วันนี้เอาบทสัมภาษณ์ของ ฌอห์ณ ในรายการ turning point จุดเปลี่ยนมาใหัทุกคนได้อ่านกัน อาจจะยาวมากแต่ถ้าอ่านจบคุณจะได้รับรู้ความคิดและมุมมองดีๆในการใช้ชีวิตจากผู้ชายขาวดำคนนี้ เป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่เราอยากแบ่งปัน
ปล.ได้ขออนุญาตและต้องขอบคุณคุณสมาชิกหมายเลข 1980302 จากบ้านคู่sanest family @pantipด้วยนะคะที่เป็นคนถอดบทสัมภาษณ์และลงมือพิมพ์ยาวมากและนานมากมาให้เราได้อ่านกัน
รายการ Turning Point จุดเปลี่ยน : ฌอห์ณ จินดาโชติ
วันที่ 14 กรกฏาคม 2557 ช่อง ไทยรัฐ TVHD
ถ้าเกิดจะพูดถึงวันรุ่นไทยหลายๆ คนก็จะดูถูก แล้วก็มองว่าวัยรุ่นไทยไม่ค่อยจะทำอะไรจริงจัง
ซักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะทำไปตามกระแสนิยม เค้าว่าฮิตอะไรก็ตามไปด้วย บางครั้งกแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย
แต่วันนี้ แขกรับเชิญของเรา เป็นอะไรที่แตกต่างจากวัยรุ่นทั่วๆ ไป คือเค้ามีความคิดเป็นของตัวเอง
รวมถึงได้ทำในสิ่งที่เค้าเชื่อว่า อันนี้แหล่ะมันเป็นทางที่เค้าเลือกแล้ว เป็นทางที่ถูกแล้วก็ทำอย่างเต็มที่
ส่วนหนึ่งผิดว่าน่าจะได้จากการเลี้ยงดูจากครอบครัวที่ดีด้วย วันนี้เราจะมาพูดคุยกับ ณอห์ณ จินดาโชติ
พิธีกร : สวัสดีครับ
ฌอห์ณ : สวัสดีครับ
------------------------------------------------
พิธีกร : ช่วงนี้ทำอะไรอยู่บ้างครับ update ให้เราฟังหน่อย
ฌอห์ณ : ช่วงนี้แบ่งเป็น 2 part ถ้า part งานข้างนอกก็จะเป็นคอลัมนิตส์ช่วยงานกับ a day
ละก็ทำหนังสือกับ a book ครับ เป็นเรื่องของมุมมองการใช้ชีวิตที่ผมไปเจอมาจากการเดินทาง
เอามาเรียบเรียงแล้วก็เล่าใหม่ ผ่านมุมมองที่เราเห็น
------------------------------------------------
พิธีกร : แล้วงานในวงการบันเทิงหล่ะ
ฌอห์ณ : งานในวงการบันเทิงก็มีนอกจากถ่ายละคร ช่วงนี้ก็ถ่ายละครเป็นหลักครับ
มีหลายๆ เรื่องปนไป ละก็จะมีมารับผลิตรายการนะครับ เป็นรายการเชิงสารคดี ก็มาคุม
มาเป็นโปรดิวเซอร์เองละ
------------------------------------------------
พิธีกร : คือพี่เห็นฌอห์ณกับบทบาทพิธีกรซะเยอะก่อนหน้านี้ แล้วทำไมตอนหลังมามันหายไปเลยอ่ะ
ฌอห์ณ : ถ้าพูดตามความจริงก็คือผมถึงจุดค่อนข้างจะอิ่มตัวกับการทำงานเป็นพิธีกรแล้วครับ
เหมือนเรารู้สึกว่า เวลาเราเรียนรู้ เรากินข้าวอะไรอย่างหนึ่งเนี๊ยะ มันจะมีกับข้าวที่เราชอบ
กับ กับข้าวที่เรากินได้ และกับข้าวที่เรารู้ละประมาณหนึ่ง ว่ารสชาติความเผ็ดประมาณเนี๊ยะ
