ที่มา:
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1429861922
updated: 24 เม.ย 2558 เวลา 14:51:19 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ตลท.ชี้ แม้เศรษฐกิจไทยไม่เติบโต แต่ผลประกอบการ บจ.ไทยยังแข็งแกร่ง รายได้กว่า 45% มาจากต่างประเทศ เผยปี"57 กำไรสุทธิ บจ.ไทยโต 5% สูงกว่าจีดีพี กางโรดแมปปีนี้ซุ่มแผนดึงธุรกิจเพื่อนบ้านเข้ามาจดทะเบียนตลาดหุ้นไทย เพิ่มทางเลือกนักลงทุน ประกาศขึ้นทศวรรษที่ 5 ชูเป้าหมายที่หนึ่งในอาเซียน พร้อมเร่งพัฒนาตลาดทุนไทยเป็นกลไกดูแล "สังคมสูงวัย"
บจ.ไทยโกยรายได้จาก ตปท. 45%
นาง เกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทยจะยังไม่สดใส แต่ตลาดหุ้นไทยยังมีจุดเด่นในเรื่องบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีความสามารถสร้างรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยพบว่า บจ.ไทยมีรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 45% ในปี 2556 สูงกว่าเมื่อเทียบกับปี 2549 ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 38% ทั้งนี้จาก บจ. 596 บริษัท มีจำนวน 109 บริษัทที่มีรายได้จากต่างประเทศ ซึ่งเป็นรายได้ทั้งจากผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก และการขยายการลงทุนของธุรกิจไทยในต่างประเทศ
"ดังนั้นแม้ว่าภาวะ เศรษฐกิจไทยจะไม่ฮึกเหิม แต่จะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยยังฮึกเหิมมากกว่า เพราะ บจ.ไทยไม่ได้ทำธุรกิจในประเทศไทย แต่ผู้ประกอบการทำธุรกิจข้ามชาติ ลงทุนขยายกิจการในประเทศที่มีผลต่อรายได้ของบริษัท แต่ส่วนนี้ไม่ได้มีผลต่อจีดีพีของประเทศ ถ้าไม่ได้นำเงินเข้ามา" นางเกศรากล่าว
บจ.ไทยมีจุดเด่นด้านผลประกอบการ ทั้งนี้แม้ว่าปี 2557 บริษัทจดทะเบียนไทยจะมีกำไรสุทธิรวมติดลบ 11% แต่หากไม่รวมกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับตัวลดลงกว่า 50% กำไรสุทธิของ บจ.ไทยจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5% ซึ่งสูงกว่าจีดีพีของประเทศที่เติบโตเพียง 0.7% ทั้งนี้ถือว่าผลตอบแทนเหนือกว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน เช่น เกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่อัตราการเติบโตของกำไรต่ำกว่าจีดีพีของแต่ละประเทศ
นาง เกศรากล่าวว่า ความต้องการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีอยู่มาก และตลาดหุ้นไทยก็มีสินค้าใหม่ ๆ ให้เลือกลงทุนอย่างต่อเนื่อง อย่างที่มีหุ้นไอพีโอกลุ่มใหม่ ๆ เข้ามาจดทะเบียน เช่น กลุ่มเอนเนอยี่ดริ้งก์
หรือบิวตี้ที่แม้ว่าขนาดบริษัทยังไม่ใหญ่ แต่ก็เป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโต
"การ ที่ตลาดหุ้นไทยมีบริษัทจดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนว่าเรามีจำนวนสินค้าที่มากเพียงพอ และพร้อมจะรองรับความต้องการของนักลงทุน นอกจากนี้ราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ที่อยู่ในระดับสูงกว่า 10-20 เท่า ก็ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการที่เข้ามาระดมทุน ก็ทำให้มีบริษัทสนใจเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นมากขึ้นโดยเฉพาะบริษัทขนาดกลาง และเล็ก หรือธุรกิจครอบครัวที่ต้องการยกระดับเป็นมืออาชีพ"
ดึงธุรกิจต่างชาติจดทะเบียน
