สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นเลย เราไม่ใช่เจ้าสาวค่ะ เป็นน้องสาวเจ้าสาวค่ะ แต่เป็นแม่งาน คือติดต่อแทบทุกอย่างแทนพี่สาวค่ะ เพราะพี่สาวอยู่ต่างประเทศ กลับมาไทยเดือนละครั้งเลยไม่สะดวกเตรียมงานเองค่ะ ที่มาเขียนกระทู้นี้ ไม่ได้มีเจตนาจะดิสเครดิตร้านไหนนะคะ เป็นประสบการณ์ที่อยากเล่าให้ฟังเฉยๆ เพื่อว่าที่เจ้าสาวที่กำลังวางแผนจะไปดูชุดแต่งงาน จะได้วางแผนได้ถูกค่ะ
โดยพี่สาวได้ฤกษ์แต่งงานต้นเดือน ต.ค. นี้ค่ะ และเริ่มเลือกดูชุดแต่งงานตั้งแต่ต้นปีแล้วค่ะ แล้วถูกใจร้านหนึ่งที่มีเพจใน Facebook ค่ะ ขอสมมติว่าชื่อ ร้าน A นะคะ เพราะร้านนี้ชุดแต่งงานไม่ใช้สีขาวเยอะค่ะ พี่เขาอยากได้สีแนว off white หรือ pink gold ประมาณนี้ค่ะ แบบก็ถูกใจ เลยนัดเข้าไปคุยวันที่พี่สาวกลับมาไทย ซึ่งมีเวลาแค่วันเดียวที่จะทำธุระได้ แถมตอนเช้ายังไปทำพาสปอร์ตใหม่ด้วย เลยนัดไปบ่ายโมงค่ะ
ต่อมาพี่สาวก็ไปซื้อนิตยสาร Wedding มา แล้วถูกใจชุดไทยของอีกร้านหนึ่ง ของสมมติชื่อร้าน B นะคะ โดยร้าน B เป็นร้านใหญ่ค่ะ ดาราใช้บริการเยอะ ชุดเว่อร์วังอลังการเจ้าหญิงฝุดๆ แต่พี่สาวไม่ชอบแนวเยอะเท่าไหร่ แต่ถูกใจชุดไทยนั้นแหละค่ะ จขกท.เลยโทรไปนัดให้ค่ะ เพราะเห็นว่าชุดแต่งงาน กับชุดไทยไม่เห็นต้องเป็นร้านเดียวกัน โดยนัดเวลาก่อนร้าน B ค่ะ คือเป็นช่วงเช้าหลังทำพาสปอร์ตเสร็จ
พอนัดเสร็จ จขกท.ก็ทำการหาข้อมูลของร้านทั้ง 2 ค่ะ ร้าน A ไม่ค่อยมีใครรีวิวค่ะ คงเป็นเพราะเป็นร้านเล็กๆ แต่ร้าน B มีค่ะ ซึ่งมีทั้งดี และไม่ดี ซึ่งไม่ดีก็คือรีวิวที่ว่า เจ้าสาวไม่ได้ชุดที่อยากได้ในวันแต่งจริง เพราะชุดถูกจองเต็ม เซลล์เพราะแนะนำไม่ให้รีบจองค่ะ บอกให้รอคอลเลคชั่นใหม่ สุดท้ายพลาดจองไม่ทัน ได้ชุดเก่ามาก แถมชุดของเจ้าบ่าวก็ไซต์น้อย เลยได้ชุดไม่พอดีตัวมาค่ะ ซึ่งจุดนี้พี่สาวกับเราค่อนข้างกังวัล เลยคุยกันว่าเราจะไม่ลงเงินจนกว่าจะได้ลองชุด แต่คอมเฟิร์มว่าจะได้ชุดนี้ๆๆๆแล้วเท่านั้น