เรารับได้แค่ไหน แล้วเราอาจจะไม่ได้กินมันบ่อย งานพิธีกรก็อาจเป็น part ในส่วนท้าย
ก็คือ อาจเป็นอาหารที่ผมชิมบ้าง แต่คงไม่ได้เป็นมื้อหลักหรือ main course ที่ผมจะทำอยู่บ่อยๆ ครั้ง
ด้วยความซื่อสัตย์ก็เลยเดินไปบอกนายเค้าว่า เราอยากรับเงินของเค้าด้วยความตั้งใจในสิ่งที่เราชอบ
ไม่อยากรับเงินเพียงเพราะว่า กินเพื่ออยู่ อยู่เพื่อกินไปวันๆ มันไม่เป็นผลดีต่อเค้า และไม่เป็นผลดีต่อเรา
------------------------------------------------
พิธีกร : ส่วนใหญ่แล้วเวลาฌอห์ณมีปัญหาหรือว่าต้องตัดสินใจอะไร ตัวช่วยคนแรกจะเป็นใคร
ฌอห์ณ : น่าจะเป็นคุณแม่ครับ
------------------------------------------------
พิธีกร : คุณแม่เลี้ยงมายังไง สนิทกันขนาดไหน ลองเล่าเราฟังหน่อย
ฌอห์ณ : ถ้าถามว่าคุณแม่เลี้ยงมายังไง คุณแม่จะเป็นคนที่เลี้ยงค่อนข้างจะเป็น...ด้วยคุณแม่ผมเนี๊ยะ
เป็นทุกอย่างของบ้าน เป็นหัวหน้าครอบครัว ทฤษฏีของแกก็คือจับเด็กโยนสระ
------------------------------------------------
พิธีกร : คำที่หลายๆ คนเรียกคน คือ เลี้ยงแบบฝรั่ง
ฌอห์ณ : ใช่
------------------------------------------------
พิธีกร : หรือว่าเพราะเราโตมาจากอเมริกาด้วยรึเปล่า
ฌอห์ณ : อาจจะส่วนหนึ่ง เพราะว่าเราไปอยู่ที่นู้นเนี๊ยะ เราต้องช่วยเหลือตัวเองมากกว่าอยู่ที่นี่
เปรียบเสมือนเป็นชาวต่างด้าวที่อยู่ที่นี่ ฉะนั้น โอกาสทางสังคมมันยาก คำว่าต่อสู้มันต้องมีมากกว่าคนอื่น
------------------------------------------------
พิธีกร : เดี๋ยวเพื่อไม่ให้คุณผู้ชมสับสน ฌอห์ณช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยว่าไปอยู่อเมริกาในช่วงชีวิตไหน
ยังไงบ้าง แล้วก็มาอยู่เมืองไทยยังไง
ฌอห์ณ : คือผมเกิดที่อเมริกา ตอนนั้นมีคุณพลอยด้วย คุณพลอย จินดาโชติ แล้วก็มีคุณแม่แล้วก็มีผมครับ
พอไปเกิดที่นู้นเนี๊ยะ อยู่ได้ประมาณ 7-8 ขวบ คุณพ่อกลับมา ก็เลยย้ายกลับมาด้วย แต่คุณแม่รู้สึกว่า
อยู่เมืองไทย วิธีการสอนหรืออะไรอย่างงี๊ มันจะได้ไม่เต็มที่ตามความต้องการของแก ก็เลยมีโปรเจคนึง
เกิดขึ้นมา ตอนอายุประมาณ 11-12 เค้าเรียกโปรเจค 30,000
------------------------------------------------
พิธีกร : 30,000 ยังไงครับ
ฌอห์ณ : คือก็งงใช่มั๊ยครับ
------------------------------------------------
พิธีกร : 30,000 บาท รึเปล่า
ฌอห์ณ : ฮะ 30,000 บาท โปรเจค 30,000 บาท ก็คือ แกเดินมาที่ห้องนอนผมละก็บอกว่า
เนี๊ยะ ปิดเทอมเนี๊ยะ เวลาเด็กปิดเทอมก็จะประมาณ 3 เดือน แกจะให้เงิน 30,000 บาท