นาง เกศราเปิดเผยว่า กลยุทธ์การพัฒนาตลาดหุ้นไทยในปีนี้คือการหาสินค้าใหม่ หนึ่งในนั้นก็คือการเชิญชวบบริษัทต่างชาติเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯจะไปพูดคุยและให้ข้อมูลกับวาณิชธนกิจ (IB) ในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ เพื่อชักชวนให้นำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์การรับบริษัทต่างประเทศเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาด หุ้นไทย (Primary Listing) แล้ว ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปีนี้ ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯจึงต้องเดินเกมรุกด้วยการออกไปหาสินค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ตลท.จะพัฒนาตลาดการซื้อขายสินค้าการลงทุนให้มีความหลากหลายนอกเหนือจากหุ้น ได้แก่ ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าประเทศไทย (AFET) ที่คาดว่าจะควบรวมกับตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เสร็จ และพร้อมเปิดให้ซื้อขายได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ การเปิดตลาดค้าทองคำ ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือกับผู้ค้าทองคำ และหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่น่าสนใจ นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯยังมีแผนที่จะพัฒนาตลาดตราสารหนี้ (BEX) ให้มีศักยภาพยิ่งขึ้น
ยันหุ้นไทยไม่ได้แพงอย่างที่คิด
นาง เกศรากล่าวว่า สำหรับประเด็นที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันมีราคาค่อน ข้างแพงนั้น ส่วนตัวมีความเห็นว่าไม่เป็นความจริงนัก โดยแม้ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยจะมี P/E ประมาณ 16-18 เท่า แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นระดับสูงสุดในตลาดหุ้นอาเซียน เพียงแต่ยอมรับว่า P/E ได้ปรับตัวขึ้นสูงจริงหากเทียบกับช่วงหลายปีก่อน ซึ่งถือเป็นภาวะปกติ ที่เมื่อนักลงทุนให้ความสนใจลงทุนในตลาดหุ้นเป็นจำนวนมาก ก็ย่อมส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นตามกลไกตลาด จึงเป็นหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ฯในการที่จะต้องเร่งหาสินค้าเพิ่มขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการลงทุน
กรณีสัดส่วนของนักลงทุนต่าง ชาติที่ลดลงนั้น นางเกศรากล่าวว่า สำหรับปีนี้ก็ถือว่าไม่ได้มีการขายออกมา โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึง 20 เมษายน นักลงทุนต่างชาติก็ขายสุทธิประมาณ 1.8 พันล้านบาท แต่จากที่นักลงทุนต่างประเทศหายไปในช่วง 2-3 ปีที่แล้ว จะกลับมาหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับผลประกอบการของ บจ. นอกจากนี้ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย แต่ดูเหมือนว่าขณะนี้มีตลาดอื่นที่มีความน่าสนใจมากกว่าอาเซียน ซึ่งก็คือตลาดญี่ปุ่น และสหรัฐ ที่มีโอกาสการลงทุนที่ดีที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ หรือยุโรป ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีในการเลือกซื้อของถูก ทำให้ความสนใจของตลาดในอาเซียนโดยรวมลดลง
อย่างไรก็ตามในส่วนของนัก ลงทุนที่ถือหุ้นระยะยาวแบบ Strategic Holding ก็ยังคงไม่ได้ถอนการลงทุนออก จึงถือว่าประเด็นนี้ไม่ได้สะท้อนว่าตลาดหุ้นไทยไม่น่าสนใจ
"จุดดึง ดูดสำคัญนักลงทุนทั่วโลกก็คือผลประกอบการของ บจ. ซึ่งเชื่อว่าถ้าผลประกอบการดีขึ้น ต่างชาติก็จะเข้ามาเองนอกจากนี้ ตลท.ต้องหาสินค้าและบริการซึ่งเป็นที่ถูกอกถูกใจมากขึ้น"
