
หนังเรื่องนี้ของโดลองย้อนกลับมาเกี่ยวข้องกับธีมที่คล้ายกับหนังที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขามากที่สุด I Killed My Mother (2009) หลังจากหันไปทำหนังเกี่ยวกับเพศที่สามมาหลายเรื่อง ว่าด้วยเรื่องความปัญหาความขัดแย้งระหว่างแม่กับลูกในวัยที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน ช่องว่างระหว่างวัย และครอบครัวที่แตกร้าว
เพียงแต่ครั้งนี้โดลองเลือกมุมมองของตนที่มีต่อแม่มากขึ้น แม่ในฐานะเพศหญิงตามประวัติในคริสต์ศาสนา ก็คืออีฟ ผู้ถูกงู (ซานตาน) หลอกล่อให้ไม่เชื่อในพระเจ้า แอบกินแอปเปิลในสวนอีเดน และถูกพระเจ้าสาปแช่ง ให้ตั้งครรภ์และอยู่ภายใต้การปกครองของสามี เพศหญิงในเรื่องนี้จึงถูกถ่ายทอดออกมาให้ตกอยู่เป็นเบื้ยล่างของเพศชายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นไคล่า เพื่อนบ้านของไดแอนที่อาศัยอยู่กับสามีผู้เย็นชา ไม่แยแสต่ออาการป่วยทางจิตของเธอ หรือไดแอน ตัวละครหลักที่ถูกทิ้งให้เผชิญโลกเพียงลำพัง พร้อมๆ กับลูกชายที่ป่วยด้วยอาการสมาธิสั้น พร้อมจะทำร้ายทุบตีเธอได้ทุกเมื่อ

โดลองใช้อัตราส่วนหนังส่วนใหญ่ของเรื่องคือหนึ่งต่อหนึ่ง (แอบให้ความรู้สึกว่ากำลังดูวิดิโอในอินสตาแกรมขนาดยาวๆ) ซึ่งสำหรับคนที่มีอาการกลัวที่คับแคบ คงรู้สึกอึดอัดไม่ใช่น้อย เช่นเดียวกับชีวิตที่ “คับแคบ” ของไดแอน จะมีก็แค่ไคล่าที่เข้ามาช่วยเธอ เพราะมีบางสิ่งบางอย่างที่สัมผัสใจเธอ นั่นคงหนีไม่พ้นเรื่องลูกชายของเธอที่จากไปด้วยเหตุผลบางประการ และเหมือนอัตราส่วนของหนังถูกขยับขยายออกมากขึ้น ก็อาจสื่อไปถึงช่วงเวลาชีวิตของเธอในขณะนั้นกลับมามีความสุขและอบอุ่นใจอีกครั้ง อย่างน้อยก็มีคนที่พร้อมจะช่วยเหลือเธอ หรือแม้แต่สื่อถึงห้วงความคิดที่เธอได้ปล่อยไปตามจิตนาการ และหลุดไปจากโลกของความเป็นจริงเพียงชั่วครู่

Mommy เปิดเรื่องด้วยคำบอกเล่าที่ว่ารัฐบาลออกกฎหมายที่ให้ผู้ปกครองที่ไม่อาจดูแลลุกที่ป่วยทางจิตสามารถส่งลูกของตนให้สถานดูแลโดยไม่ต้องผ่านอำนาจศาล หนังทั้งเรื่องจึงเป็นเหมือนเครื่องพิสูจน์ว่าไดแอนพร้อมจะรักและดูแลลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข ถึงแม้ว่าอาการของสตีฟ ลูกของเธอจะย่ำแย่ขนาดไหนก็ตาม
ตอนท้ายเธอจำเป็นต้องส่งลูกไปบำบัด เพราะกลัวว่าลูกจะทำร้ายตัวเอง ไคล่าก็ต้องย้ายที่อยู่ตามหน้าที่การของสามี นั่นหมายถึงว่า ไดแอนต้องดำรงชีวิตอยู่เพียงลำพัง ไม่มีแม้แต่ลูกที่แม้จะสร้างปัญหา แต่อย่างน้อยที่สุด สตีฟก็เป็นแรงพลักดันชีวิตของเธอ

