ตลท. ดัน Jump+ ยกระดับ บจ.ไทย ดึง IPO-ธุรกิจใหม่ สร้างเสน่ห์ตลาดทุน

KEY POINTS
ตลท. เร่งดำเนินโครงการ Jump+ เพื่อยกระดับคุณภาพและศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนไทยให้เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุน

ผลักดันการระดมทุน (IPO) ของบริษัทขนาดกลางและเล็ก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจใหม่ (New Economy) และสตาร์ทอัพ เพื่อสร้างการเติบโตใหม่ให้ตลาดทุน

ร่วมมือกับ BOI และ ก.ล.ต. เพื่อปรับปรุงกฎเกณฑ์และดึงดูดบริษัทต่างชาติในกลุ่ม New S-Curve ให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ใน 4 เดือนข้างหน้า สิ่งที่จะเร่งทำให้กับตลาดทุนไทย คือ จะการเดินหน้ายกระดับคุณภาพบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ผ่านโครงการ Jump+ ซึ่งปัจจุบันมีบจ. ที่เข้าร่วมโครงการแล้วประมาณ 61 บริษัท

ทั้งนี้ คาดว่าหลังจากนี้น่าจะมีบริษัทจดทะเบียนไทยเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าปลายปี 2568 นี้ หรือในไตรมาส 1/2569 ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสามารถเปิดเผยถึงแผนของบริษัทที่เข้ามาร่วมโครงการดังกล่าวจะมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง

รวมถึงการเดินสายให้ข้อมูลกับนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการสร้างความสนใจของนักลงทุน และตลาดทุนไทยได้มากขึ้น พร้อมกันนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังเดินหน้าผลักดันการระดมทุนของบริษัทขนาดกลางและเล็ก โดยเฉพาะสตาร์ทอัพ (Startup), SME หรือธุรกิจใหม่ (New Economy) มากขึ้นด้วย

มองว่าธุรกิจใหม่ จะเข้ามาช่วงสร้างการเติบโตใหม่ (New Growth) ให้กับตลาดทุนไทย และมีช่วยช่วยขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคตได้ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้นให้กับนักลงทุน ซึ่งเป็นความตั้งใจของตลาดหลักทรัพย์ฯ 

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO กล่าวว่า ตลาดทุนไทยเองก็จะเร่งผลักดัน Thai Individual Saving Account (TISA) คาดจะเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นหลังมีรัฐบาลใหม่เข้ามา เพื่อมุ่งตอบโจทย์การลงทุนระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการออมเพื่อเกษียณอายุ SSF, การออมเพื่อการลงทุนโดยเฉพาะในด้าน ESG ตลอดจนการลงทุนส่วนบุคคล และการออมสำหรับเยาวชน

โดยคาดว่าจะมีการนำเสนอต่อกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาได้เร็วๆ นี้ หลังจากที่ได้มีการยื่นหนังสือเพื่อขอเข้าหารือไปแล้ว ทั้งนี้ หากได้ข้อสรุปในเดือนธันวาคมนี้ ก็อาจเห็นสิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือมาตรการลดหย่อนภาษีจากการลงทุนผ่าน TISA ได้ทันปีนี้ แต่หากไม่ทันจะเป็นปี 2569 แทน  
   

ส่วนเรื่องของการ IPO บริษัทใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับตลาดทุนไทยนั้น ที่ผ่านมาทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการเจรจากับทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ไปพอสมควรแล้ว เพื่อชักชวนให้บริษัทต่างชาติที่เป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ที่มีความสนใจเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย

ซึ่งหากว่าปลดล็อคกฎเกณฑ์ของทางสำนักงาน ก.ล.ต. และบีโอไอ ได้เร็ว มีธุรกิจใหม่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ราว 1 - 2 บริษัท เชื่อว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดความน่าสนใจของนักลงทุนไทยและต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทย และผลักดดันเป้าหมายดัชนี และปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

จากการพูดคุยกับทาง BOI ในชวงที่ผ่านมาก็พบว่า อันที่จริงแล้วบริษัทต่างชาติจากหลายประเทศมีความสนใจเข้ามาลงทุนยังประเทศไทย ทั้งการขยายทั้งในแง่ของซัพพลายเชน (Supply Chain) รวมถึงมีเป้าหมายเข้ามาระดมทุนยังตลาดทุนไทย ที่ผ่านมาก็มีทั้งญี่ปุ่น ไต้หวัน และจีน ที่ให้ความสนใจ จากนี้เราอาจต้องเร่งปรับเกณฑ์ต่างๆ ให้เร็ว ต้องมีความรัดกุมและต้องทันต่อเหตุการณ์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็เป็นความตั้งใจของตลาดทุนไทยมาโดยตลอด

เมื่อถามว่าในระยะเวลา 4 เดือนก่อนที่จะมีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ จากนี้จะเร่งผลักดันให้โครงการใดเกิดขึ้นได้บ้าง ดร.กอบศักดิ์ ให้คำตอบว่า เนื่องจากระยะเวลา 4 เดือน ที่ไม่ได้นานมากมัก แต่หากปลดล็อคบางอย่างได้ ก็จะเปลี่ยนแปลงระยะยาวให้กับเราได้

โดยหนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจ คือ การ IPO ของ New Growth โดยขณะนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI มีบริษัทจำนวนมากทั่วโลก ที่อยากจะมาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็น Sector New S-Curve

ทั้งนี้ หากดูบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ที่เป็น SET100 ส่วนมากจะเป็นธุรกิจเดิมที่อยู่มานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มปิโตรเคมี หรือธนาคาร แต่หาที่เป็น New Sector ไม่ได้ ทำให้มองว่าหากสามารถร่วมมือกับทาง BOI และสามารถปรับกระบวนการของการ IPO ได้ คาดว่าในระยะยาวเราจะมีบริษัทที่ตอบโจทย์นักลงทุนมากขึ้น

โดยเฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยี ซึ่งที่ผ่านมาเห็นว่าทางตลาดหลักทรัพย์ ก็ได้มีการเจรจากับ BOI หลายครั้งแล้ว คงเหลือในเรื่องของการปรับกฎเกณฑ์ทั้งทาง ก.ล.ต. และ BOI ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเห็นได้ภายใน 4 เดือนนี้เช่นกัน


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่