นอกจากนี้ เป้าหมายหนึ่งของ ตลท.ก็คือการเพิ่มสัดส่วนของนักลงทุนสถาบันในประเทศมากขึ้น โดยปัจจุบันกลุ่มนักลงทุนรายย่อยมีสัดส่วน 60% และกลุ่มนักลงทุนสถาบัน 40% ซึ่ง ตลท.วางเป้าหมาย
ว่า ภายใน 5 ปีจะปรับสัดส่วนการลงทุนของกลุ่มนักลงทุนสถาบันให้มาอยู่ที่ระดับ 50% ส่วนหนึ่งก็คือการส่งเสริมในเรื่องกองทุนรวม กองทุนการออมต่าง ๆ
อันดับ 1 อาเซียน
นาง เกศรากล่าวว่า วันที่ 30 เม.ย.นี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯจะครบรอบปีที่ 40 แล้ว และกำลังจะก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 5 ใน 2 มิติ มิติแรก คือ ยุคที่ประเทศกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ถือเป็นวิกฤตของประเทศ เพราะโอกาสสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจจะยากขึ้นแต่ ตลท.ก็มองเป็นโอกาสที่จะส่งเสริมให้คนไทยมีความรู้ด้านการบริหารจัดการทาง การเงินรองรับในอนาคต รวมทั้งการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเข้ามาใช้ตลาดหุ้นเป็นเครื่องมือระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
"สิ่งที่จะดำเนินการทั้งหมดนี้จะต้องสร้างการรับรู้ต่อประชาชนให้ได้ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นส่วนที่มีความสำคัญในการพัฒนาประเทศ"
สำหรับ มิติที่ 2 คือ การสร้างการยอมรับในระดับประเทศ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯจะพยายามสร้างความโดดเด่นในหลาย ๆ ด้านเช่น การสร้างสภาพคล่องการซื้อขายที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับตลาดเพื่อนบ้าน มูลค่าตามราคาตลาดที่ใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเป็นตลาดหุ้นอันดับ 1 ของอาเซียน ภายในปี 2563
บจ.ไทยโตสวนศก.โกยรายได้ตปท. ดัน"ตลาดหุ้น"ขึ้นแท่นเบอร์1อาเซียน
updated: 24 เม.ย 2558 เวลา 14:51:19 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ตลท.ชี้ แม้เศรษฐกิจไทยไม่เติบโต แต่ผลประกอบการ บจ.ไทยยังแข็งแกร่ง รายได้กว่า 45% มาจากต่างประเทศ เผยปี"57 กำไรสุทธิ บจ.ไทยโต 5% สูงกว่าจีดีพี กางโรดแมปปีนี้ซุ่มแผนดึงธุรกิจเพื่อนบ้านเข้ามาจดทะเบียนตลาดหุ้นไทย เพิ่มทางเลือกนักลงทุน ประกาศขึ้นทศวรรษที่ 5 ชูเป้าหมายที่หนึ่งในอาเซียน พร้อมเร่งพัฒนาตลาดทุนไทยเป็นกลไกดูแล "สังคมสูงวัย"
บจ.ไทยโกยรายได้จาก ตปท. 45%
นาง เกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทยจะยังไม่สดใส แต่ตลาดหุ้นไทยยังมีจุดเด่นในเรื่องบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีความสามารถสร้างรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยพบว่า บจ.ไทยมีรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 45% ในปี 2556 สูงกว่าเมื่อเทียบกับปี 2549 ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 38% ทั้งนี้จาก บจ. 596 บริษัท มีจำนวน 109 บริษัทที่มีรายได้จากต่างประเทศ ซึ่งเป็นรายได้ทั้งจากผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก และการขยายการลงทุนของธุรกิจไทยในต่างประเทศ
"ดังนั้นแม้ว่าภาวะ เศรษฐกิจไทยจะไม่ฮึกเหิม แต่จะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยยังฮึกเหิมมากกว่า เพราะ บจ.ไทยไม่ได้ทำธุรกิจในประเทศไทย แต่ผู้ประกอบการทำธุรกิจข้ามชาติ ลงทุนขยายกิจการในประเทศที่มีผลต่อรายได้ของบริษัท แต่ส่วนนี้ไม่ได้มีผลต่อจีดีพีของประเทศ ถ้าไม่ได้นำเงินเข้ามา" นางเกศรากล่าว