มาถึงวันนัดค่ะ หลังทำพาสปอร์ต เสร็จก็เดินทางไปร้าน B ค่ะ เรากับพี่สาวไปถึงก่อน (เจ้าบ่าวจะตามมา) ร้านใหญ่มากค่ะ ร้านสวยดูดีมากค่ะ ไปถึงเซลล์ประมาณ 3 คนก็พาเดินขึ้นชั้น 2 แล้วหยิบนิตยสารที่มีแบบชุดของเขามาให้ดูค่ะ แล้วก็พูดคุยเรื่องแพ็กเกจ ซึ่งตอนแรกอย่างที่บอกว่า เราสนใจแต่ชุดไทยของร้านนี้ เราเลยถามราคาเช่าชุดไทยก่อนในชุดที่เราสนใจ ซึ่งเป็นชุดราคาแพงที่สุดของเขาแหละค่ะ เขาบอกว่า เช่าชุดไทยเจ้าสาวอย่างเดียว 55,000 บาทค่ะ เราก็แอบตกใจ แต่ยังเก็บอาการ แล้วเซลล์เขาก็เริ่มไล่แพ็กเกจให้ฟังค่ะ สุดท้ายไปจบที่ 100,000 บาท สำหรับ 4 ชุด คือชุดไทยบ่าวสาว ชุดแต่งงานบ่าวสาว เขาบอกว่าร้านนี้ถูกมาก เฉลี่ยชุดละ 25,000 เอง จริงๆราคานี้พี่สาวเราก็รับได้ค่ะ แต่หลักๆคือที่เราเคยคุยกันไว้ ว่าอยากลองชุดก่อนลงเงิน แต่ร้านนี้ไม่มีการพูดถึงการลองเลยค่ะ ที่นี้พี่สาวมีงานหมั้นแยกงานแต่งค่ะ เราเลยถามว่าถ้าเพิ่มชุดงานหมั้นอีกชุดในราคานี้ไม่ได้ไหม ตอนนี้เขาขอเพิ่มเป็น 120,000 บาทค่ะ แต่เรากับพี่สาว ลังเลแต่ไม่เอาค่ะ (ตอนนี้ตัดชุดงานหมั้นออกไปแล้ว) ขอคุยกันเองหลายครั้ง (คือไล่เซลล์ออกไปจากตรงนั้น 5555+)
ต่อมาเซลล์มาเสนอเพิ่มว่าจะมีถ่ายพรีเวดดิ้งให้ด้วย โดยพี่สาวสามารถเลือกชุดได้ 4 ชุด แต่จะไม่ได้รูปทั้งหมดค่ะ เขาจะอัดกรอบให้ 1 รูป จำขนาดกรอบไม่ได้ค่ะ แต่จำได้ว่ากรอบขนาดที่เขาชอบตั้งไว้หน้างานแต่งอ่ะค่ะ เขาให้เหตุผลว่า การถ่ายพรีเวดดิ้งคือการลองชุดค่ะ ควรแต่งหน้าทำผมจัดเต็มถึงจะรู้ว่าเราเหมาะกับชุดแบบไหน แต่เรากับพี่สาวก็ยังไม่เอาค่ะ คือตอนนั้นต้องใจแข็งมากค่ะ เพราะเซลล์เก่งจริงๆ เอาชุดมาให้ดูตรึม (แต่ดูเฉยๆนะคะ) ซึ่งชุดก็สวยจริงๆค่ะ งานละเอียด ดูใหม่ๆทุกชุด พอพวกเราไม่เอาอีก (ก็เพราะไม่ได้ลองชุดก่อนนี่แหละค่ะ)
