How to รอด จากการหลอกลวง

How to รอด จากการหลอกลวง

     บทนำ (ตรงนี้อ่านข้ามไปก็ได้ครับ ระบายความอัดอั้นตันใจเฉยๆ ไม่มีสาระอะไร)

     ดั่งแผลเป็นรูปสายฟ้า บนหน้าผากของแฮร์รี่ พอตเตอร์ หรือเครื่องหมายกากบาทบนแก้มซ้ายของ ฮิมูระ เคนชิน ที่ไม่ว่าใครเห็น ก็ต้องรู้ได้โดยทันทีว่าคนๆนี้ไม่ใช่คนธรรมดา ตัวผมเองก็เช่นกัน ที่ดูเผินๆก็ไม่มีอะไรแตกต่าง แต่สำหรับกลุ่มบุคคลสายมิจฉาชีพแล้ว ทันทีที่เห็นหน้าผม เขาเหล่านั้นก็รู้ได้ทันทีว่า
ไอ้หมอนี่ “โง่...หลอกง่าย”

     ผมมักจะโดนหลอกโดยคนแปลกหน้ามาตั้งแต่เล็กๆ โดนแล้วก็เชื่อมาตลอด พอมารู้ทีหลังก็เจ็บใจ คราวต่อไปก็โดนอีก ตอนเป็นเด็กเล็กๆ เวลารอแม่ไปธุระ ก็ชอบมีคนมาหลอกเล่นว่า “แม่เขาทิ้งไปแล้ว” แม้ปากจะบอกว่าไม่เชื่อ แต่น้ำตาเริ่มคลอๆ ตั้งแต่นั้นมาพอพลัดหลงกับแม่ ก็กลัวจะโดนทิ้ง พอโตขึ้นหน่อย ก็เจอคนแปลกหน้า เข้ามาหลอกเอาเงินบ้าง หลอกเอาชื่อ ที่อยู่ไปใช้บ้าง ขนาดลงรถเมล์ผิด ไปถามทาง ยังโดนหลอกให้ขึ้นผิดสาย (อันนี้เขาคงไม่ได้ตั้งใจหลอก แต่แค่ไม่อยากบอกว่า ไม่รู้ เลยบอกมั่วๆไป)

     พอโตขึ้นมาเลยเป็นพารานอย กลัวโดนหลอกไปเสียหมด จะให้เงินขอทาน ก็กลัวจะเสียท่าแก๊งขอทาน จะทำบุญทำทาน ก็กลัวเงินจะไปไม่ถึง (ตอนนั้นตัดสินใจทำบุญด้วยการบริจาคเลือดอย่างเดียว แต่ก็ยังอุตส่าห์มีคนบอก เดี๋ยวมันก็เอาเลือดไปขายอีก...เฮ้อ) แต่ไม่ว่าจะหวาดระแวงแค่ไหน ก็ยังโดนอยู่เป็นระยะๆ พอช่วยเตือนความจำว่า “โลกนี้มันช่างเต็มไปด้วยความโหดร้าย”

แต่เปล่าเลย…
     เท่าที่ถามเพื่อนๆดู ไม่เห็นมีใครโดนหลอกบ่อยเหมือนที่เราเจอ แปลว่า ที่โหดร้าย มันไม่ใช่โลกนี้ แต่ความ Unique อะไรบางอย่างในตัวเรา ที่มันดึงดูดคนเหล่านี้เข้ามา เหมือนเหตุการณ์ร้ายๆที่มักจะเกิดกับตัวเอกในการ์ตูน ซึ่งถ้าเราฝ่าฟันผ่านมันไปได้ เราก็จะสามารถยืนผงาดอย่างเท่ห์ๆ เป็นตัวเอก แต่หากก้มหน้ารับชะตากรรม ก็คงเป็นได้แค่ตัวประกอบ ที่กลายเป็นเหยื่อ และหายไปในไม่กี่หน้ากระดาษ

     ครั้งแล้วครั้งเล่า กับความเจ็บช้ำน้ำใจ จึงกลายเป็นบทเรียนที่ท้าทายต่อชะตากรรมว่า ถ้าจะมาหลอกกัน ก็ให้มันเนียนกว่านี้ (แล้วมันก็หลอกเนียนขึ้นจริงๆ แต่ก็ไม่บ่อยเท่าเก่า) เพราะพอนานๆไป เริ่มจับได้ว่า คำหลอกที่เรามักจะหลงเชื่อไม่ว่าครั้งไหนๆ ต่างก็มีลักษณะร่วมกันบางอย่าง ที่พอเข้าใจแล้ว ก็พอจะตั้งการ์ด หลบหลีกได้ผ่านมาได้ แต่เมื่อมาถึงยุคที่รับรู้ข่าวสารได้มากขึ้น ก็พบว่า มีคนมากมายในสังคม ที่ยังตกเป็นเหยื่อต้มตุ๋น จนตัวเปื่อย หน้าซีด ทรัพย์จางอยู่เสมอ

