Great! Great! Great!
Great Barrier Reef
Great Barrier Reef, หนึ่งในความฝันของผมกำลังจะกลายเป็นจริงงงง.......
ย้อนไปในวัยเยาว์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วจริงๆ ผมได้มีโอกาสดูสารคดีจากรายการ national geographic บระเจ้า มันช่างสวยงามงด อะไรปานนี้ มันคือที่ไหน มันคือส่วนใดบนโลกใบนี้
มีทั้งแนวประการังอันเยียดยาว ยิ่งใหญ่ที่มองจากเครื่องบินแล้วเห็นถึงความยิ่งใหญ่อย่างอลังการจากด้านบนอย่างชัดเจน มีปลาเล็กปลาน้อยใหญ่เวียนว่ายทักทาย กับช่างกล้องตลอดเวลา
โว้ว ว้าว วิ้ว.... และการดูทีวีครั้งนั้น มันก็มีเสียงๆ หนึ่ง กระหึ่ม ก้องกังวาน ตะโกนในหัวสมองของผมตลอดทั้งรายการชั่วโมงกว่าครั้งนั้นว่า
“ฮึฮึ ชาตินี้.....ชาตินี้..ผมต้องเดินทางไป และจะต้องเจอกับพวกคุณให้ได้ Great Barrier Reef, ผมจะต้องได้มีโอกาส โอกาส โอกาส และโอกาส ฮึฮึ ผมอยากจะไปดำน้ำสีฟ้าใส มีแสงแดดส่องกระทบผิวน้ำ เปร่งประกายทอแสงระยิบระยับ แล้ว ก็ได้เดินดูแนวประการังที่ยาวที่สุดในโลกนี้อย่างแน่นอน” มันคงจะฟินฝุดๆ หละชีวิตนี้
เวลาผ่านล่วงเลยไปเกือบยี่สิบปี (โห้ นานเว่อร์.....แต่จริงนะครับ ฮาๆๆ) พร้อมกับ การเก็บซ่อนความคิดนี้ไว้ใต้สมองอันกลวงเอาหละ เอาหละ วันนี้ผมควรต้องหาทางไปให้ได้หละ ไหนๆ ก็มีโอกาสได้ยืนอยู่ในแดนสนธยาแห่งนี้เรียบร้อย ประเทศออสเตรเลีย ว่าแต่จะไปยังไงดีหละ......
ผมหาข้อมูลและวางแผนอยู่นานวัน เฝ้าแต่หวังว่า สักวันจะมีคนมาชวนผมไปดำน้ำแดนไกลโผนแห่งนี้บ้าง เอาจริงๆ เดิมทีผมก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้ great barrier reef เนี่ยมันอยู่เมืองไหนในออสเตรเลียกันแน่ และผมควรจะต้องไปยังส่วนไหน ด้วยเหตุผลที่ว่า แนวปะการังมันนี้มันยาวมากครับ หลายพันกิโลเมตร โอ้ ผมควรจะไปตรงไหนดีหละทีนี้??
ผมพยายามหาข้อมูล และเริ่มแพลนทริปการเดินทาง สอบถามจากเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนก็แล้ว แวะเข้าไปเนียนๆสอบถามตามเอเจนซี่ท่องเที่ยวก็แล้ว เปิดหาข้อมูลในอินเตอร์เนตก็แล้ว........
โอ้ยยย ดูมันเหมือนข้อมูลหายากเหอะ.... ถามเพื่อนของเพื่อน ข้อมูลก็ไม่ครบ ถามเอเจนซี่จะไปกับทัวร์ก็แพง น้ำตาร่วงกันไปข้าง ยิ่งแล้วใหญ่ในอินเตอร์เนตนี้ ก็มีน้อยคนที่จะไปและกลับมารีวิว ถึงความมหัศจรรย์นี้ให้โผมม.....