บจ.ไทยมีจุดเด่นด้านผลประกอบการ ทั้งนี้แม้ว่าปี 2557 บริษัทจดทะเบียนไทยจะมีกำไรสุทธิรวมติดลบ 11% แต่หากไม่รวมกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับตัวลดลงกว่า 50% กำไรสุทธิของ บจ.ไทยจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5% ซึ่งสูงกว่าจีดีพีของประเทศที่เติบโตเพียง 0.7% ทั้งนี้ถือว่าผลตอบแทนเหนือกว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน เช่น เกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่อัตราการเติบโตของกำไรต่ำกว่าจีดีพีของแต่ละประเทศ
นาง เกศรากล่าวว่า ความต้องการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีอยู่มาก และตลาดหุ้นไทยก็มีสินค้าใหม่ ๆ ให้เลือกลงทุนอย่างต่อเนื่อง อย่างที่มีหุ้นไอพีโอกลุ่มใหม่ ๆ เข้ามาจดทะเบียน เช่น กลุ่มเอนเนอยี่ดริ้งก์
หรือบิวตี้ที่แม้ว่าขนาดบริษัทยังไม่ใหญ่ แต่ก็เป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโต
"การ ที่ตลาดหุ้นไทยมีบริษัทจดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนว่าเรามีจำนวนสินค้าที่มากเพียงพอ และพร้อมจะรองรับความต้องการของนักลงทุน นอกจากนี้ราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ที่อยู่ในระดับสูงกว่า 10-20 เท่า ก็ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการที่เข้ามาระดมทุน ก็ทำให้มีบริษัทสนใจเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นมากขึ้นโดยเฉพาะบริษัทขนาดกลาง และเล็ก หรือธุรกิจครอบครัวที่ต้องการยกระดับเป็นมืออาชีพ"
ดึงธุรกิจต่างชาติจดทะเบียน
นาง เกศราเปิดเผยว่า กลยุทธ์การพัฒนาตลาดหุ้นไทยในปีนี้คือการหาสินค้าใหม่ หนึ่งในนั้นก็คือการเชิญชวบบริษัทต่างชาติเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯจะไปพูดคุยและให้ข้อมูลกับวาณิชธนกิจ (IB) ในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ เพื่อชักชวนให้นำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์การรับบริษัทต่างประเทศเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาด หุ้นไทย (Primary Listing) แล้ว ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปีนี้ ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯจึงต้องเดินเกมรุกด้วยการออกไปหาสินค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ตลท.จะพัฒนาตลาดการซื้อขายสินค้าการลงทุนให้มีความหลากหลายนอกเหนือจากหุ้น ได้แก่ ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าประเทศไทย (AFET) ที่คาดว่าจะควบรวมกับตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เสร็จ และพร้อมเปิดให้ซื้อขายได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ การเปิดตลาดค้าทองคำ ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือกับผู้ค้าทองคำ และหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่น่าสนใจ นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯยังมีแผนที่จะพัฒนาตลาดตราสารหนี้ (BEX) ให้มีศักยภาพยิ่งขึ้น
ยันหุ้นไทยไม่ได้แพงอย่างที่คิด