ตอนนั้นผมก็ตกใจว่า เฮ้ย ทำไมอยู่ดีๆ คือเราได้เงินฟรี แต่เค้าบอกว่า นี่คือเงินที่จะใช้ชีวิต 3 เดือน
แต่ไม่ได้อยู่ที่นี่นะ ไปอยู่ที่อเมริกา ผมก็ตกใจดิ่ว่า เฮ้ย ไปเที่ยวเหรอ อะไรอย่างเงี๊ยะ
ในหัวนี่คิดแล้ว มีดิสนีย์แลนด์ เค้าบอก ป่าว ไปทำงาน
------------------------------------------------
พิธีกร : แล้วไปอยู่กับใคร
ฌอห์ณ : อยู่คนเดียวครับ
------------------------------------------------
พิธีกร : ฮึย จริงเหรอ
ฌอห์ณ : ใช่ครับ
------------------------------------------------
พิธีกร : แล้วคุณไม่ได้มีญาติที่คอย support เปิดร้านอาหารอยู่ที่นั้น
ฌอห์ณ : มีครับ แต่อยู่คนละรัฐ แต่แกไม่ให้ผมไปอยู่รัฐที่มีญาติอยู่ เพราะถ้าผมมีญาติอยู่ ก็เท่ากับผม
จะไม่ได้เต็มที่กับมัน
------------------------------------------------
พิธีกร : ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นอะไรครับ
ฌอห์ณ : ไม่เกิน ป.6 อ่ะครับ
------------------------------------------------
พิธีกร : แล้วเป็นยังไง ไปอยู่ที่นู้น
ฌอห์ณ : โอ้โห้ หนักมากครับพี่
------------------------------------------------
พิธีกร : ไปทำอะไรบ้างอ่ะ
ฌอห์ณ : พี่ต้องถามว่างานอะไรบ้างที่ผมไม่ได้ทำ ผมทำทุกอย่างเลย แบบว่า เป็นพนักงานห้องน้ำ
ขัดส้วม เปลี่ยนกระดาษทิชชู่ เป็นเด็กคอยเช็ดซิงค์อะไรอย่างเงี๊ยะครับ แล้วก็เป็นเด็กเวรยาม
เช็คความสะอาด เป็นเด็กอยู่ร้าน Box Buster กรอเทป เป็นเด็กส่งโค้กขวดแก้ว เป็นเด็กตกกุ้ง
อยู่ร้าน bubble gum เป็นเด็กเสริฟ เป็นเด็กใส่ชุดมาสคอตตามสวนสนุก
------------------------------------------------
พิธีกร : เหมือนว่าทำทุกอย่างที่สามารถใช้แรงงานได้
ฌอห์ณ : ใช่ แรงงานเด็กได้ ที่ไม่ผิดกฎหมาย ที่เราไปสามารถทำได้โดยอยู่ใน Age ของเค้าครับ ทำมาหมด
ก็เลย วันนึงทำงานถึง 3 part ก็คือ ช่วงแบ่งเวลาเป็นกะ กะเช้า กะเที่ยง แล้วก็ กะเย็นกะค่ำ
------------------------------------------------
พิธีกร : แล้วผลเป็นยังไงครับ หลังจาก 3 เดือนผ่านไป
ฌอห์ณ : ผมได้เงินเยอะมากพี่ เพราะว่า ผมเชื่อว่าเด็กทุกคนไปเมืองนอกเนี๊ยะ อยากไปอเมริกา
อยากไป toysrus (ร้านของเล่นดังในอเมริกา Toys "R" Us) อยากไปซื้อทุกอย่างที่มันเป็นของเจ๋งๆ
แต่พอเราไปที่นู้นอ่ะ เราต้องเก็บตังค์ เราไม่มีเวลาที่จะไปดิสนีย์แลนด์กะเค้าเลย เพราะเรารู้สึกว่า
เรามาเพื่อทำงาน จากเงิน 30,000 บาทอ่ะ ผมกลับไป ผมมากกว่า 200,000 นับได้ (ทำหน้าภูมิใจฝุดๆ 555)
แต่ว่า พี่สาวผมก็โทรมา บอก ขอบคุณมาก ที่ทำในสิ่งที่ลูกผู้ชายที่ดี ที่ควรทำ ผมก็รู้สึกว่า