สุดท้ายเขาก็เสนออีกค่ะ คือคราวนี้ ให้ถ่าย 6 ชุดเลย + เปลี่ยนอัดรูปเป็นกรอบใหญ่ แล้วให้ชุดงานหมั้นด้วย (เรื่องชุดงานหมั้น - เซลล์คนนึงพูดค่ะ แต่เซลล์อีกคนมาเปลี่ยนคำพูดขอบวก 10,000 บาท) ตอนนั้นเซลล์เอาใบมัดจำมาวางตรงหน้า พร้อมปากกาแล้วค่ะ กดดันสุดๆ (ใบมัดจำใบที่ 2 นะคะ ใบแรกยังเป็นข้อเสนอแรกๆอยู่) เซลล์ก็พูดว่าราคานี้ลดสุดๆ กลับมาคราวหน้าไม่ได้ราคานี้แล้วค่ะ อันนี้เป็นราคาที่เขาไปคุยกับบัญชีมาให้ จริงๆหมดโปรโมทชั่นไปแล้วนะ แต่พี่สาวกัดฟันใจแข็งค่ะ สุดท้ายก็บอกว่าขอไปดูที่อื่นก่อน ที่นี้เป็นที่แรก ยังตัดสินใจไม่ได้ เราก็แบ่งรับแบ่งสู้ค่ะ บอกว่าถ้าจะใช้บริการจะกลับมาภายในวันนี้แน่ค่ะ เซลล์ก็บอกให้โทรมาถามก่อนว่าจะยังได้ราคานี้อยู่ไหม ตลอดการขายเซลล์สุภาพนะคะ จนเราออกจากร้านค่ะ
ออกมาก็เกือบบ่ายโมง จะถึงเวลานัดร้าน A แล้วค่ะ แบบว่าใช้เวลากับร้าน B ไปเยอะกว่าที่คิดค่ะ ซึ่งทั้ง 2 ร้านอยู่คนละมุมเมืองกันเลย รีบบึ่งไปร้าน A(เจ้าบ่าวมานานแล้วนะคะ ลืมเล่า) ร้าน A เป็นร้านตึกแถว 1 คูหาค่ะ แตกต่างกับร้าน B มากๆ แถมไม่มีที่จอดรถเหมือนร้าน B ด้วยค่ะ เจ้าบ่าวต้องปล่อยให้เรากับพี่สาวลงก่อนแล้วไปหาที่จอดค่ะ (ธ.ที่อยู่ใกล้ๆกัน) เข้ามาในร้านก็เจอผู้หญิงคนนึงนั่งเย็บชุดอยู่ค่ะ (ทราบตอนหลังว่าเป็นหุ้นส่วนร้าน) ดูไม่ได้เป็นร้านที่เนี้ยบแบ่งเป็นโซนๆเหมือนร้าน B พอเรามาถึงก็บอกว่าเรานัดเขาไว้ เขาให้นั่งรอแปปนึง แล้วเรียกขึ้นชั้น 3 ค่ะ ซึ่งเป็นห้องลองชุดค่ะ (ไม่ถงไม่ถามชื่อสักคำ) เขาแต่ถามนะคะว่าอยากได้ชุดแต่งงานแบบไหน แล้วก็เข้าสู่กระบวนการลองชุดค่ะ ลองไป 3-4 ชุดค่ะ (เจ้าสาวเหนื่อยเลย ชุดแต่งงานมันหนัก เพิ่งรู้นะเนี่ย) พอดีชุดที่พี่สาวอยากได้ ค่อนข้างมีตำหนิเยอะค่ะ แม้จะอยู่ในจุดที่มองไม่เห็น แต่ก็ไม่สบายใจค่ะ เลยถามราคาเช่าตัด เขาตอบมาว่าประมาณ 40,000 ค่ะ ซึ่งเป็นราคาที่พี่สาวเขารับได้ค่ะ (ถามราคาเช่าชุดนี้ 20,000 ค่ะ) ซึ่งราคาเช่าของชุดร้านนี้อยู่ที่ 15,000 – 25,000 แต่พอถามราคาเช่าชุดเจ้าบ่าว 3,000 บาทเท่านั้นค่ะ ส่วนราคาตัดสูทแบบซื้อเลย 10,000 บาทค่ะ ซึ่งว่าที่พี่เขยเราอยากจะตัดเลยค่ะ เรากับพี่สาวก็คิดกันว่าดีแล้วที่ไม่รีบตัดสินใจ ปรากฏว่าลองเสร็จ แม้จะได้ชุดที่ถูกใจแล้ว ก็อยากให้แม่มาดูก่อนค่ะ เพราะที่ร้านเขาไม่ให้ถ่ายรูปค่ะ เลยนัดเขาจะมาลองอีกครั้ง ครั้งหน้าจะเอาแม่มาด้วยค่ะ พี่เจ้าของร้านก็โอเคค่ะ ไม่มีกดดันใดๆทั้งสิ้น ส่วนชุดไทยที่อยากลอง มีคนเช่าอยู่ค่ะ เลยมาลองคราวหน้าด้วยเลย แล้วเราก็ออกจากร้านไปค่ะ ซึ่งอีกหนึ่งเดือนต่อมาพี่สาวเรากลับไทยก็พาแม่ไปดูชุดแต่งงานที่เลือกค่ะ ปรากฏว่าได้อีกชุดหนึ่งที่ไม่ได้ลองในคราวแรกค่ะ 55555+
ทั้งนี้นะคะ เราไม่ได้มีเจตนาว่าร้าน B ไม่ดี หรือร้าน A ดีกว่า แต่มันอยู่ที่เราเลือก และตัดสินใจค่ะ ร้าน B ดีที่ชุดสวย อลังการ งานเนี้ยบกว่า แต่เราเลือกร้าน A เพราะมาถึงก็ให้เลือกๆ ลองๆ เลยค่ะ ซึ่งมันทำให้ตัดสินใจได้ง่ายกว่ามากๆ และตรงกับความต้องการที่จำกัดไว้ตอนแรกค่ะ
สุดท้ายนี้ใครกำลังจะวางแผนจะเลือกร้านชุดแต่งงาน แนะนำให้ไปร้านที่เขาให้ลองชุดได้ก่อนวางเงินจะดีกว่าค่ะ ลองจนคุณรู้ว่าชอบแบบไหน แล้วถ้าร้านนี้คุณไม่ถูกใจ ก็ค่อยไปร้านที่เขาให้วางเงินก่อนลองก็ได้ เพื่อจะได้รู้ว่าคุณชอบแบบไหน จะตัดสินใจได้ง่ายขึ้นค่ะ เพราะตอนไปร้าน B ตัดสินใจได้ยากจริงๆ
ป.ล. ถ้าเขียนไม่เข้าใจ วกไปวนมา วงเล็บเยอะมาก ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ประสบการณ์เลือกร้านชุดแต่งงาน: ร้านใหญ่ดัง VS ร้านเล็กๆ
โดยพี่สาวได้ฤกษ์แต่งงานต้นเดือน ต.ค. นี้ค่ะ และเริ่มเลือกดูชุดแต่งงานตั้งแต่ต้นปีแล้วค่ะ แล้วถูกใจร้านหนึ่งที่มีเพจใน Facebook ค่ะ ขอสมมติว่าชื่อ ร้าน A นะคะ เพราะร้านนี้ชุดแต่งงานไม่ใช้สีขาวเยอะค่ะ พี่เขาอยากได้สีแนว off white หรือ pink gold ประมาณนี้ค่ะ แบบก็ถูกใจ เลยนัดเข้าไปคุยวันที่พี่สาวกลับมาไทย ซึ่งมีเวลาแค่วันเดียวที่จะทำธุระได้ แถมตอนเช้ายังไปทำพาสปอร์ตใหม่ด้วย เลยนัดไปบ่ายโมงค่ะ
ต่อมาพี่สาวก็ไปซื้อนิตยสาร Wedding มา แล้วถูกใจชุดไทยของอีกร้านหนึ่ง ของสมมติชื่อร้าน B นะคะ โดยร้าน B เป็นร้านใหญ่ค่ะ ดาราใช้บริการเยอะ ชุดเว่อร์วังอลังการเจ้าหญิงฝุดๆ แต่พี่สาวไม่ชอบแนวเยอะเท่าไหร่ แต่ถูกใจชุดไทยนั้นแหละค่ะ จขกท.เลยโทรไปนัดให้ค่ะ เพราะเห็นว่าชุดแต่งงาน กับชุดไทยไม่เห็นต้องเป็นร้านเดียวกัน โดยนัดเวลาก่อนร้าน B ค่ะ คือเป็นช่วงเช้าหลังทำพาสปอร์ตเสร็จ
