวที่เราตีเมื่อกี้อยู่

**** ตะล่อม**** มันแปลว่าอะไรฟร๊ะ หลายคนอ่านละคง งง เหมือน จขกท.ในตอนแรก ถ้าให้อธิบายมันคล้ายๆกับว่าเราค่อยๆเกลี่ยด้วยความเบามือ ไม่ใช่กวนๆๆๆๆ ตีๆๆๆ แรงๆเกินไป ค่อยๆเกลี่ย ค่อยๆตัก ควัก ตวัด ส่วนผสมจากขอบนอกเข้าขอบใน จากขอบในเข้าขอบนอกของจาก เหมือนตอนเราปรุงก๋วยเตี๋ยวกับเครื่องปรุงอ่ะ แต่เราทำด้วยความเบามือ ประมาณนี้ หวังว่าพอจะเข้าใจ หรือจะ งง กว่าเดิมไม่รู้ 55555
10 . นำน้ำมัน หรือเนย ทาพิมพ์ซักนิดเพื่อที่ว่าตัวชิฟฟ่อนเค้กของเราจะได้ไม่ติดพิมพ์ตอนเคาะออก จากนั้นตักแป้งเค้กที่ผสมเรียบร้อยทุกกระบวนแล้ว ลงในพิมพ์ซักครึ่งนึง เพราะเดี๋ยวตัวเค้กมันจะฟูขึ้นอีก

11. อบที่ไฟ บน-ล่าง 10-15 นาที หรือแล้วแต่รุ่นค่ะ ต้องอบไปคอยดูไปนะคะ ของ จขกท.มันใช้เวลาประมาณนี้ค่ะ
12. เมื่ออบเค้กจนสุกแล้ว ก็นำออกมาเคาะใส่จาน แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นสนิทก่อนค่ะ

13. เมื่อตัวแป้งชิฟฟ่อนเค้กเย็นสนิทแล้ว เราก็สไลด์เป็นแผ่นขนาดไม่บาง ไม่หนาจนเกินไปค่ะ

14. ตัดปลายถุงครีมกล้วยที่เราทำไว้ซักนิด แล้วนำมาบีบไปตรงกลางแผ่นชิฟฟ่อนเค้กค่ะ

15. จัดการม้วนเลยค่ะ แล้วนำพลาสติกถนอมอาหารมาห่อไว้ แล้วนำเข้าตู้เย็น
เสร็จแล้วพอแช่ตู้เย็นจนมันเย็นแล้ว เราก็เอาออกมาแกะพลาสติกถนอมอาหารออก แล้วตัดหัวท้ายตัดแต่งให้สวยงาม หรือใครจะไม่ตัดก็ได้นะคะ ก็จะแลดูเป็น Tokyo Banana มากขึ้น พอตัดแล้วแลดูเป็น Roll Cake สุดๆไปเลย แต่ขอบอกว่ารสชาติอร่อยมาก นุ่มสุดๆ ทำให้ลูกหลานทานมีประโยชน์ค่ะ เพราะเราใช้เนื้อกล้วยหอมจริงๆกันเลย วันนี้ก็ขอลากันไปเท่านี้ หวังว่าจะมีประโยชน์กับหลายๆท่านนะคะ
โตเกียว บานาน่า / บานาน่า โรลเค้ก ทำทานเองก็ได้ไม่เห็นยาก แบบฉบับแม่บ้านญี่ปุ่น
เอาล่ะ เห็นว่าก่อนหน้านี้มีดราม่าเกี่ยวกับขนมโตเกียวบานาน่ากันไปใหญ่โต หลังจากที่ จขกท. จะไปหาตามมาลองชิมของไทยเราบ้างก็ดูจะหาทานยากเหลือเกิน เลยลองทำเองดูซะเลย เป็นสูตรโตเกียวบานาน่า หรือ บานาน่าโรลเค้ก ดัดแปลงมาตามแบบฉบับของแม่บ้านญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว ไม่พูดพร่ามทำเพลงละ เรามาเริ่มลงมือทำกันเลยดีกว่า ก่อนหน้านี้ จขกท.เคยลงสูตร เครปเค้กหม้อหุงข้าว กับ เค้กสตอเบอรี่นมสดไปแล้ว วันนี้ก็ฝากโตเกียวบานาน่าแบบง่ายๆรสชาติอร่อยไว้ในอ้อมใจกันอีกซักกระทู้นะคะ