เนี๊ยะ ผมไม่ต้องการอะไรแล้ว ผมต้องการแค่นี้
------------------------------------------------
พิธีกร : คือนอกจากเงินที่ได้มาผมว่าการที่ทำมากขนาดนี้ มันน่าจะได้อย่างอื่น
ฌอห์ณ : ผมว่า มุมมองครับ Vision คือเราต้องยอมรับว่า ระบบบ้านเมืองเรา เราจะไม่ค่อย ให้ความสนใจ
กับเด็กที่ทำงาน part time ที่เรียนไป ทำไป ทุกคนก็จะมองว่า เด็กคนนี้น่าจะไม่พอเพียง
น่าจะไม่พอกับการศึกษาของเค้า แต่จริงๆ ไม่เลย ฝรั่งเค้ามองว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่ทุกคนควรจะทำ
คือ คุณอย่ารอเงินพ่อแม่ เราไม่รู้ว่าพ่อแม่เราจะหยุดส่งเมื่อไหร่ เด็กอายุ 15 เนี๊ยะ เค้าเลิกรับเงินพ่อแม่ละ
แต่บ้านเราเนี๊ยะ ยังรับจนถึงทุกวันนี้ คุณทำงานจบปริญญาตรี ทำงานออฟฟิต ก็ยังรับเงินอยู่
พ่อแม่ดาวน์รถให้อีกด้วยซ้ำ แต่ฝรั่งเนี๊ยะไม่ได้เลย เรารู้สึกว่า เราได้คำว่า survivor มา yourself มา
คือเราต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ให้อยู่รอดให้ได้ แม่เนี๊ยะไม่รับโทรศัพท์ผมเลย โทรไปปุ๊บตัดสาย
โทรปุ๊บตัดสาย
------------------------------------------------
พิธีกร : โห้ แมนมาก เท่ห์มากนะแม่
ฌอห์ณ : คือแกบอกว่า โทรมาคือต้อง มีปัญหา อย่างเกิดอุบัติเหตุ ตกเครื่องบิน หรืออะไรที่แบบจำเป็นจริงๆ
ต้องโทรมา ถ้าเป็นเรื่องสารทุกข์สุขดิบ เค้าก็จะไม่คุย ผมก็เลยรู้สึกว่า ผมได้ความต่างตรงนี้มานะ
ความรู้สึกที่แบบ ไม่เกี่ยงเงินน้อยอ่ะ แล้วก็รู้สึกว่า อะไรที่แฮปปี้ก็ตั้งใจทำจนถึงที่สุด
------------------------------------------------
พิธีกร : แล้วกับพี่สาวละครับ เห็นว่าเมื่อกี๊เกริ่นๆ พูดถึงพี่พลอย สนิทกันมั๊ย
ฌอห์ณ : คือ เราห่างกันเยอะพี่ท็อป 6 ปี ละยิ่งต่างเพศด้วย ไม่เคยทันกันซักที ผมประถม เค้าพึ่งจบมัธยม
เค้าเข้ามหาลัย ผมพึ่งเข้ามัธยม อะไรอย่างเนี๊ยะครับ เพราะฉะนั้นมันจะไม่เคยทันกัน
เพราะฉะนั้น Relationship ของเราจะเป็นลักษณะ คุยกันเมื่อมีปัญหา เราจะไม่ค่อยรู้ว่า ความสัมพันธ์เรา
ขนาดไหน แต่ใน memory ของผมเนี๊ยะ ผมจะจำเค้าได้ว่า แต่เล็กจนโตตั้งแต่อยู่เมืองนอกเนี๊ยะ
เค้าเป็นเหมือนแม่คนที่สอง คือแม่บอกว่า ตอนนั้นแม่เป็นสาวบริกร ต้องไปเสริฟของตามโรงแรม
เพราะฉะนั้น กะเวลา มันค่อนข้างจะแน่น แต่คุณพลอยเค้าจะเชิงปั่นจักรยานมา เอานมป้อนเรา
เอาอาหารเวฟ พักเที่ยงกลับไปเรียน แล้วบ่ายสามก็มารับผม พาไปสวนสาธารณะอะไรอย่างเนี๊ยะ
เราก็จะคุ้นว่าว่า ผู้หญิงคนนี้ดูแลเราทั้งชีวิตเลยนะ แต่เราก็ไม่กล้าพูดอะไรกับเค้ามาก
