สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรก ที่เราเขียนขึ้นมา ด้วยความรู้สึกที่เครียดระดับหนึ่ง
ท้าวความก่อนนะคะ เราเป็นผู้หญิงที่เติบโตมาในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง ห่างจากตัวเมืองประมาณ 60 กิโลเมตร
ตอนนี้เราเรียนจบปริญญาตรีแล้วค่ะ ทำงานและคบหากับผู้ชายคนหนึ่ง ฐานะทางบ้านของเราสองคนไม่ได้รวยค่ะ แต่ก็พอมีพอกินแบบคนบ้านนอกชนบททั่วไป
เรื่องมีอยู่ว่า เราสองคนคบกันมาได้ประมาณปีกว่าค่ะเราทำงานคนละที่แต่พักอาศัยอยู่ด้วยกันในห้องเช่าเล็กๆเงินเดือนก็ไม่ได้เยอะอะไรมากมาย เฉลี่ยแล้วก็ได้คนละประมาณหนึ่งหมื่นบาท เราอยู่ต่างจังหวัดนะคะเงินเดือนประมาณนี้เราพูดได้ว่าอยู่ได้สบายมากค่ะ มีเก็บมีใช้ไม่ค่อยเดือดร้อน (แฟนเราได้เงินเดือนเยอะกว่าเรานะคะนี่เราเอามาเฉลี่ยค่ะ) แฟนเราเป็นคนดีมากค่ะ อายุมากกว่าเราประมาณสามปี ขยัน ตั้งใจทำงาน วันหยุดก็ช่วยเราทำงานบ้าน กวาดบ้านถูบ้าน ซักผ้า เก็บที่นอน คือนางทำหมด และที่สำคัญไม่เจ้าชู้ค่ะ เงินเดือนออกแต่ละเดือนของนาง นางให้เราเก็บไว้หมดค่ะทุกบาททุกสตางค์ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่พ้นสามเดือนแรกที่คบกันนางให้เรามาตลอดจนถึงทุกวันนี้ และรวมถึงเงินที่นางได้จากการซ่อมอะไรเล็กๆน้อยๆ หรือค่าจ้างอื่นๆนอกเหนือจากงาน นางก็เอามาให้เราหมดเลยค่ะ ไม่มีหมกเม็ดไว้แม้แต่บาทเดียว เราอยู่ด้วยกันมาเราช่วยกันเก็บเล็กผสมน้อย เงินเก็บเราไม่ได้มีมาก แต่เราซื้อทองเก็บไว้ ได้รวมๆแล้วก็ประมาณบาทกว่าๆ สำหรับคนมีเงินมีพ่อกับแม่ซัพพอร์ทมันอาจจะเล็กน้อยมากนะคะ แต่สำหรับเราแล้วที่อยากได้อะไรก้ต้องหาเอาเอง เราภูมิใจมากค่ะ ต่อมาแม่เราเค้าอยากให้เราแต่งงานค่ะเนื่องจากเราอยู่หมู่บ้านใกล้กัน เพราะทนคำถามของชาวบ้านไม่ไหว คือที่หมู่บ้านเรามันจะมีคนประเภทที่ชอบนินทาลูกหลานคนอื่นอยู่ ใครอยู่ชนบทจะเข้าใจฟีลนี้เลยค่ะ ประมาณว่าชอบเล่าชอบนินทาว่าลูกบ้านนี้เป็นอย่างนั้น ลูกบ้านนั้นเป็นอย่างโน้น แล้วพ่อกับแม่เราก็มีคนรู้จักเยอะค่ะ ไปที่ไหนใครก็รู้จัก ท่านทั้งสองก็มีหน้ามีตาพอสมควร ด้วยเหตุนี้พ่อกับแม่เราเลยอยากให้เราแต่งงานค่ะ เราก็เลยคิดกับแฟนว่าจะเก็บเงินแต่งงานกันเอง แต่แม่แฟนเค้าก็จะช่วยนะคะ ไม่ใช่ว่าให้เราหากันเองหมด พอเราเอาไปปรึกษาแม่ ท่านบอกว่าจะเก็บเงินตัวเองมาแต่งงานท่านไม่ได้อยากได้ค่ะ ท่านก็ถามเราว่าแล้วแม่แฟนเค้าไม่ช่วยอะไรเลยเหรอ เราก็บอกว่าเค้าช่วยค่ะ พยายามอธิบายให้แม่เข้าใจว่า ทางบ้านแฟนเราก็ไม่ได้รวยนะ แล้วแม่เราเรียกสินสอดหกหลักค่ะ ไหนจะทองหมั้นอีก