นาง เกศรากล่าวว่า สำหรับประเด็นที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันมีราคาค่อน ข้างแพงนั้น ส่วนตัวมีความเห็นว่าไม่เป็นความจริงนัก โดยแม้ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยจะมี P/E ประมาณ 16-18 เท่า แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นระดับสูงสุดในตลาดหุ้นอาเซียน เพียงแต่ยอมรับว่า P/E ได้ปรับตัวขึ้นสูงจริงหากเทียบกับช่วงหลายปีก่อน ซึ่งถือเป็นภาวะปกติ ที่เมื่อนักลงทุนให้ความสนใจลงทุนในตลาดหุ้นเป็นจำนวนมาก ก็ย่อมส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นตามกลไกตลาด จึงเป็นหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ฯในการที่จะต้องเร่งหาสินค้าเพิ่มขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการลงทุน
กรณีสัดส่วนของนักลงทุนต่าง ชาติที่ลดลงนั้น นางเกศรากล่าวว่า สำหรับปีนี้ก็ถือว่าไม่ได้มีการขายออกมา โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึง 20 เมษายน นักลงทุนต่างชาติก็ขายสุทธิประมาณ 1.8 พันล้านบาท แต่จากที่นักลงทุนต่างประเทศหายไปในช่วง 2-3 ปีที่แล้ว จะกลับมาหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับผลประกอบการของ บจ. นอกจากนี้ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย แต่ดูเหมือนว่าขณะนี้มีตลาดอื่นที่มีความน่าสนใจมากกว่าอาเซียน ซึ่งก็คือตลาดญี่ปุ่น และสหรัฐ ที่มีโอกาสการลงทุนที่ดีที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ หรือยุโรป ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีในการเลือกซื้อของถูก ทำให้ความสนใจของตลาดในอาเซียนโดยรวมลดลง
อย่างไรก็ตามในส่วนของนัก ลงทุนที่ถือหุ้นระยะยาวแบบ Strategic Holding ก็ยังคงไม่ได้ถอนการลงทุนออก จึงถือว่าประเด็นนี้ไม่ได้สะท้อนว่าตลาดหุ้นไทยไม่น่าสนใจ
"จุดดึง ดูดสำคัญนักลงทุนทั่วโลกก็คือผลประกอบการของ บจ. ซึ่งเชื่อว่าถ้าผลประกอบการดีขึ้น ต่างชาติก็จะเข้ามาเองนอกจากนี้ ตลท.ต้องหาสินค้าและบริการซึ่งเป็นที่ถูกอกถูกใจมากขึ้น"
นอกจากนี้ เป้าหมายหนึ่งของ ตลท.ก็คือการเพิ่มสัดส่วนของนักลงทุนสถาบันในประเทศมากขึ้น โดยปัจจุบันกลุ่มนักลงทุนรายย่อยมีสัดส่วน 60% และกลุ่มนักลงทุนสถาบัน 40% ซึ่ง ตลท.วางเป้าหมาย
ว่า ภายใน 5 ปีจะปรับสัดส่วนการลงทุนของกลุ่มนักลงทุนสถาบันให้มาอยู่ที่ระดับ 50% ส่วนหนึ่งก็คือการส่งเสริมในเรื่องกองทุนรวม กองทุนการออมต่าง ๆ
อันดับ 1 อาเซียน
นาง เกศรากล่าวว่า วันที่ 30 เม.ย.นี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯจะครบรอบปีที่ 40 แล้ว และกำลังจะก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 5 ใน 2 มิติ มิติแรก คือ ยุคที่ประเทศกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ถือเป็นวิกฤตของประเทศ เพราะโอกาสสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจจะยากขึ้นแต่ ตลท.ก็มองเป็นโอกาสที่จะส่งเสริมให้คนไทยมีความรู้ด้านการบริหารจัดการทาง การเงินรองรับในอนาคต รวมทั้งการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเข้ามาใช้ตลาดหุ้นเป็นเครื่องมือระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
"สิ่งที่จะดำเนินการทั้งหมดนี้จะต้องสร้างการรับรู้ต่อประชาชนให้ได้ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นส่วนที่มีความสำคัญในการพัฒนาประเทศ"
สำหรับ มิติที่ 2 คือ การสร้างการยอมรับในระดับประเทศ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯจะพยายามสร้างความโดดเด่นในหลาย ๆ ด้านเช่น การสร้างสภาพคล่องการซื้อขายที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับตลาดเพื่อนบ้าน มูลค่าตามราคาตลาดที่ใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเป็นตลาดหุ้นอันดับ 1 ของอาเซียน ภายในปี 2563