อย่างกระนั้นเลย เรามาเรียนรู้ไปด้วยกันเถอะครับ

     รู้ทันวิชามาร
(ตรงนี้จะเริ่มมีสาระแล้วครับ ใครอ่านข้ามมา ร่อนลงตรงนี้ได้เลยครับ)

     เหล่านี้คือ เคล็ดวิชายอดนิยมของเหล่ามิฉาชีพ ที่มักจะพบเป็นพื้นฐานกลลวง รูปแบบต่างๆ (และฝากบาดแผลไว้ในจิตใจของผม)

     1.เร้าอารมณ์   ข้อนี้เป็นพื้นฐานเลยครับ การจะโดนหลอกได้ อารมณ์ต้องคล้อยตาม การมีอารมณ์ร่วม ทำให้เราละเลยที่จะใช้เหตุผล คนที่โน้มน้าวเก่งๆ สามารถทำให้เราทำตามแม้ว่าเนื้อหามันจะไม่ make sense เลยก็ตาม โดยอารมณ์ในที่นี้ ทั้ง รัก โลภ โกรธ เกลียด จะทำให้เราขาดความไตร่ตรอง กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็เสร็จเขาเสียแล้ว

ตัวอย่างที่เห็นได้ในชีวิตประจำวันเช่น

     -Drama ต่างๆที่สื่อประเคนกันเข้ามา ให้เราเกลียดฝ่ายนั้น ฝ่ายนี้ (อารมณ์โกรธ) ทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักอะไรเขาเลย,
     -โปรโมชั่นพิเศษลดกระหน่ำ ที่จะทำให้เราประหยัดไปมากมาย จนเราอดซื้อไม่ได้ (อารมณ์โลภ) ทั้งๆที่เราจะประหยัดยิ่งกว่า ถ้าไม่ไปซื้อมัน

     ซึ่งถ้าเราหลุดจากอำนาจสะกดของอารมณ์มาได้ แล้วจะพบว่า ข้อความเร้าอารมณ์เหล่านั้น มักแฝงไปด้วยข้อมูลที่คลุมเครือ พอไล่เข้าจริงๆ ก็มักจะอึกอัก (ถ้าเป็นสื่อประเภทสิ่งพิมพ์ ก็มักจะเป็นดอกจันตัวเล็กๆ) โดยส่วนใหญ่ หากเราพยายามทำความเข้าใจข้อมูลเหล่านี้ เราก็จะหลุดจากอำนาจสะกดได้ไม่ยาก (แต่ระหว่างที่พยายามทำความเข้าใจ พวกนั้นก็มักจะเร่งกำลังสะกด จนเราอาจตกอยู่ในอำนาจเหล่านั้นได้อีกครั้ง) และก็ไม่แปลกที่พวกนี้มักตั้งเป้าไปที่เหยื่อที่ไม่ชำนาญการตรวจสอบข้อมูล เช่น คนชรา คนความรู้น้อย อาแปะอาม่าที่ไม่ชำนาญภาษาไทย ไม่รู้ภาษาอังกฤษ

     2. เร่งรัด  สืบเนื่องจากข้อที่แล้ว เนื่องด้วยมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงได้เร็ว (ยิ่งไอ้ที่ไม่สมเหตุสมผล ก็ยิ่งเห็นได้ชัด) พวกนี้จึงมักจะต้องรีบปิดการขายให้เร็วที่สุด เช่น ต้องชำระเงินเดี๋ยวนี้, เซ็นสัญญาเลยสิ, เอาสินค้าไปลองก่อน ไม่ชอบก็คืนได้ (คอยดูตอนคืนสิ...หึหึ)

     3. เป็นความลับ   ด้วยความที่ข้อมูลคลุมเครือในม่านหมอกของอารมณ์ คนที่โดนโน้มน้าวจึงปราศจากข้อกังขา แต่พอนำเนื้อหาไปเล่า ไปปรึกษากับคนอื่นที่ไม่ได้โดนบิ้วท์ ความจริงจะค่อยๆกระจ่าง มิฉาชีพซึ่งรู้จุดอ่อนข้อนี้ดี จึงมักจะปิดทางด้วยการบอกว่า มันเป็น “ความลับ” อย่าเพิ่งไปบอกใคร (บ่อยครั้งที่เป็นการกระทำที่ไม่ตรงไปตรงมา เช่นการอ้างว่าจะวิ่งเต้นให้ได้ประโยชน์อะไรบางอย่าง)