พอนัดเสร็จ จขกท.ก็ทำการหาข้อมูลของร้านทั้ง 2 ค่ะ ร้าน A ไม่ค่อยมีใครรีวิวค่ะ คงเป็นเพราะเป็นร้านเล็กๆ แต่ร้าน B มีค่ะ ซึ่งมีทั้งดี และไม่ดี ซึ่งไม่ดีก็คือรีวิวที่ว่า เจ้าสาวไม่ได้ชุดที่อยากได้ในวันแต่งจริง เพราะชุดถูกจองเต็ม เซลล์เพราะแนะนำไม่ให้รีบจองค่ะ บอกให้รอคอลเลคชั่นใหม่ สุดท้ายพลาดจองไม่ทัน ได้ชุดเก่ามาก แถมชุดของเจ้าบ่าวก็ไซต์น้อย เลยได้ชุดไม่พอดีตัวมาค่ะ ซึ่งจุดนี้พี่สาวกับเราค่อนข้างกังวัล เลยคุยกันว่าเราจะไม่ลงเงินจนกว่าจะได้ลองชุด แต่คอมเฟิร์มว่าจะได้ชุดนี้ๆๆๆแล้วเท่านั้น
มาถึงวันนัดค่ะ หลังทำพาสปอร์ต เสร็จก็เดินทางไปร้าน B ค่ะ เรากับพี่สาวไปถึงก่อน (เจ้าบ่าวจะตามมา) ร้านใหญ่มากค่ะ ร้านสวยดูดีมากค่ะ ไปถึงเซลล์ประมาณ 3 คนก็พาเดินขึ้นชั้น 2 แล้วหยิบนิตยสารที่มีแบบชุดของเขามาให้ดูค่ะ แล้วก็พูดคุยเรื่องแพ็กเกจ ซึ่งตอนแรกอย่างที่บอกว่า เราสนใจแต่ชุดไทยของร้านนี้ เราเลยถามราคาเช่าชุดไทยก่อนในชุดที่เราสนใจ ซึ่งเป็นชุดราคาแพงที่สุดของเขาแหละค่ะ เขาบอกว่า เช่าชุดไทยเจ้าสาวอย่างเดียว 55,000 บาทค่ะ เราก็แอบตกใจ แต่ยังเก็บอาการ แล้วเซลล์เขาก็เริ่มไล่แพ็กเกจให้ฟังค่ะ สุดท้ายไปจบที่ 100,000 บาท สำหรับ 4 ชุด คือชุดไทยบ่าวสาว ชุดแต่งงานบ่าวสาว เขาบอกว่าร้านนี้ถูกมาก เฉลี่ยชุดละ 25,000 เอง จริงๆราคานี้พี่สาวเราก็รับได้ค่ะ แต่หลักๆคือที่เราเคยคุยกันไว้ ว่าอยากลองชุดก่อนลงเงิน แต่ร้านนี้ไม่มีการพูดถึงการลองเลยค่ะ ที่นี้พี่สาวมีงานหมั้นแยกงานแต่งค่ะ เราเลยถามว่าถ้าเพิ่มชุดงานหมั้นอีกชุดในราคานี้ไม่ได้ไหม ตอนนี้เขาขอเพิ่มเป็น 120,000 บาทค่ะ แต่เรากับพี่สาว ลังเลแต่ไม่เอาค่ะ (ตอนนี้ตัดชุดงานหมั้นออกไปแล้ว) ขอคุยกันเองหลายครั้ง (คือไล่เซลล์ออกไปจากตรงนั้น 5555+)