------------------------------------------------
" ฌอห์ณ จินดาโชติ " กับบทสัมภาษณ์จากรายการ"turning point จุดเปลี่ยน"มารู้จักอีกมุมมองที่น่าประทับใจของผู้ชายคนนี้
ปล.ได้ขออนุญาตและต้องขอบคุณคุณสมาชิกหมายเลข 1980302 จากบ้านคู่sanest family @pantipด้วยนะคะที่เป็นคนถอดบทสัมภาษณ์และลงมือพิมพ์ยาวมากและนานมากมาให้เราได้อ่านกัน
รายการ Turning Point จุดเปลี่ยน : ฌอห์ณ จินดาโชติ
วันที่ 14 กรกฏาคม 2557 ช่อง ไทยรัฐ TVHD
ถ้าเกิดจะพูดถึงวันรุ่นไทยหลายๆ คนก็จะดูถูก แล้วก็มองว่าวัยรุ่นไทยไม่ค่อยจะทำอะไรจริงจัง
ซักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะทำไปตามกระแสนิยม เค้าว่าฮิตอะไรก็ตามไปด้วย บางครั้งกแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย
แต่วันนี้ แขกรับเชิญของเรา เป็นอะไรที่แตกต่างจากวัยรุ่นทั่วๆ ไป คือเค้ามีความคิดเป็นของตัวเอง
รวมถึงได้ทำในสิ่งที่เค้าเชื่อว่า อันนี้แหล่ะมันเป็นทางที่เค้าเลือกแล้ว เป็นทางที่ถูกแล้วก็ทำอย่างเต็มที่
ส่วนหนึ่งผิดว่าน่าจะได้จากการเลี้ยงดูจากครอบครัวที่ดีด้วย วันนี้เราจะมาพูดคุยกับ ณอห์ณ จินดาโชติ
พิธีกร : สวัสดีครับ
ฌอห์ณ : สวัสดีครับ
------------------------------------------------
พิธีกร : ช่วงนี้ทำอะไรอยู่บ้างครับ update ให้เราฟังหน่อย
ฌอห์ณ : ช่วงนี้แบ่งเป็น 2 part ถ้า part งานข้างนอกก็จะเป็นคอลัมนิตส์ช่วยงานกับ a day
ละก็ทำหนังสือกับ a book ครับ เป็นเรื่องของมุมมองการใช้ชีวิตที่ผมไปเจอมาจากการเดินทาง
เอามาเรียบเรียงแล้วก็เล่าใหม่ ผ่านมุมมองที่เราเห็น
------------------------------------------------
พิธีกร : แล้วงานในวงการบันเทิงหล่ะ
ฌอห์ณ : งานในวงการบันเทิงก็มีนอกจากถ่ายละคร ช่วงนี้ก็ถ่ายละครเป็นหลักครับ
มีหลายๆ เรื่องปนไป ละก็จะมีมารับผลิตรายการนะครับ เป็นรายการเชิงสารคดี ก็มาคุม
มาเป็นโปรดิวเซอร์เองละ
------------------------------------------------
พิธีกร : คือพี่เห็นฌอห์ณกับบทบาทพิธีกรซะเยอะก่อนหน้านี้ แล้วทำไมตอนหลังมามันหายไปเลยอ่ะ
ฌอห์ณ : ถ้าพูดตามความจริงก็คือผมถึงจุดค่อนข้างจะอิ่มตัวกับการทำงานเป็นพิธีกรแล้วครับ
เหมือนเรารู้สึกว่า เวลาเราเรียนรู้ เรากินข้าวอะไรอย่างหนึ่งเนี๊ยะ มันจะมีกับข้าวที่เราชอบ
กับ กับข้าวที่เรากินได้ และกับข้าวที่เรารู้ละประมาณหนึ่ง ว่ารสชาติความเผ็ดประมาณเนี๊ยะ
เรารับได้แค่ไหน แล้วเราอาจจะไม่ได้กินมันบ่อย งานพิธีกรก็อาจเป็น part ในส่วนท้าย