หรือว่าผมต้องหยุดความคิดนี้ไว้เพียงแต่เท่านี้ ได้เพียงแต่คิดในใจว่า ถ้าตรูไปคนเดียว ตรูตายแน่ ตายแน่ครับงานนี้ ภาษาก็แข็งแรงซะไม่มี...เห็นราคาเบ็ดเตล็ดเสร็จสรรพ แล้วหน้ามืดฮะ.......สงสัยว่า ความใฝ่ฝันผมจะมลายหายไปดั่งพริบตาแล้วหละครับงานนี้
(ม่ายยยนะ.............ผมไม่ยอม ผมไม่ยอม.. ทำไงดี ช่วยผมด้วยยยยยย)
และแล้วก็เหมือนว่าโชคชะตาเริ่มดลบันดาลให้ผมหันกลับมาคิดอีกทีหละคราวนี้
ในที่สุด ก็บังเอิญว่ามีพี่ที่ผมรู้จัก เค้าจะไปเที่ยวพอดี แต่ครับแต่ แต่เค้าไม่ชวนผมหละเดะ เค้าไปฮันนีมูล....เซง อดดิฮะ เอิกกกกก.... อะเครๆ อย่างน้อยผมก็จะได้เนียนๆ เก็บข้อมูลเพิ่มเติมอีกนิดนึงว่าเค้าแพลนอย่างไร ที่ไหนบ้าง แล้วผมจะได้เอามาเซตแพลนตัวเอง เที่ยวเองกะได้ ฮาๆๆ
หันกลับมา ณ ปัจจุบันกาล.. ผมก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติสุข
และเหมือนดั่งสวรรค์บันดาล
ผมบังเอิญเห็นพี่ที่รู้จักกันชอบเที่ยวฮะ ผมก็เลยเนียนๆ ถามไปเลยครับว่า อยากไปผมอยากไป great barrier reef อะ ไม่สนใจบ้างเหรอฮะ
และเสียงสวรรค์อันไพเราะตอบกลับมาว่า เอาดิไปดิ ณ จุดนั้น ผมนี้น้ำตาจิไหลเลยฮะ ฝันอันยิ่งใหญ่ผมกำลังจะเป็นจริง
ว่าแล้วก็เริ่มวางแผนครับ
งานนี้ต้องขอบคุณผู้ร่วมชะตากรรมทุกคนที่ไปกะผมจริงๆฮะ ที่จัดการวางแผนให้ด้วยอ่า.....
แรกเริ่มเดิมที ผมเนี่ยอยากจะขับรถไปเพื่อจะได้ชมบรรยากาศระหว่างทางที่ไป ผมไม่รู้หรอกว่ามันอยู่ตรงไหน รู้เพียงแต่ว่า ไอ้ great barrier reef เนี่ยมันอยู่ทางเหนือๆ ของ Australia แต่ไม่รู้หรอกว่าเมืองไหน ส่วนไหน ไกลเท่าไร
หาข้อมูลไปมา เมืองที่ผมได้คือ มันอยู่ที่เมือง Cairn (ชื่อนี้อ่านยากมากครับ บางคนอ่าน แคร์น บ้าง ไคร์น บ้าง เคร์น บ้าง แต่หลักๆ ก็น่าจะอ่านว่า เคร์น กันฮะ ทีนี้ก็รู้หละว่ามันอยู่ตรงไหนของโลก อุตสาห์ รู้ชื่อหละครับ แล้วมันคืออะไร ต้องไปตรงไหนต่อหละครับลูกพี่ มืดสิบหกด้านหละทีนี้)
ผมจัดการถามพี่กู(เกิล) เลยครับ อย่างไว...ใจพี่ร้อน....หันกลับมาดูปุ๊บเท่านั้นหละ
จะขับรถไปจริงเหรอตรู โอ้ แม้เจ้า..............ไกลขนาดนี้เลยหละว่ะ กี่วันจะถึงฮะ ฮา.. เพิ่งรู้ก็คราวนี้แหละว่า cairn มันไกลขนาดนี้ ขับรถไม่น่ารอดแน่นอน ตายคาเบาะชัวร์ๆ ไม่ไหวๆ
มีเวลาไม่นานมากสำหรับแผนการหลบหนีครั้งนี้...
และแล้ว ทุกคนก็เริ่มมองหา concept ที่ว่าต้นทุนประหยัดที่สุด แต่คุณภาพสมเหตุสมผลดีๆหน่อยหละกัน...........(ยากไปนะ) จะไปทั้งทีก็ขอใช้เวลาให้คุ้มทุกวินาทีหละกัน ฮาๆ (ตังค์น้อย เวลาน้อย แต่ความอยากเยอะ โลภฮะ)
มองไปมองมา มีไรเที่ยวมั้งอะ ไอ้เมือง cairn เนี่ย.....เออ นั่นดิ

มีไรเที่ยวมั้งว่ะ......