ต่อมาเซลล์มาเสนอเพิ่มว่าจะมีถ่ายพรีเวดดิ้งให้ด้วย โดยพี่สาวสามารถเลือกชุดได้ 4 ชุด แต่จะไม่ได้รูปทั้งหมดค่ะ เขาจะอัดกรอบให้ 1 รูป จำขนาดกรอบไม่ได้ค่ะ แต่จำได้ว่ากรอบขนาดที่เขาชอบตั้งไว้หน้างานแต่งอ่ะค่ะ เขาให้เหตุผลว่า การถ่ายพรีเวดดิ้งคือการลองชุดค่ะ ควรแต่งหน้าทำผมจัดเต็มถึงจะรู้ว่าเราเหมาะกับชุดแบบไหน แต่เรากับพี่สาวก็ยังไม่เอาค่ะ คือตอนนั้นต้องใจแข็งมากค่ะ เพราะเซลล์เก่งจริงๆ เอาชุดมาให้ดูตรึม (แต่ดูเฉยๆนะคะ) ซึ่งชุดก็สวยจริงๆค่ะ งานละเอียด ดูใหม่ๆทุกชุด พอพวกเราไม่เอาอีก (ก็เพราะไม่ได้ลองชุดก่อนนี่แหละค่ะ)
สุดท้ายเขาก็เสนออีกค่ะ คือคราวนี้ ให้ถ่าย 6 ชุดเลย + เปลี่ยนอัดรูปเป็นกรอบใหญ่ แล้วให้ชุดงานหมั้นด้วย (เรื่องชุดงานหมั้น - เซลล์คนนึงพูดค่ะ แต่เซลล์อีกคนมาเปลี่ยนคำพูดขอบวก 10,000 บาท) ตอนนั้นเซลล์เอาใบมัดจำมาวางตรงหน้า พร้อมปากกาแล้วค่ะ กดดันสุดๆ (ใบมัดจำใบที่ 2 นะคะ ใบแรกยังเป็นข้อเสนอแรกๆอยู่) เซลล์ก็พูดว่าราคานี้ลดสุดๆ กลับมาคราวหน้าไม่ได้ราคานี้แล้วค่ะ อันนี้เป็นราคาที่เขาไปคุยกับบัญชีมาให้ จริงๆหมดโปรโมทชั่นไปแล้วนะ แต่พี่สาวกัดฟันใจแข็งค่ะ สุดท้ายก็บอกว่าขอไปดูที่อื่นก่อน ที่นี้เป็นที่แรก ยังตัดสินใจไม่ได้ เราก็แบ่งรับแบ่งสู้ค่ะ บอกว่าถ้าจะใช้บริการจะกลับมาภายในวันนี้แน่ค่ะ เซลล์ก็บอกให้โทรมาถามก่อนว่าจะยังได้ราคานี้อยู่ไหม ตลอดการขายเซลล์สุภาพนะคะ จนเราออกจากร้านค่ะ
ออกมาก็เกือบบ่ายโมง จะถึงเวลานัดร้าน A แล้วค่ะ แบบว่าใช้เวลากับร้าน B ไปเยอะกว่าที่คิดค่ะ ซึ่งทั้ง 2 ร้านอยู่คนละมุมเมืองกันเลย รีบบึ่งไปร้าน A(เจ้าบ่าวมานานแล้วนะคะ ลืมเล่า) ร้าน A เป็นร้านตึกแถว 1 คูหาค่ะ แตกต่างกับร้าน B มากๆ แถมไม่มีที่จอดรถเหมือนร้าน B ด้วยค่ะ เจ้าบ่าวต้องปล่อยให้เรากับพี่สาวลงก่อนแล้วไปหาที่จอดค่ะ (ธ.