ก็คือ อาจเป็นอาหารที่ผมชิมบ้าง แต่คงไม่ได้เป็นมื้อหลักหรือ main course ที่ผมจะทำอยู่บ่อยๆ ครั้ง
ด้วยความซื่อสัตย์ก็เลยเดินไปบอกนายเค้าว่า เราอยากรับเงินของเค้าด้วยความตั้งใจในสิ่งที่เราชอบ
ไม่อยากรับเงินเพียงเพราะว่า กินเพื่ออยู่ อยู่เพื่อกินไปวันๆ มันไม่เป็นผลดีต่อเค้า และไม่เป็นผลดีต่อเรา
------------------------------------------------
พิธีกร : ส่วนใหญ่แล้วเวลาฌอห์ณมีปัญหาหรือว่าต้องตัดสินใจอะไร ตัวช่วยคนแรกจะเป็นใคร
ฌอห์ณ : น่าจะเป็นคุณแม่ครับ
------------------------------------------------
พิธีกร : คุณแม่เลี้ยงมายังไง สนิทกันขนาดไหน ลองเล่าเราฟังหน่อย
ฌอห์ณ : ถ้าถามว่าคุณแม่เลี้ยงมายังไง คุณแม่จะเป็นคนที่เลี้ยงค่อนข้างจะเป็น...ด้วยคุณแม่ผมเนี๊ยะ
เป็นทุกอย่างของบ้าน เป็นหัวหน้าครอบครัว ทฤษฏีของแกก็คือจับเด็กโยนสระ
------------------------------------------------
พิธีกร : คำที่หลายๆ คนเรียกคน คือ เลี้ยงแบบฝรั่ง
ฌอห์ณ : ใช่
------------------------------------------------
พิธีกร : หรือว่าเพราะเราโตมาจากอเมริกาด้วยรึเปล่า
ฌอห์ณ : อาจจะส่วนหนึ่ง เพราะว่าเราไปอยู่ที่นู้นเนี๊ยะ เราต้องช่วยเหลือตัวเองมากกว่าอยู่ที่นี่
เปรียบเสมือนเป็นชาวต่างด้าวที่อยู่ที่นี่ ฉะนั้น โอกาสทางสังคมมันยาก คำว่าต่อสู้มันต้องมีมากกว่าคนอื่น
------------------------------------------------
พิธีกร : เดี๋ยวเพื่อไม่ให้คุณผู้ชมสับสน ฌอห์ณช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยว่าไปอยู่อเมริกาในช่วงชีวิตไหน
ยังไงบ้าง แล้วก็มาอยู่เมืองไทยยังไง
ฌอห์ณ : คือผมเกิดที่อเมริกา ตอนนั้นมีคุณพลอยด้วย คุณพลอย จินดาโชติ แล้วก็มีคุณแม่แล้วก็มีผมครับ
พอไปเกิดที่นู้นเนี๊ยะ อยู่ได้ประมาณ 7-8 ขวบ คุณพ่อกลับมา ก็เลยย้ายกลับมาด้วย แต่คุณแม่รู้สึกว่า
อยู่เมืองไทย วิธีการสอนหรืออะไรอย่างงี๊ มันจะได้ไม่เต็มที่ตามความต้องการของแก ก็เลยมีโปรเจคนึง
เกิดขึ้นมา ตอนอายุประมาณ 11-12 เค้าเรียกโปรเจค 30,000
------------------------------------------------
พิธีกร : 30,000 ยังไงครับ
ฌอห์ณ : คือก็งงใช่มั๊ยครับ
------------------------------------------------
พิธีกร : 30,000 บาท รึเปล่า
ฌอห์ณ : ฮะ 30,000 บาท โปรเจค 30,000 บาท ก็คือ แกเดินมาที่ห้องนอนผมละก็บอกว่า
เนี๊ยะ ปิดเทอมเนี๊ยะ เวลาเด็กปิดเทอมก็จะประมาณ 3 เดือน แกจะให้เงิน 30,000 บาท
ตอนนั้นผมก็ตกใจว่า เฮ้ย ทำไมอยู่ดีๆ คือเราได้เงินฟรี แต่เค้าบอกว่า นี่คือเงินที่จะใช้ชีวิต 3 เดือน