จากในรูปส่วนผสมนี้จะขาดส่วนผสมหลักซึ่งก็คือ กล้วยหอม อันเนื่องมาจาก จขกท. ซื้อกล้วยหอมแล้วแช่ตู้เย็นไว้จนสุกงอม จนเปลือกดำหมดละจ้า เกรงว่าจะไม่สวย เลยไม่ถ่ายลงดีกว่าเนอะ แหะๆ
เรามาเริ่มดูที่ส่วนผสมกันเลยค่ะ
ในส่วนแรกจะเป็นในส่วนของไส้ครีมกล้วยค่ะ
1. กล้วยหอม 1 ลูก (ได้แบบดำๆงอมๆเลยจะดีมาก หอมอร่อยสุดๆ)
2. ไข่ไก่ 1 ฟอง
3. น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะ
4. นมสด 150 มิลลิลิตร
5. แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
6. กลิ่นวนิลา 1-2 หยด (ในส่วนนี้ใครชอบก็ใส่ ไม่ชอบก็ไม่ต้องใส่ค่ะ)
ในส่วนที่สองจะเป็นในส่วนของตัวชิฟฟ่อนเค้กค่ะ ขอบอกว่านุ่มมากๆ
1. แป้งเค้ก 80 กรัม
2. ไข่ 3 ฟอง และทำการแยกไข่แดงไข่ขาว ออกจากกัน
3. น้ำตาล 70 กรัม (แยกเป็น 2 ถ้วย ถ้วยละ 35 กรัม)
4. น้ำเปล่า 60 มิลลิลิตร
5. น้ำมันมะกอก 40 มิลลิลิตร
6. ผงฟู ½ ช้อนชา
7. เกลือ 1/8 ช้อนชา
8. สีผสมอาหารสีเหลือง
9. กลิ่นกล้วย
สำหรับในข้อ 8 และ 9 หากใครไม่มีจริงๆก็ไม่ต้องใส่ก็ได้นะคะ เพราะจริงๆเราใช้กล้วยหอมจริงๆก็หอมอยู่แล้วค่ะ ส่วนสีเหลืองถ้าใครอยากให้ได้สีสวยๆแลดูเหมือนกล้วยก็ใส่ค่ะ แต่ จขกท.ไม่มีสีเหลืองค่ะเลยไม่ได้ใส่ เลยแลดูสีธรรมชาติมว๊ากกกกก 5555
เอาล่ะเริ่ม!!!!!!! เราจะเริ่มจากการทำครีมกล้วยกันก่อนเลยค่ะ
1. นำกล้วยหอมที่สุกงอม มาขยี้ โดยใช้ส้อมค่อยๆขูดๆเนื้อออกมา จนหมดลูก แล้วบดๆให้เลอะสุดๆไปเลยค่ะ
2. หลังจากบดกล้วยเสร็จแล้ว ตอกไข่ใส่ไปโลด ตามด้วยแป้งข้าวโพด, นม และน้ำตาล และกลิ่นวนิลา(หากใครต้องการใส่)
3. ตีหรือคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว (ใครอยากจะใส่สีเหลืองลงไปซักนิดให้ดูเป็นครีมสีเหลืองก็ไม่ว่ากันนะคะ)
4. จากนั้นนำส่วนผสมที่ผสมเรียบร้อยแล้ว เข้าไมโครเวฟ 800 วัตต์ นาน 2 นาที หรือดูให้พอเนื้อเป็นครีมๆข้นๆเป็นใช้ได้ หรือถ้าใครไม่มีไมโครเวฟก็นำส่วนผสมใส่หม้อขึ้นตั้งไฟจนกว่าส่วนผสมจะเป็นครีมข้นนั่นล่ะค่ะ หน้าตาก็จะออกมาเป็นแบบนี้ กลิ่นหอมมากกกกก พูดเลย!!!!