หยิบโบรชัวร์แล้วเอามาเซตแพลนเที่ยวกันเอง...........ไหนอะฮะลูกพี่ที่เที่ยว???.... (คิดในใจ หลังจากหยิบโบรชัวร์มาเปิดไปเปิดมา อืม ไอ้นี้ เมืองนี้นอกจากดำน้ำแล้ว เค้าไม่คิดจะมีอะไรให้เที่ยวเบยเหรอว่ะ)
แต่ครั้งนึงในชีวิตขอให้ได้เห็นกับตาหละกัน
แผนการเดินทางเริ่มต้นขึ้นแล้ว
เราเริ่มมองหาเที่ยวบินไปกลับ Sydney-cairn แทนครับ ราคา ครับ ราคา ไปกลับ เกือบ สี่ร้อยเหรียญ...... นี้ขนาดแค่ค่าตั๋วบินเองยังแพงขนาดนี้ อยากจะถอดใจซะจริง ฮึฮึ
หากันไปหากันมา จนในที่สุด มาสรุปค่าตั๋วเครื่องบินที่ 300+ นิดๆ แต่ถูกสุดหละ (ช้าไปนิดนึงฮะ เพราะก่อนหน้าที่เราจะรวมตัวกันได้ ค่าตั๋วประมาณสองร้อยปลายๆครับ) โอกาสยังงี้ไม่ได้มีบ่อยๆ ดีกว่ามาคนเดียวหละเว้ยเห้ย ฮ่าๆ
จัดการจองตั๋ว จองรถ จองที่พักกันเรียบร้อย ตารางเดินทางพร้อม อุ้ย ตื่นเต้นๆ ฮะ ผมนี้นอนไม่หลับไปหลายวัน ด้วยความอยากรู้ว่า มันจะสวยเหมือนที่ผมตั้งใจไว้ไหมน้า......
ตึ่ง ตึง..... และแล้ว วันนั้นก็เดินทางมาถึง
ผมและคณะเดินทางไปถึงสนามบิน เริ่มทำความรู้จัก พูดคุยกันเพื่อให้หายเกร็งฮะ (เค้าเรียกว่า ช่วงละลายพฤติกรรมอะฮะ ฮ่าๆ เพราะจริงๆ ทุกคนไม่ได้รู้จักกันทั้งหมดมาก่อนครับ ความมันส์จึงเริ่มบังเกิดหละงานนี้ backpack style ตามconcept เลยฮะ ทำความรู้จักกันหน้างาน และก็ enjoy กันระหว่างทางเพลิน หิ้ววววว.....)

หลังจากนั่งเครื่องผ่านไป 2 ชม. โดยประมาณ
ผมก็ถึงสนามบิน Cairn แล้วครับ โอ้ยแม่เจ้า..... คำถามแรกที่นึกออก คือ นี้ผมกลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดแล้วหรอวะเนี่ย แต่ก็ไม่ใช่หรอกมั้ง นั่งเครื่องมาแค่ 2 ชม. กว่าๆเองนะ แต่ให้อารมณ์เหมือนอยู่เมืองไทย ทั้งๆที่นี้เพิ่งจะช่วงสายๆ เองวะเห้ย
อากาศนี้ร้อนเลยครับ แดดแรงเปรี้ยงๆ แถม ไม่ค่อยมีลมเย็นๆ เบยอ่า......ต่างกับเมืองทางตอนใต้ๆ โดยสิ้นเชิง อากาศเย็นกำลังดี สบายๆ พอพี่สัมผัสสนามบินที่ cairn แล้วนี้ พี่นี้คิดฮอดซิดนีย์เลยนะท่าน
ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ จริงแล้ว ผมว่า มันละม้ายคล้ายบ้านพี่ไทยมากครับ อากาศร้อนชื้น มีป่าฝนเหมือนเราเดะๆ แถมฝนก็ตกอีกตั้งหาก ขาดก็แต่อาหารไทย กับพนง มอบพวงมาลัยในสนามบิน
และผมก็เดินผ่านจุดตรวจออกมาเรียบร้อย ไร้ซึ่งปัญหาคาใจใดๆ ให้ ตม. ได้ซักถาม ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับ เพราะปกติไปลงที่ไหน ตม จะเรียกให้มาสแกนพวกสารระเหย สารเสพย์ติดตลอดเลยนะครับ.....หน้าผมก็ออกจะเป็นคนดี(มั้ง) แต่ที่น่าฉงนเป็นยิ่งนัก คือ ทำไม เมืองนี้มีแต่ภาษาญี่ปุ่นว่ะ มีทุกที่ ทุกป้ายเลยก็ว่าได้...

เออ นั่นดิ ทำไมภาษาญี่ปุ่นมีแสดงแม้กระทั่งป้ายใหญ่ๆ ในสนามบิน..............