ซึ่งสำหรับเราแล้วเราก็มองว่ามันเป็นตัวเลขที่เยอะเลยทีเดียว คุยไปคุยมา เหมือนกับท่านไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่กับความคิดที่ว่าเราจะช่วยกันเก็บเงินส่วนหนึ่งเพื่อมาแต่งงานกัน ในความคิดเราถ้าจะแต่งงานจริงๆงานแต่งเราอยากจัดเล็กๆไม่อยากใหญ่โต ถ้าใหญ่โต คือเราต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ บอกตามตรงเลยว่าเราอยากเก็บเงินตรงนี้ไว้ในอนาคตมากกว่าค่ะเรารู้สึกเสียดายเงินส่วนนี้มาก(บางทีเราอาจจะงกไปก็ได้นะคะ) แต่อีกอย่างคือเราก็ไม่อยากให้แม่เสียเงินเสียทองมากถ้าแต่งจริงๆทั้งสองฝ่ายก็ต้องช่วยกันแหละค่ะ แต่ทางครอบครัวเราไม่ยอม จะจัดเล็กท่านก็ไม่ยอมค่ะ ซึ่งบางทีเราก็รู้สึกน้อยใจนะคะ คือท่านมีความคิดเห็นไม่ตรงกับเราเลย พูดๆกันถึงแขกที่จะเชิญมางานก็แขกพ่อกับแม่ทั้งนั้นค่ะ ซึ่งบางคนเราก็ไม่ได้รู้จักเล้ยยยยย บางทีเราก็แอบคิดขำๆนะคะว่าตกลงที่คุยกันเรื่องงานแต่งเนี่ยมันงานแต่งใคร ? คิดหนักมากค่ะ ตอนนี้ก็ตกลงกันว่าจะหมั้นกันไว้ก่อนค่ะ เพราะเราสองคนไม่พร้อมกันจริงๆ เงินแม่แฟนเค้าก็บอกว่าพร้อมแล้วนะคะค่าสินสอด แต่เรากลัวว่าทั้งสองฝ่ายจะเข้าใจไม่ตรงกัน เพราะแม่เราเรียกเงินหมั้นกับเงินแต่งไม่เท่ากันค่ะ คือถ้าจะแต่งจริงๆสินสอดก็ต้องแพงกว่านั้น (ฟังๆแล้วเหมือนตัวเองกำลังถูกตีราคาอยู่ซึ่งเราไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลยค่ะ) แล้วมันต้องมีค่าใช้จ่ายอื่นๆตามมาอีกแน่ๆระหว่างที่แม่เรากับแม่แฟนตกลงกันอยู่ เราเลยลากแฟนเราไปคุยกันสองคนเลยค่ะ ว่าตกลงจะหมั้นกันก่อน อีกปีสองปีค่อยว่าเรื่องแต่งค่ะ
และเรายังยืนยันคำเดิมนะคะ ว่าเราจะช่วยกันเก็บเงินแต่งงาน ถ้าเป็นไปได้เราจะช่วยกันเก็บเงินจัดงานด้วยเลย เพื่อที่จะได้ไม่รบกวนเงินของพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายอีกค่ะ ถึงแม่เราจะไม่เห็นด้วย แต่เราคงจะไม่บอกให้แม่เรารู้แล้วล่ะค่ะ ว่าเราจะช่วยกัน
เพื่อนๆใครมีประสบการณ์แบบนี้ หรือเก็บเงินแต่งงานกันเองมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ
ปล1.แม่ไม่เข้าใจเลยต้องการกำลังใจหนักมาก ^_^
ปล2.แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับครอบครัวเราได้นะ แต่ห้ามด่าแม่เรา เรารัก เราเทิดทูน เราถือค่ะ
และสุดท้ายและท้ายสุด ถ้ามีใครตอบกระทู้นี้หรือได้อ่านเราขอขอบคุณทุกท่านมากนะคะที่สละเวลามาอ่านมาตอบความอัดอั้นตันใจของเรา ขอบคุณจากใจค่ะ
เล่าสู่กันฟังใครเก็บเงินแต่งงานกันเองบ้างคะ? แล้วพ่อกับแม่ฝ่ายหญิงเค้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไรกันบ้าง?