5. นำส่วนผสมมาชิมดูนิสสสสสสสเนิง จะรู้ว่ามันอร่อยมว๊ากกกกกก (อันนี้นอกเรื่อง 555)
6. นำส่วนผสมใส่ถุงพลาสติกทนความร้อน เพื่อที่จะใช้บีบลงบนตัวแป้งเค้กได้
7. วางตัวครีมกล้วยไว้รอให้เย็น แล้วค่อยนำไปแช่ไว้ในตู้เย็นค่ะ
ต่อมาเรามาทำตัวชิฟฟ่อนเค้กกันดีกว่าค่ะ
1. นำแป้งเค้ก, ผงฟู และ เกลือ เทรวมกันแล้วร่อนแป้งค่ะ
2. แวบไปอุ่นเตาอบให้ร้อนซักหน่อย
3. แยกไข่แดง และ ไข่ขาวออกจากกันคนละถ้วย
4. จากนั้นนำน้ำตาล (ถ้วย1) มาผสมกับไข่แดงแล้วตีให้เข้ากัน
5. เติมน้ำมันมะกอกลงไปในถ้วยไข่แดง แล้วตีต่อไปให้เข้ากัน
6. จากนั้นนำแป้งที่เราร่อนไว้ ค่อยๆเทผสมทีละน้อยๆ ในถ้วยไข่แดง แล้วค่อยๆตีผสมจนเป็นเนื้อเนียนเข้ากันดี
7. เสร็จจากถ้วยไข่แดงแล้วปล่อยทิ้งไว้ เรามาดูที่ถ้วยไข่ขาวกันบ้างดีกว่าค่ะ นำน้ำตาล(ถ้วย2 )ผสมลงในไข่ขาว แล้วตีไข่ขาวด้วยความเร็วสุดเลยค่ะ หรือใครใช้ตะกร้อมือก็ตีเร็วๆแรงๆค่ะ จนไข่ขาวขึ้นฟูตั้งยอดดังรูปค่ะ เนื้อจะเป็นครีมฟูๆคล้ายๆวืปครีมเลยค่ะ นุ่มๆ น่ากินมว๊ากกกกกก อิอิ
***เทคนิค สำคัญมากกกก*** เนื่องจากในส่วนตีไข่ขาว จขกท.ประสบกับปัญหาตีไข่ไม่ขึ้นฟู ตียังไงก็ไม่ฟูให้ สรุปถามผู้เชี่ยวชาญมาได้ความว่า ในไข่ขาวที่เราตีต้องไม่มีน้ำมัน หรือไข่แดงลงไปปนเลยนะคะ จขกท.ดันขี้เกียจล้างตะกร้อมือที่ตีไข่แดงไปเมื่อตะกี้ เอามาตีเลยตะกร้อจึงมีน้ำมันและไข่แดงติดอยู่ เลยสรุปต้องเททิ้ง ล้างตะกร้อ ทำไม T T
แต่สุดท้ายก็สำเร็จฟูตั้งยอดตามรูปด้านบนนะคะ ฮี่ฮี่
8. ต่อค่ะ ตักฟองไข่ขาวฟูๆเมื่อตะกี้ ซักประมาณ 3 ช้อน ใส่ในแป้งที่ผสมไข่แดง แล้วค่อยๆตะล่อมไข่ขาวและแป้งรวมกัน
ย้ำนะคะ ขอย้ำเลยจริงๆ ว่าค่อยๆทำ ค่อยๆตะล่อมใจเย็นๆ อย่าให้ความฟูของไข่ขาวมันแฟบลง เรายังต้องการความฟูๆของไข่ขาวอยู่ เพื่อที่เวลาอบเสร็จมันจะฟูนุ่มมากๆเลยค่ะ