แต่ไม่ได้อยู่ที่นี่นะ ไปอยู่ที่อเมริกา ผมก็ตกใจดิ่ว่า เฮ้ย ไปเที่ยวเหรอ อะไรอย่างเงี๊ยะ
ในหัวนี่คิดแล้ว มีดิสนีย์แลนด์ เค้าบอก ป่าว ไปทำงาน
------------------------------------------------
พิธีกร : แล้วไปอยู่กับใคร
ฌอห์ณ : อยู่คนเดียวครับ
------------------------------------------------
พิธีกร : ฮึย จริงเหรอ
ฌอห์ณ : ใช่ครับ
------------------------------------------------
พิธีกร : แล้วคุณไม่ได้มีญาติที่คอย support เปิดร้านอาหารอยู่ที่นั้น
ฌอห์ณ : มีครับ แต่อยู่คนละรัฐ แต่แกไม่ให้ผมไปอยู่รัฐที่มีญาติอยู่ เพราะถ้าผมมีญาติอยู่ ก็เท่ากับผม
จะไม่ได้เต็มที่กับมัน
------------------------------------------------
พิธีกร : ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นอะไรครับ
ฌอห์ณ : ไม่เกิน ป.6 อ่ะครับ
------------------------------------------------
พิธีกร : แล้วเป็นยังไง ไปอยู่ที่นู้น
ฌอห์ณ : โอ้โห้ หนักมากครับพี่
------------------------------------------------
พิธีกร : ไปทำอะไรบ้างอ่ะ
ฌอห์ณ : พี่ต้องถามว่างานอะไรบ้างที่ผมไม่ได้ทำ ผมทำทุกอย่างเลย แบบว่า เป็นพนักงานห้องน้ำ
ขัดส้วม เปลี่ยนกระดาษทิชชู่ เป็นเด็กคอยเช็ดซิงค์อะไรอย่างเงี๊ยะครับ แล้วก็เป็นเด็กเวรยาม
เช็คความสะอาด เป็นเด็กอยู่ร้าน Box Buster กรอเทป เป็นเด็กส่งโค้กขวดแก้ว เป็นเด็กตกกุ้ง
อยู่ร้าน bubble gum เป็นเด็กเสริฟ เป็นเด็กใส่ชุดมาสคอตตามสวนสนุก
------------------------------------------------
พิธีกร : เหมือนว่าทำทุกอย่างที่สามารถใช้แรงงานได้
ฌอห์ณ : ใช่ แรงงานเด็กได้ ที่ไม่ผิดกฎหมาย ที่เราไปสามารถทำได้โดยอยู่ใน Age ของเค้าครับ ทำมาหมด
ก็เลย วันนึงทำงานถึง 3 part ก็คือ ช่วงแบ่งเวลาเป็นกะ กะเช้า กะเที่ยง แล้วก็ กะเย็นกะค่ำ
------------------------------------------------
พิธีกร : แล้วผลเป็นยังไงครับ หลังจาก 3 เดือนผ่านไป
ฌอห์ณ : ผมได้เงินเยอะมากพี่ เพราะว่า ผมเชื่อว่าเด็กทุกคนไปเมืองนอกเนี๊ยะ อยากไปอเมริกา
อยากไป toysrus (ร้านของเล่นดังในอเมริกา Toys "R" Us) อยากไปซื้อทุกอย่างที่มันเป็นของเจ๋งๆ
แต่พอเราไปที่นู้นอ่ะ เราต้องเก็บตังค์ เราไม่มีเวลาที่จะไปดิสนีย์แลนด์กะเค้าเลย เพราะเรารู้สึกว่า
เรามาเพื่อทำงาน จากเงิน 30,000 บาทอ่ะ ผมกลับไป ผมมากกว่า 200,000 นับได้ (ทำหน้าภูมิใจฝุดๆ 555)
แต่ว่า พี่สาวผมก็โทรมา บอก ขอบคุณมาก ที่ทำในสิ่งที่ลูกผู้ชายที่ดี ที่ควรทำ ผมก็รู้สึกว่า
เนี๊ยะ ผมไม่ต้องการอะไรแล้ว ผมต้องการแค่นี้