ท้าวความก่อนนะคะ เราเป็นผู้หญิงที่เติบโตมาในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง ห่างจากตัวเมืองประมาณ 60 กิโลเมตร
ตอนนี้เราเรียนจบปริญญาตรีแล้วค่ะ ทำงานและคบหากับผู้ชายคนหนึ่ง ฐานะทางบ้านของเราสองคนไม่ได้รวยค่ะ แต่ก็พอมีพอกินแบบคนบ้านนอกชนบททั่วไป
เรื่องมีอยู่ว่า เราสองคนคบกันมาได้ประมาณปีกว่าค่ะเราทำงานคนละที่แต่พักอาศัยอยู่ด้วยกันในห้องเช่าเล็กๆเงินเดือนก็ไม่ได้เยอะอะไรมากมาย เฉลี่ยแล้วก็ได้คนละประมาณหนึ่งหมื่นบาท เราอยู่ต่างจังหวัดนะคะเงินเดือนประมาณนี้เราพูดได้ว่าอยู่ได้สบายมากค่ะ มีเก็บมีใช้ไม่ค่อยเดือดร้อน (แฟนเราได้เงินเดือนเยอะกว่าเรานะคะนี่เราเอามาเฉลี่ยค่ะ) แฟนเราเป็นคนดีมากค่ะ อายุมากกว่าเราประมาณสามปี ขยัน ตั้งใจทำงาน วันหยุดก็ช่วยเราทำงานบ้าน กวาดบ้านถูบ้าน ซักผ้า เก็บที่นอน คือนางทำหมด และที่สำคัญไม่เจ้าชู้ค่ะ เงินเดือนออกแต่ละเดือนของนาง นางให้เราเก็บไว้หมดค่ะทุกบาททุกสตางค์ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่พ้นสามเดือนแรกที่คบกันนางให้เรามาตลอดจนถึงทุกวันนี้ และรวมถึงเงินที่นางได้จากการซ่อมอะไรเล็กๆน้อยๆ หรือค่าจ้างอื่นๆนอกเหนือจากงาน นางก็เอามาให้เราหมดเลยค่ะ ไม่มีหมกเม็ดไว้แม้แต่บาทเดียว เราอยู่ด้วยกันมาเราช่วยกันเก็บเล็กผสมน้อย เงินเก็บเราไม่ได้มีมาก แต่เราซื้อทองเก็บไว้ ได้รวมๆแล้วก็ประมาณบาทกว่าๆ สำหรับคนมีเงินมีพ่อกับแม่ซัพพอร์ทมันอาจจะเล็กน้อยมากนะคะ แต่สำหรับเราแล้วที่อยากได้อะไรก้ต้องหาเอาเอง เราภูมิใจมากค่ะ ต่อมาแม่เราเค้าอยากให้เราแต่งงานค่ะเนื่องจากเราอยู่หมู่บ้านใกล้กัน เพราะทนคำถามของชาวบ้านไม่ไหว คือที่หมู่บ้านเรามันจะมีคนประเภทที่ชอบนินทาลูกหลานคนอื่นอยู่ ใครอยู่ชนบทจะเข้าใจฟีลนี้เลยค่ะ ประมาณว่าชอบเล่าชอบนินทาว่าลูกบ้านนี้เป็นอย่างนั้น ลูกบ้านนั้นเป็นอย่างโน้น แล้วพ่อกับแม่เราก็มีคนรู้จักเยอะค่ะ ไปที่ไหนใครก็รู้จัก ท่านทั้งสองก็มีหน้ามีตาพอสมควร ด้วยเหตุนี้พ่อกับแม่เราเลยอยากให้เราแต่งงานค่ะ เราก็เลยคิดกับแฟนว่าจะเก็บเงินแต่งงานกันเอง แต่แม่แฟนเค้าก็จะช่วยนะคะ ไม่ใช่ว่าให้เราหากันเองหมด พอเราเอาไปปรึกษาแม่ ท่านบอกว่าจะเก็บเงินตัวเองมาแต่งงานท่านไม่ได้อยากได้ค่ะ ท่านก็ถามเราว่าแล้วแม่แฟนเค้าไม่ช่วยอะไรเลยเหรอ เราก็บอกว่าเค้าช่วยค่ะ พยายามอธิบายให้แม่เข้าใจว่า ทางบ้านแฟนเราก็ไม่ได้รวยนะ แล้วแม่เราเรียกสินสอดหกหลักค่ะ ไหนจะทองหมั้นอีก