เท่านั้นไม่พอ พอเริ่มก้าวเยื้ยงออกมา ก็ได้พบปะกับพี่ยุ่น ตรึมเบย.... ถามไปถามมา เค้าบอกว่า พี่ยุ่น ชอบอากาศร้อนๆ แบบยังงี้มากกว่าหนาวๆ แบบทางใต้ (ผมก็เลยถึงบางอ้อทันที และคงคิดว่า บ้านเค้าเมืองหนาวเนอะ.....) เมืองนี้จึงกลายเป็นเสมือนโลกอันน่าอยู่ของชาวญี่ปุ่นไปโดยปริยาย

การเดินทางเข้าตัวเมืองไม่ไกลมากครับ น่าจะสัก ยี่สิบนาที มีหลายรูปแบบให้เลือก ทั้ง shuttle bus ทั้ง บริการจาก รร แต่ผมเลือกการเช่ารถขับเพราะจะตระเวนออกไปเที่ยวกันก่อนเข้าเชคอินครับ

หลังจากพี่วิ่งไปรับรถตามที่จองไว้เรียบร้อยในสนามบิน รับรถเสร็จเรียบร้อย เวลาล่วงเลยไปเกือบ 10 โมงหละ แล้วภารกิจ แรลลี่ก็เริ่มขึ้น ตะเวน ดูลาดเลา รอบๆ ตามแพลนกันครับ
สถานที่ขึ้นชื่อ ของที่นี้ ก็มีไม่เยอะมากครับ ตามแพลนผมคือ 3 วัน 2 คืนครับ เพราะมันน่าจะเที่ยวครบหมดแล้วหละ
มุ่งตรงดิ่งไป Kuranda เป็นอย่างแรกครับ
Kuranda มันมีอัลไลเหรอฮะ?? จริงๆ มันก็สวยในแบบของเมืองนี้นะครับ คือ ลักษณะความเป็นป่าดิบชื้น ขับรถดูบรรยากาศรอบๆ สองข้างทาง ซึ่งถนนโอเคนะครับ มีรถวิ่งผ่านตลอดไม่เปลี่ยวมาก

แต่ว่าระวังรถบรรทุกใหญ่ที่จะบรรทุกสินค้าทางการเกษตรด้วยนะครับ ลักษณะอาจจะเหมือนวิ่งผ่านลัดเลาะ เขาใหญ่ สระบุรี อย่างไงอย่างงั้นครับ
ระหว่างทางขับไป Kuranda ผมก็เห็นว่ามีจุดแวะพักบ้างเรี่ยไรรายทางครับ ความคิดผม ผมว่าเค้าจัดการไว้ข้างดีเลยครับ การแวะพักรถ หรือ เพื่อดูวิว สวยๆข้างทาง มีตลอดครับ วิวที่เห็นบางมุมเห็นตัวเมืองทั้งเมืองตัดกับท้องทะเล แถมมีภูเขาเป็นฉากด้านหลัง บางที่ขับลัดเลาะทะเล (อะไรมันจะให้ความรู้สึกราวกับว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติได้ขนาดนี้.... ฮาๆ ผมอาจจะเว่อร์ไปหน่อยครับ)
จุดหมายปลายทางที่เราจะไป ก็คือ สถานีรถไฟเก่าแก่ kuranda ครับ ซึ่งรถไฟจะเป็นรถจักรไอน้ำ ย้อนยุคเล็กน้อย ถึงปานกลาง โดยส่วนใหญ่แล้ว หลายๆคนก็เลือกที่จะนั่งรถไฟกินลมชมบรรยากาศนะฮะ เพราะว่า ตัวรถไฟจะวิ่งตัดผ่านภูเขา ต้นไม้ครับ แต่โดยส่วนตัว บวกกับถามพี่ที่เค้ามาก่อนหน้านี้ เค้าก็บอกว่าจุดน่าสนใจไม่ได้มีเยอะมาก แถมค่าทัวร์แค่นั่งรถไฟนี้ก็หลายบาทอยู่ ผมก็เลยขับรถมาเจอกะคุณปู่รถไฟที่ปลายทางหละกัน
ในสถานีรถไฟก็จะมีกระเช้าลอยฟ้าด้วยนะครับ ซึ่งสามารถนั่งกลับไปในตัวเมือง จริงๆ ผมว่าอันนี้เป็นไฮไลท์หลักของเมืองนี้เลยครับ เพราะว่า กระเช้าลอยฟ้านี้ จะวิ่งผ่านป่าเขา ลำธาร น้ำตก (แต่มาช่วงเริ่มเข้าหน้าร้อนนี้ น้ำแห้งนะฮะ) บางจุดลอยผ่านยอดต้นไม้ ก็สวยไปอีกแบบนะครับ

เมื่อชื่นชมเสร็จแล้วก็เดินเล่นกันต่อครับ ขับรถ วนออกจากละแวกนั่น แล้วก็มาเก็บข้อมูลที่ประชาสัมพันธ์ นิดหน่อย เดินเล่น ในสวนสัตว์ และก็ village ที่ขายของฝากที่ระลึก มีกิจกรรม อาหาร ของกิน คล้ายๆ ตลาดน้ำ หรือว่า ร้านตามสถานที่ท่องเที่ยวบ้านเราเลยครับ

เดี่ยวมาต่อครับ
แนะนำหรือแชร์ไอเดียได้ที่ที่
https://www.facebook.com/Backpackaroundme
อย่าลืมแวะไปดูรีวิวผมอีกเรื่องนึงด้วยนะฮะ
http://pantip.com/topic/33466855
[CR] " Great Barrier Reef " ใครอยากไปยกมือขึ้น !!