ที่อยู่ใกล้ๆกัน) เข้ามาในร้านก็เจอผู้หญิงคนนึงนั่งเย็บชุดอยู่ค่ะ (ทราบตอนหลังว่าเป็นหุ้นส่วนร้าน) ดูไม่ได้เป็นร้านที่เนี้ยบแบ่งเป็นโซนๆเหมือนร้าน B พอเรามาถึงก็บอกว่าเรานัดเขาไว้ เขาให้นั่งรอแปปนึง แล้วเรียกขึ้นชั้น 3 ค่ะ ซึ่งเป็นห้องลองชุดค่ะ (ไม่ถงไม่ถามชื่อสักคำ) เขาแต่ถามนะคะว่าอยากได้ชุดแต่งงานแบบไหน แล้วก็เข้าสู่กระบวนการลองชุดค่ะ ลองไป 3-4 ชุดค่ะ (เจ้าสาวเหนื่อยเลย ชุดแต่งงานมันหนัก เพิ่งรู้นะเนี่ย) พอดีชุดที่พี่สาวอยากได้ ค่อนข้างมีตำหนิเยอะค่ะ แม้จะอยู่ในจุดที่มองไม่เห็น แต่ก็ไม่สบายใจค่ะ เลยถามราคาเช่าตัด เขาตอบมาว่าประมาณ 40,000 ค่ะ ซึ่งเป็นราคาที่พี่สาวเขารับได้ค่ะ (ถามราคาเช่าชุดนี้ 20,000 ค่ะ) ซึ่งราคาเช่าของชุดร้านนี้อยู่ที่ 15,000 – 25,000 แต่พอถามราคาเช่าชุดเจ้าบ่าว 3,000 บาทเท่านั้นค่ะ ส่วนราคาตัดสูทแบบซื้อเลย 10,000 บาทค่ะ ซึ่งว่าที่พี่เขยเราอยากจะตัดเลยค่ะ เรากับพี่สาวก็คิดกันว่าดีแล้วที่ไม่รีบตัดสินใจ ปรากฏว่าลองเสร็จ แม้จะได้ชุดที่ถูกใจแล้ว ก็อยากให้แม่มาดูก่อนค่ะ เพราะที่ร้านเขาไม่ให้ถ่ายรูปค่ะ เลยนัดเขาจะมาลองอีกครั้ง ครั้งหน้าจะเอาแม่มาด้วยค่ะ พี่เจ้าของร้านก็โอเคค่ะ ไม่มีกดดันใดๆทั้งสิ้น ส่วนชุดไทยที่อยากลอง มีคนเช่าอยู่ค่ะ เลยมาลองคราวหน้าด้วยเลย แล้วเราก็ออกจากร้านไปค่ะ ซึ่งอีกหนึ่งเดือนต่อมาพี่สาวเรากลับไทยก็พาแม่ไปดูชุดแต่งงานที่เลือกค่ะ ปรากฏว่าได้อีกชุดหนึ่งที่ไม่ได้ลองในคราวแรกค่ะ 55555+
ทั้งนี้นะคะ เราไม่ได้มีเจตนาว่าร้าน B ไม่ดี หรือร้าน A ดีกว่า แต่มันอยู่ที่เราเลือก และตัดสินใจค่ะ ร้าน B ดีที่ชุดสวย อลังการ งานเนี้ยบกว่า แต่เราเลือกร้าน A เพราะมาถึงก็ให้เลือกๆ ลองๆ เลยค่ะ ซึ่งมันทำให้ตัดสินใจได้ง่ายกว่ามากๆ และตรงกับความต้องการที่จำกัดไว้ตอนแรกค่ะ
สุดท้ายนี้ใครกำลังจะวางแผนจะเลือกร้านชุดแต่งงาน แนะนำให้ไปร้านที่เขาให้ลองชุดได้ก่อนวางเงินจะดีกว่าค่ะ ลองจนคุณรู้ว่าชอบแบบไหน แล้วถ้าร้านนี้คุณไม่ถูกใจ ก็ค่อยไปร้านที่เขาให้วางเงินก่อนลองก็ได้ เพื่อจะได้รู้ว่าคุณชอบแบบไหน จะตัดสินใจได้ง่ายขึ้นค่ะ เพราะตอนไปร้าน B ตัดสินใจได้ยากจริงๆ
ป.ล. ถ้าเขียนไม่เข้าใจ วกไปวนมา วงเล็บเยอะมาก ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