ซึ่งสำหรับเราแล้วเราก็มองว่ามันเป็นตัวเลขที่เยอะเลยทีเดียว คุยไปคุยมา เหมือนกับท่านไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่กับความคิดที่ว่าเราจะช่วยกันเก็บเงินส่วนหนึ่งเพื่อมาแต่งงานกัน ในความคิดเราถ้าจะแต่งงานจริงๆงานแต่งเราอยากจัดเล็กๆไม่อยากใหญ่โต ถ้าใหญ่โต คือเราต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ บอกตามตรงเลยว่าเราอยากเก็บเงินตรงนี้ไว้ในอนาคตมากกว่าค่ะเรารู้สึกเสียดายเงินส่วนนี้มาก(บางทีเราอาจจะงกไปก็ได้นะคะ) แต่อีกอย่างคือเราก็ไม่อยากให้แม่เสียเงินเสียทองมากถ้าแต่งจริงๆทั้งสองฝ่ายก็ต้องช่วยกันแหละค่ะ แต่ทางครอบครัวเราไม่ยอม จะจัดเล็กท่านก็ไม่ยอมค่ะ ซึ่งบางทีเราก็รู้สึกน้อยใจนะคะ คือท่านมีความคิดเห็นไม่ตรงกับเราเลย พูดๆกันถึงแขกที่จะเชิญมางานก็แขกพ่อกับแม่ทั้งนั้นค่ะ ซึ่งบางคนเราก็ไม่ได้รู้จักเล้ยยยยย บางทีเราก็แอบคิดขำๆนะคะว่าตกลงที่คุยกันเรื่องงานแต่งเนี่ยมันงานแต่งใคร ? คิดหนักมากค่ะ ตอนนี้ก็ตกลงกันว่าจะหมั้นกันไว้ก่อนค่ะ เพราะเราสองคนไม่พร้อมกันจริงๆ เงินแม่แฟนเค้าก็บอกว่าพร้อมแล้วนะคะค่าสินสอด แต่เรากลัวว่าทั้งสองฝ่ายจะเข้าใจไม่ตรงกัน เพราะแม่เราเรียกเงินหมั้นกับเงินแต่งไม่เท่ากันค่ะ คือถ้าจะแต่งจริงๆสินสอดก็ต้องแพงกว่านั้น (ฟังๆแล้วเหมือนตัวเองกำลังถูกตีราคาอยู่ซึ่งเราไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลยค่ะ) แล้วมันต้องมีค่าใช้จ่ายอื่นๆตามมาอีกแน่ๆระหว่างที่แม่เรากับแม่แฟนตกลงกันอยู่ เราเลยลากแฟนเราไปคุยกันสองคนเลยค่ะ ว่าตกลงจะหมั้นกันก่อน อีกปีสองปีค่อยว่าเรื่องแต่งค่ะ
และเรายังยืนยันคำเดิมนะคะ ว่าเราจะช่วยกันเก็บเงินแต่งงาน ถ้าเป็นไปได้เราจะช่วยกันเก็บเงินจัดงานด้วยเลย เพื่อที่จะได้ไม่รบกวนเงินของพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายอีกค่ะ ถึงแม่เราจะไม่เห็นด้วย แต่เราคงจะไม่บอกให้แม่เรารู้แล้วล่ะค่ะ ว่าเราจะช่วยกัน
เพื่อนๆใครมีประสบการณ์แบบนี้ หรือเก็บเงินแต่งงานกันเองมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ
ปล1.แม่ไม่เข้าใจเลยต้องการกำลังใจหนักมาก ^_^
ปล2.แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับครอบครัวเราได้นะ แต่ห้ามด่าแม่เรา เรารัก เราเทิดทูน เราถือค่ะ
และสุดท้ายและท้ายสุด ถ้ามีใครตอบกระทู้นี้หรือได้อ่านเราขอขอบคุณทุกท่านมากนะคะที่สละเวลามาอ่านมาตอบความอัดอั้นตันใจของเรา ขอบคุณจากใจค่ะ