------------------------------------------------
พิธีกร : คือนอกจากเงินที่ได้มาผมว่าการที่ทำมากขนาดนี้ มันน่าจะได้อย่างอื่น
ฌอห์ณ : ผมว่า มุมมองครับ Vision คือเราต้องยอมรับว่า ระบบบ้านเมืองเรา เราจะไม่ค่อย ให้ความสนใจ
กับเด็กที่ทำงาน part time ที่เรียนไป ทำไป ทุกคนก็จะมองว่า เด็กคนนี้น่าจะไม่พอเพียง
น่าจะไม่พอกับการศึกษาของเค้า แต่จริงๆ ไม่เลย ฝรั่งเค้ามองว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่ทุกคนควรจะทำ
คือ คุณอย่ารอเงินพ่อแม่ เราไม่รู้ว่าพ่อแม่เราจะหยุดส่งเมื่อไหร่ เด็กอายุ 15 เนี๊ยะ เค้าเลิกรับเงินพ่อแม่ละ
แต่บ้านเราเนี๊ยะ ยังรับจนถึงทุกวันนี้ คุณทำงานจบปริญญาตรี ทำงานออฟฟิต ก็ยังรับเงินอยู่
พ่อแม่ดาวน์รถให้อีกด้วยซ้ำ แต่ฝรั่งเนี๊ยะไม่ได้เลย เรารู้สึกว่า เราได้คำว่า survivor มา yourself มา
คือเราต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ให้อยู่รอดให้ได้ แม่เนี๊ยะไม่รับโทรศัพท์ผมเลย โทรไปปุ๊บตัดสาย
โทรปุ๊บตัดสาย
------------------------------------------------
พิธีกร : โห้ แมนมาก เท่ห์มากนะแม่
ฌอห์ณ : คือแกบอกว่า โทรมาคือต้อง มีปัญหา อย่างเกิดอุบัติเหตุ ตกเครื่องบิน หรืออะไรที่แบบจำเป็นจริงๆ
ต้องโทรมา ถ้าเป็นเรื่องสารทุกข์สุขดิบ เค้าก็จะไม่คุย ผมก็เลยรู้สึกว่า ผมได้ความต่างตรงนี้มานะ
ความรู้สึกที่แบบ ไม่เกี่ยงเงินน้อยอ่ะ แล้วก็รู้สึกว่า อะไรที่แฮปปี้ก็ตั้งใจทำจนถึงที่สุด
------------------------------------------------
พิธีกร : แล้วกับพี่สาวละครับ เห็นว่าเมื่อกี๊เกริ่นๆ พูดถึงพี่พลอย สนิทกันมั๊ย
ฌอห์ณ : คือ เราห่างกันเยอะพี่ท็อป 6 ปี ละยิ่งต่างเพศด้วย ไม่เคยทันกันซักที ผมประถม เค้าพึ่งจบมัธยม
เค้าเข้ามหาลัย ผมพึ่งเข้ามัธยม อะไรอย่างเนี๊ยะครับ เพราะฉะนั้นมันจะไม่เคยทันกัน
เพราะฉะนั้น Relationship ของเราจะเป็นลักษณะ คุยกันเมื่อมีปัญหา เราจะไม่ค่อยรู้ว่า ความสัมพันธ์เรา
ขนาดไหน แต่ใน memory ของผมเนี๊ยะ ผมจะจำเค้าได้ว่า แต่เล็กจนโตตั้งแต่อยู่เมืองนอกเนี๊ยะ
เค้าเป็นเหมือนแม่คนที่สอง คือแม่บอกว่า ตอนนั้นแม่เป็นสาวบริกร ต้องไปเสริฟของตามโรงแรม
เพราะฉะนั้น กะเวลา มันค่อนข้างจะแน่น แต่คุณพลอยเค้าจะเชิงปั่นจักรยานมา เอานมป้อนเรา
เอาอาหารเวฟ พักเที่ยงกลับไปเรียน แล้วบ่ายสามก็มารับผม พาไปสวนสาธารณะอะไรอย่างเนี๊ยะ
เราก็จะคุ้นว่าว่า ผู้หญิงคนนี้ดูแลเราทั้งชีวิตเลยนะ แต่เราก็ไม่กล้าพูดอะไรกับเค้ามาก
------------------------------------------------