9. ค่อยๆตักไข่ขาวใส่แล้วตะล่อมไข่ขาวให้เข้ากับแป้งจนหมด เนียนเป็นเนื้อเดียวกัน หน้าตาจะออกมาเป็นแบบนี้ จะเห็นว่าตัวแป้งจะยังมีความฟูๆของไข่ขาวที่เราตีเมื่อกี้อยู่
**** ตะล่อม**** มันแปลว่าอะไรฟร๊ะ หลายคนอ่านละคง งง เหมือน จขกท.ในตอนแรก ถ้าให้อธิบายมันคล้ายๆกับว่าเราค่อยๆเกลี่ยด้วยความเบามือ ไม่ใช่กวนๆๆๆๆ ตีๆๆๆ แรงๆเกินไป ค่อยๆเกลี่ย ค่อยๆตัก ควัก ตวัด ส่วนผสมจากขอบนอกเข้าขอบใน จากขอบในเข้าขอบนอกของจาก เหมือนตอนเราปรุงก๋วยเตี๋ยวกับเครื่องปรุงอ่ะ แต่เราทำด้วยความเบามือ ประมาณนี้ หวังว่าพอจะเข้าใจ หรือจะ งง กว่าเดิมไม่รู้ 55555
10 . นำน้ำมัน หรือเนย ทาพิมพ์ซักนิดเพื่อที่ว่าตัวชิฟฟ่อนเค้กของเราจะได้ไม่ติดพิมพ์ตอนเคาะออก จากนั้นตักแป้งเค้กที่ผสมเรียบร้อยทุกกระบวนแล้ว ลงในพิมพ์ซักครึ่งนึง เพราะเดี๋ยวตัวเค้กมันจะฟูขึ้นอีก
11. อบที่ไฟ บน-ล่าง 10-15 นาที หรือแล้วแต่รุ่นค่ะ ต้องอบไปคอยดูไปนะคะ ของ จขกท.มันใช้เวลาประมาณนี้ค่ะ
12. เมื่ออบเค้กจนสุกแล้ว ก็นำออกมาเคาะใส่จาน แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นสนิทก่อนค่ะ
13. เมื่อตัวแป้งชิฟฟ่อนเค้กเย็นสนิทแล้ว เราก็สไลด์เป็นแผ่นขนาดไม่บาง ไม่หนาจนเกินไปค่ะ
14. ตัดปลายถุงครีมกล้วยที่เราทำไว้ซักนิด แล้วนำมาบีบไปตรงกลางแผ่นชิฟฟ่อนเค้กค่ะ
15. จัดการม้วนเลยค่ะ แล้วนำพลาสติกถนอมอาหารมาห่อไว้ แล้วนำเข้าตู้เย็น
เสร็จแล้วพอแช่ตู้เย็นจนมันเย็นแล้ว เราก็เอาออกมาแกะพลาสติกถนอมอาหารออก แล้วตัดหัวท้ายตัดแต่งให้สวยงาม หรือใครจะไม่ตัดก็ได้นะคะ ก็จะแลดูเป็น Tokyo Banana มากขึ้น พอตัดแล้วแลดูเป็น Roll Cake สุดๆไปเลย แต่ขอบอกว่ารสชาติอร่อยมาก นุ่มสุดๆ ทำให้ลูกหลานทานมีประโยชน์ค่ะ เพราะเราใช้เนื้อกล้วยหอมจริงๆกันเลย วันนี้ก็ขอลากันไปเท่านี้ หวังว่าจะมีประโยชน์กับหลายๆท่านนะคะ