     4. นี่ทางลัด   ด้วยการใช้เคล็ดวิชา ทั้งสามข้อข้างต้นรวมกัน จะเกิดเป็นเคล็ดวิชาข้อนี้ คือ คนเหล่านี้มักจะอ้างว่า สามารถใช้วิธีลัด ใต้โต๊ะ ใต้เตียง หลังบ้าน อะไรว่าไป ซึ่งผิดไปจากวิธีปกติ เพื่อให้เราได้ประโยชน์ (โลภ) มันต้องรีบนะ (เร่งรัด) และอย่าบอกใคร (ลับ) ซึ่งทำให้เหยื่อตาดำๆ (แต่โลภมาก) อย่างเราไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้เลย แม้ความจริงจะเปิดเผยมาภายหลัง ก็ไม่มีหน้าจะไปฟ้องใคร ได้แต่เก็บความระทมนี้ไว้ในใจเพียงผู้เดียว

     5. ทำลายความน่าเชื่อถือของแบบแผน  เพื่อตะล่อมให้เราลงหลุมที่เขาขุดไว้ จึงต้องทำลายความหวังอื่นๆ หรือพูดง่ายๆคือ อย่าไปใช้วิธีตรงไปตรงมา ไม่ work หรอก เช่น

     “ถ้าต่อคิวปกตินะ รอเป็นเดือน”,
     “ทำงานเก็บเงินไป ยังไงก็ไม่รวย (สู้มาลงทุน…)”,
     “คนที่เขาสอบเข้าได้ เขาจ่ายกันทั้งนั้นแหละ แต่เขาไม่บอก”

     6. ไม่เชื่อลองถาม…  นักมายากลบางคน ทำทีเป็นขออาสาสมัครจากผู้ชม แต่คนที่ขึ้นมา ที่จริงแล้วก็หน้ายาวเป็นม้าทั้งนั้น พวกนี้ก็เช่นกัน บ่อยครั้งที่จะสามารถหาคนมาช่วยยืนยันได้ (ซึ่งก็พวกมันนั่นแหละ)  ดังนั้นจำไว้เลยครับว่า ใครที่ไม่ใช่คนของเรา เขาก็ไม่ใช่คนของเรา (อ้าว...งง...คือ...ถ้าคนที่เขาใช้เป็น reference ไม่ใช่คนที่เราไว้ใจ ก็อย่าไปวางใจ)

     7. เลี้ยงความหวัง   หลังจากที่เราตกร่องปล่องชิ้นไปแล้วระยะหนึ่ง จะเกิดสูญญากาศของความเชื่อขึ้น เสียงจากในหัวใจของเราจะเริ่มตั้งคำถาม…  “หรือเราจะโดนหลอก!” คนกลุ่มนี้จะไม่ปล่อยให้เราเดียวดาย แต่จะหล่อเลี้ยงความหวังของเราด้วยเรื่องราวต่างๆ สุดแต่ความสามารถจะประพันธ์ขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็น

         “ใจเย็นๆ สิ้นเดือนนี้ก็ได้เงินแล้ว”
         “ส่งเรื่องเข้าไปแล้ว ท่านกำลังพิจารณาอยู่ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
         “คนก่อนหน้าพี่เขาเพิ่งได้ไป ต่อไปก็ถึงตาพี่แล้ว”

ทั้งหมดทั้งมวล ก็เพื่อถ่วงเวลา...แค่นั้น

     8. จะร้องไห้เป็นเพื่อนกัน   ตั้งแต่ต้น คนพวกนี้มักแสดงออกว่ายืนอยู่ข้างเดียวกับเรา คอยเป็นห่วง เป็นใย ช่วยเหลือเราตลอดมา เมื่อถึงที่สุด ที่ไม่สามารถแต่งเรื่องอะไรมาหล่อเลี้ยงความหวังของเราได้อีก ในวันที่ความหวังของเราสลายเป็นผุยผง คนพวกนี้นี่แหละ ที่จะดูเป็นเดือดเป็นร้อน เสียอกเสียใจ ยิ่งกว่าเราเสียอีก และด้วยความที่เราเป็นคนดี ดั่งนางเอกละคร (ซึ่งบ่อยครั้งมักไม่ค่อยฉลาด) เราจึงพร้อมที่จะให้อภัย ก็เขาพยายามช่วยเราเต็มที่แล้วนี่ ที่ผ่านมาก็ให้มันแล้วๆไปเถอะ...โฮๆๆ คุณพี่ แล้วทั้งสองร้องไห้โผเข้ากอดกัน เรื่องราวจบอย่างมีความสุข ซาบซึ้งใจ (แล้วเราก็ลืมไป ว่าคุณน้องไม่ได้เสียหายอะไรกับพี่เลย)


(โปรดติดตามตอนต่อไป)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่