Great Barrier Reef
Great Barrier Reef, หนึ่งในความฝันของผมกำลังจะกลายเป็นจริงงงง.......
ย้อนไปในวัยเยาว์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วจริงๆ ผมได้มีโอกาสดูสารคดีจากรายการ national geographic บระเจ้า มันช่างสวยงามงด อะไรปานนี้ มันคือที่ไหน มันคือส่วนใดบนโลกใบนี้
มีทั้งแนวประการังอันเยียดยาว ยิ่งใหญ่ที่มองจากเครื่องบินแล้วเห็นถึงความยิ่งใหญ่อย่างอลังการจากด้านบนอย่างชัดเจน มีปลาเล็กปลาน้อยใหญ่เวียนว่ายทักทาย กับช่างกล้องตลอดเวลา
โว้ว ว้าว วิ้ว.... และการดูทีวีครั้งนั้น มันก็มีเสียงๆ หนึ่ง กระหึ่ม ก้องกังวาน ตะโกนในหัวสมองของผมตลอดทั้งรายการชั่วโมงกว่าครั้งนั้นว่า
“ฮึฮึ ชาตินี้.....ชาตินี้..ผมต้องเดินทางไป และจะต้องเจอกับพวกคุณให้ได้ Great Barrier Reef, ผมจะต้องได้มีโอกาส โอกาส โอกาส และโอกาส ฮึฮึ ผมอยากจะไปดำน้ำสีฟ้าใส มีแสงแดดส่องกระทบผิวน้ำ เปร่งประกายทอแสงระยิบระยับ แล้ว ก็ได้เดินดูแนวประการังที่ยาวที่สุดในโลกนี้อย่างแน่นอน” มันคงจะฟินฝุดๆ หละชีวิตนี้
เวลาผ่านล่วงเลยไปเกือบยี่สิบปี (โห้ นานเว่อร์.....แต่จริงนะครับ ฮาๆๆ) พร้อมกับ การเก็บซ่อนความคิดนี้ไว้ใต้สมองอันกลวงเอาหละ เอาหละ วันนี้ผมควรต้องหาทางไปให้ได้หละ ไหนๆ ก็มีโอกาสได้ยืนอยู่ในแดนสนธยาแห่งนี้เรียบร้อย ประเทศออสเตรเลีย ว่าแต่จะไปยังไงดีหละ......
ผมหาข้อมูลและวางแผนอยู่นานวัน เฝ้าแต่หวังว่า สักวันจะมีคนมาชวนผมไปดำน้ำแดนไกลโผนแห่งนี้บ้าง เอาจริงๆ เดิมทีผมก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้ great barrier reef เนี่ยมันอยู่เมืองไหนในออสเตรเลียกันแน่ และผมควรจะต้องไปยังส่วนไหน ด้วยเหตุผลที่ว่า แนวปะการังมันนี้มันยาวมากครับ หลายพันกิโลเมตร โอ้ ผมควรจะไปตรงไหนดีหละทีนี้??
ผมพยายามหาข้อมูล และเริ่มแพลนทริปการเดินทาง สอบถามจากเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนก็แล้ว แวะเข้าไปเนียนๆสอบถามตามเอเจนซี่ท่องเที่ยวก็แล้ว เปิดหาข้อมูลในอินเตอร์เนตก็แล้ว........
โอ้ยยย ดูมันเหมือนข้อมูลหายากเหอะ.... ถามเพื่อนของเพื่อน ข้อมูลก็ไม่ครบ ถามเอเจนซี่จะไปกับทัวร์ก็แพง น้ำตาร่วงกันไปข้าง ยิ่งแล้วใหญ่ในอินเตอร์เนตนี้ ก็มีน้อยคนที่จะไปและกลับมารีวิว ถึงความมหัศจรรย์นี้ให้โผมม.....