หนังพูดเรื่องถึงสัมพันธภาพระหว่างแม่-ลูก พร้อมกันๆ ก็เรียกร้องสิทธิสตรี (ชวนให้นึกถึง Jeanne Dielman, 23 quai du Commerce 1080 Bruxelles ของ Chantal Akerman, 1975) ที่แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งจำเจในโลกภาพยนตร์ แต่กลายเป็นว่านี่ถือเป็นการพิสูจน์ฝีไม้ลายมือของโดลองไปในตัว ด้วยงานด้านภาพที่งดงาม ดนตรีประกอบที่ถูกคัดสรรมาอย่างดีเยี่ยม และขาดไม่ได้ก็คือการแสดงที่ตราตรึงใจ นี่ก็เพียงพอแล้วที่บอกว่า โดลอง ไม่ใช่แค่วัยรุ่นเลือดร้อนที่มีกล้องและเงิน แต่เขายังมีจิตวิญญาณความเป็นผู้กำกับอีกด้วย
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ
https://www.facebook.com/survival.king
Tempy Movies Review รีวิวหนัง: Mommy {Xavier Xavier Dolan}, 2014
หนังเรื่องนี้ของโดลองย้อนกลับมาเกี่ยวข้องกับธีมที่คล้ายกับหนังที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขามากที่สุด I Killed My Mother (2009) หลังจากหันไปทำหนังเกี่ยวกับเพศที่สามมาหลายเรื่อง ว่าด้วยเรื่องความปัญหาความขัดแย้งระหว่างแม่กับลูกในวัยที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน ช่องว่างระหว่างวัย และครอบครัวที่แตกร้าว
เพียงแต่ครั้งนี้โดลองเลือกมุมมองของตนที่มีต่อแม่มากขึ้น แม่ในฐานะเพศหญิงตามประวัติในคริสต์ศาสนา ก็คืออีฟ ผู้ถูกงู (ซานตาน) หลอกล่อให้ไม่เชื่อในพระเจ้า แอบกินแอปเปิลในสวนอีเดน และถูกพระเจ้าสาปแช่ง ให้ตั้งครรภ์และอยู่ภายใต้การปกครองของสามี เพศหญิงในเรื่องนี้จึงถูกถ่ายทอดออกมาให้ตกอยู่เป็นเบื้ยล่างของเพศชายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นไคล่า เพื่อนบ้านของไดแอนที่อาศัยอยู่กับสามีผู้เย็นชา ไม่แยแสต่ออาการป่วยทางจิตของเธอ หรือไดแอน ตัวละครหลักที่ถูกทิ้งให้เผชิญโลกเพียงลำพัง พร้อมๆ กับลูกชายที่ป่วยด้วยอาการสมาธิสั้น พร้อมจะทำร้ายทุบตีเธอได้ทุกเมื่อ
โดลองใช้อัตราส่วนหนังส่วนใหญ่ของเรื่องคือหนึ่งต่อหนึ่ง (แอบให้ความรู้สึกว่ากำลังดูวิดิโอในอินสตาแกรมขนาดยาวๆ) ซึ่งสำหรับคนที่มีอาการกลัวที่คับแคบ คงรู้สึกอึดอัดไม่ใช่น้อย เช่นเดียวกับชีวิตที่ “คับแคบ” ของไดแอน จะมีก็แค่ไคล่าที่เข้ามาช่วยเธอ เพราะมีบางสิ่งบางอย่างที่สัมผัสใจเธอ นั่นคงหนีไม่พ้นเรื่องลูกชายของเธอที่จากไปด้วยเหตุผลบางประการ และเหมือนอัตราส่วนของหนังถูกขยับขยายออกมากขึ้น ก็อาจสื่อไปถึงช่วงเวลาชีวิตของเธอในขณะนั้นกลับมามีความสุขและอบอุ่นใจอีกครั้ง อย่างน้อยก็มีคนที่พร้อมจะช่วยเหลือเธอ หรือแม้แต่สื่อถึงห้วงความคิดที่เธอได้ปล่อยไปตามจิตนาการ และหลุดไปจากโลกของความเป็นจริงเพียงชั่วครู่
Mommy เปิดเรื่องด้วยคำบอกเล่าที่ว่ารัฐบาลออกกฎหมายที่ให้ผู้ปกครองที่ไม่อาจดูแลลุกที่ป่วยทางจิตสามารถส่งลูกของตนให้สถานดูแลโดยไม่ต้องผ่านอำนาจศาล หนังทั้งเรื่องจึงเป็นเหมือนเครื่องพิสูจน์ว่าไดแอนพร้อมจะรักและดูแลลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข ถึงแม้ว่าอาการของสตีฟ ลูกของเธอจะย่ำแย่ขนาดไหนก็ตาม
ตอนท้ายเธอจำเป็นต้องส่งลูกไปบำบัด เพราะกลัวว่าลูกจะทำร้ายตัวเอง ไคล่าก็ต้องย้ายที่อยู่ตามหน้าที่การของสามี นั่นหมายถึงว่า ไดแอนต้องดำรงชีวิตอยู่เพียงลำพัง ไม่มีแม้แต่ลูกที่แม้จะสร้างปัญหา แต่อย่างน้อยที่สุด สตีฟก็เป็นแรงพลักดันชีวิตของเธอ
หนังพูดเรื่องถึงสัมพันธภาพระหว่างแม่-ลูก พร้อมกันๆ ก็เรียกร้องสิทธิสตรี (ชวนให้นึกถึง Jeanne Dielman, 23 quai du Commerce 1080 Bruxelles ของ Chantal Akerman, 1975) ที่แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งจำเจในโลกภาพยนตร์ แต่กลายเป็นว่านี่ถือเป็นการพิสูจน์ฝีไม้ลายมือของโดลองไปในตัว ด้วยงานด้านภาพที่งดงาม ดนตรีประกอบที่ถูกคัดสรรมาอย่างดีเยี่ยม และขาดไม่ได้ก็คือการแสดงที่ตราตรึงใจ นี่ก็เพียงพอแล้วที่บอกว่า โดลอง ไม่ใช่แค่วัยรุ่นเลือดร้อนที่มีกล้องและเงิน แต่เขายังมีจิตวิญญาณความเป็นผู้กำกับอีกด้วย
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ https://www.facebook.com/survival.king