หรือว่าผมต้องหยุดความคิดนี้ไว้เพียงแต่เท่านี้ ได้เพียงแต่คิดในใจว่า ถ้าตรูไปคนเดียว ตรูตายแน่ ตายแน่ครับงานนี้ ภาษาก็แข็งแรงซะไม่มี...เห็นราคาเบ็ดเตล็ดเสร็จสรรพ แล้วหน้ามืดฮะ.......สงสัยว่า ความใฝ่ฝันผมจะมลายหายไปดั่งพริบตาแล้วหละครับงานนี้
(ม่ายยยนะ.............ผมไม่ยอม ผมไม่ยอม.. ทำไงดี ช่วยผมด้วยยยยยย)
และแล้วก็เหมือนว่าโชคชะตาเริ่มดลบันดาลให้ผมหันกลับมาคิดอีกทีหละคราวนี้
ในที่สุด ก็บังเอิญว่ามีพี่ที่ผมรู้จัก เค้าจะไปเที่ยวพอดี แต่ครับแต่ แต่เค้าไม่ชวนผมหละเดะ เค้าไปฮันนีมูล....เซง อดดิฮะ เอิกกกกก.... อะเครๆ อย่างน้อยผมก็จะได้เนียนๆ เก็บข้อมูลเพิ่มเติมอีกนิดนึงว่าเค้าแพลนอย่างไร ที่ไหนบ้าง แล้วผมจะได้เอามาเซตแพลนตัวเอง เที่ยวเองกะได้ ฮาๆๆ
หันกลับมา ณ ปัจจุบันกาล.. ผมก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติสุข
และเหมือนดั่งสวรรค์บันดาล
ผมบังเอิญเห็นพี่ที่รู้จักกันชอบเที่ยวฮะ ผมก็เลยเนียนๆ ถามไปเลยครับว่า อยากไปผมอยากไป great barrier reef อะ ไม่สนใจบ้างเหรอฮะ
และเสียงสวรรค์อันไพเราะตอบกลับมาว่า เอาดิไปดิ ณ จุดนั้น ผมนี้น้ำตาจิไหลเลยฮะ ฝันอันยิ่งใหญ่ผมกำลังจะเป็นจริง
ว่าแล้วก็เริ่มวางแผนครับ
งานนี้ต้องขอบคุณผู้ร่วมชะตากรรมทุกคนที่ไปกะผมจริงๆฮะ ที่จัดการวางแผนให้ด้วยอ่า.....
แรกเริ่มเดิมที ผมเนี่ยอยากจะขับรถไปเพื่อจะได้ชมบรรยากาศระหว่างทางที่ไป ผมไม่รู้หรอกว่ามันอยู่ตรงไหน รู้เพียงแต่ว่า ไอ้ great barrier reef เนี่ยมันอยู่ทางเหนือๆ ของ Australia แต่ไม่รู้หรอกว่าเมืองไหน ส่วนไหน ไกลเท่าไร
หาข้อมูลไปมา เมืองที่ผมได้คือ มันอยู่ที่เมือง Cairn (ชื่อนี้อ่านยากมากครับ บางคนอ่าน แคร์น บ้าง ไคร์น บ้าง เคร์น บ้าง แต่หลักๆ ก็น่าจะอ่านว่า เคร์น กันฮะ ทีนี้ก็รู้หละว่ามันอยู่ตรงไหนของโลก อุตสาห์ รู้ชื่อหละครับ แล้วมันคืออะไร ต้องไปตรงไหนต่อหละครับลูกพี่ มืดสิบหกด้านหละทีนี้)
ผมจัดการถามพี่กู(เกิล) เลยครับ อย่างไว...ใจพี่ร้อน....หันกลับมาดูปุ๊บเท่านั้นหละ
จะขับรถไปจริงเหรอตรู โอ้ แม้เจ้า..............ไกลขนาดนี้เลยหละว่ะ กี่วันจะถึงฮะ ฮา.. เพิ่งรู้ก็คราวนี้แหละว่า cairn มันไกลขนาดนี้ ขับรถไม่น่ารอดแน่นอน ตายคาเบาะชัวร์ๆ ไม่ไหวๆ
มีเวลาไม่นานมากสำหรับแผนการหลบหนีครั้งนี้...
และแล้ว ทุกคนก็เริ่มมองหา concept ที่ว่าต้นทุนประหยัดที่สุด แต่คุณภาพสมเหตุสมผลดีๆหน่อยหละกัน...........(ยากไปนะ) จะไปทั้งทีก็ขอใช้เวลาให้คุ้มทุกวินาทีหละกัน ฮาๆ (ตังค์น้อย เวลาน้อย แต่ความอยากเยอะ โลภฮะ)
มองไปมองมา มีไรเที่ยวมั้งอะ ไอ้เมือง cairn เนี่ย.....เออ นั่นดิ
หยิบโบรชัวร์แล้วเอามาเซตแพลนเที่ยวกันเอง...........ไหนอะฮะลูกพี่ที่เที่ยว???.... (คิดในใจ หลังจากหยิบโบรชัวร์มาเปิดไปเปิดมา อืม ไอ้นี้ เมืองนี้นอกจากดำน้ำแล้ว เค้าไม่คิดจะมีอะไรให้เที่ยวเบยเหรอว่ะ)
แต่ครั้งนึงในชีวิตขอให้ได้เห็นกับตาหละกัน
แผนการเดินทางเริ่มต้นขึ้นแล้ว
เราเริ่มมองหาเที่ยวบินไปกลับ Sydney-cairn แทนครับ ราคา ครับ ราคา ไปกลับ เกือบ สี่ร้อยเหรียญ...... นี้ขนาดแค่ค่าตั๋วบินเองยังแพงขนาดนี้ อยากจะถอดใจซะจริง ฮึฮึ
หากันไปหากันมา จนในที่สุด มาสรุปค่าตั๋วเครื่องบินที่ 300+ นิดๆ แต่ถูกสุดหละ (ช้าไปนิดนึงฮะ เพราะก่อนหน้าที่เราจะรวมตัวกันได้ ค่าตั๋วประมาณสองร้อยปลายๆครับ) โอกาสยังงี้ไม่ได้มีบ่อยๆ ดีกว่ามาคนเดียวหละเว้ยเห้ย ฮ่าๆ
จัดการจองตั๋ว จองรถ จองที่พักกันเรียบร้อย ตารางเดินทางพร้อม อุ้ย ตื่นเต้นๆ ฮะ ผมนี้นอนไม่หลับไปหลายวัน ด้วยความอยากรู้ว่า มันจะสวยเหมือนที่ผมตั้งใจไว้ไหมน้า......
ตึ่ง ตึง..... และแล้ว วันนั้นก็เดินทางมาถึง
ผมและคณะเดินทางไปถึงสนามบิน เริ่มทำความรู้จัก พูดคุยกันเพื่อให้หายเกร็งฮะ (เค้าเรียกว่า ช่วงละลายพฤติกรรมอะฮะ ฮ่าๆ เพราะจริงๆ ทุกคนไม่ได้รู้จักกันทั้งหมดมาก่อนครับ ความมันส์จึงเริ่มบังเกิดหละงานนี้ backpack style ตามconcept เลยฮะ ทำความรู้จักกันหน้างาน และก็ enjoy กันระหว่างทางเพลิน หิ้ววววว.....)
หลังจากนั่งเครื่องผ่านไป 2 ชม. โดยประมาณ
ผมก็ถึงสนามบิน Cairn แล้วครับ โอ้ยแม่เจ้า..... คำถามแรกที่นึกออก คือ นี้ผมกลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดแล้วหรอวะเนี่ย แต่ก็ไม่ใช่หรอกมั้ง นั่งเครื่องมาแค่ 2 ชม. กว่าๆเองนะ แต่ให้อารมณ์เหมือนอยู่เมืองไทย ทั้งๆที่นี้เพิ่งจะช่วงสายๆ เองวะเห้ย
อากาศนี้ร้อนเลยครับ แดดแรงเปรี้ยงๆ แถม ไม่ค่อยมีลมเย็นๆ เบยอ่า......ต่างกับเมืองทางตอนใต้ๆ โดยสิ้นเชิง อากาศเย็นกำลังดี สบายๆ พอพี่สัมผัสสนามบินที่ cairn แล้วนี้ พี่นี้คิดฮอดซิดนีย์เลยนะท่าน
ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ จริงแล้ว ผมว่า มันละม้ายคล้ายบ้านพี่ไทยมากครับ อากาศร้อนชื้น มีป่าฝนเหมือนเราเดะๆ แถมฝนก็ตกอีกตั้งหาก ขาดก็แต่อาหารไทย กับพนง มอบพวงมาลัยในสนามบิน
และผมก็เดินผ่านจุดตรวจออกมาเรียบร้อย ไร้ซึ่งปัญหาคาใจใดๆ ให้ ตม. ได้ซักถาม ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับ เพราะปกติไปลงที่ไหน ตม จะเรียกให้มาสแกนพวกสารระเหย สารเสพย์ติดตลอดเลยนะครับ.....หน้าผมก็ออกจะเป็นคนดี(มั้ง) แต่ที่น่าฉงนเป็นยิ่งนัก คือ ทำไม เมืองนี้มีแต่ภาษาญี่ปุ่นว่ะ มีทุกที่ ทุกป้ายเลยก็ว่าได้...
เออ นั่นดิ ทำไมภาษาญี่ปุ่นมีแสดงแม้กระทั่งป้ายใหญ่ๆ ในสนามบิน..............
เท่านั้นไม่พอ พอเริ่มก้าวเยื้ยงออกมา ก็ได้พบปะกับพี่ยุ่น ตรึมเบย.... ถามไปถามมา เค้าบอกว่า พี่ยุ่น ชอบอากาศร้อนๆ แบบยังงี้มากกว่าหนาวๆ แบบทางใต้ (ผมก็เลยถึงบางอ้อทันที และคงคิดว่า บ้านเค้าเมืองหนาวเนอะ.....) เมืองนี้จึงกลายเป็นเสมือนโลกอันน่าอยู่ของชาวญี่ปุ่นไปโดยปริยาย
การเดินทางเข้าตัวเมืองไม่ไกลมากครับ น่าจะสัก ยี่สิบนาที มีหลายรูปแบบให้เลือก ทั้ง shuttle bus ทั้ง บริการจาก รร แต่ผมเลือกการเช่ารถขับเพราะจะตระเวนออกไปเที่ยวกันก่อนเข้าเชคอินครับ
หลังจากพี่วิ่งไปรับรถตามที่จองไว้เรียบร้อยในสนามบิน รับรถเสร็จเรียบร้อย เวลาล่วงเลยไปเกือบ 10 โมงหละ แล้วภารกิจ แรลลี่ก็เริ่มขึ้น ตะเวน ดูลาดเลา รอบๆ ตามแพลนกันครับ
สถานที่ขึ้นชื่อ ของที่นี้ ก็มีไม่เยอะมากครับ ตามแพลนผมคือ 3 วัน 2 คืนครับ เพราะมันน่าจะเที่ยวครบหมดแล้วหละ
มุ่งตรงดิ่งไป Kuranda เป็นอย่างแรกครับ
Kuranda มันมีอัลไลเหรอฮะ?? จริงๆ มันก็สวยในแบบของเมืองนี้นะครับ คือ ลักษณะความเป็นป่าดิบชื้น ขับรถดูบรรยากาศรอบๆ สองข้างทาง ซึ่งถนนโอเคนะครับ มีรถวิ่งผ่านตลอดไม่เปลี่ยวมาก
แต่ว่าระวังรถบรรทุกใหญ่ที่จะบรรทุกสินค้าทางการเกษตรด้วยนะครับ ลักษณะอาจจะเหมือนวิ่งผ่านลัดเลาะ เขาใหญ่ สระบุรี อย่างไงอย่างงั้นครับ
ระหว่างทางขับไป Kuranda ผมก็เห็นว่ามีจุดแวะพักบ้างเรี่ยไรรายทางครับ ความคิดผม ผมว่าเค้าจัดการไว้ข้างดีเลยครับ การแวะพักรถ หรือ เพื่อดูวิว สวยๆข้างทาง มีตลอดครับ วิวที่เห็นบางมุมเห็นตัวเมืองทั้งเมืองตัดกับท้องทะเล แถมมีภูเขาเป็นฉากด้านหลัง บางที่ขับลัดเลาะทะเล (อะไรมันจะให้ความรู้สึกราวกับว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติได้ขนาดนี้.... ฮาๆ ผมอาจจะเว่อร์ไปหน่อยครับ)
จุดหมายปลายทางที่เราจะไป ก็คือ สถานีรถไฟเก่าแก่ kuranda ครับ ซึ่งรถไฟจะเป็นรถจักรไอน้ำ ย้อนยุคเล็กน้อย ถึงปานกลาง โดยส่วนใหญ่แล้ว หลายๆคนก็เลือกที่จะนั่งรถไฟกินลมชมบรรยากาศนะฮะ เพราะว่า ตัวรถไฟจะวิ่งตัดผ่านภูเขา ต้นไม้ครับ แต่โดยส่วนตัว บวกกับถามพี่ที่เค้ามาก่อนหน้านี้ เค้าก็บอกว่าจุดน่าสนใจไม่ได้มีเยอะมาก แถมค่าทัวร์แค่นั่งรถไฟนี้ก็หลายบาทอยู่ ผมก็เลยขับรถมาเจอกะคุณปู่รถไฟที่ปลายทางหละกัน
ในสถานีรถไฟก็จะมีกระเช้าลอยฟ้าด้วยนะครับ ซึ่งสามารถนั่งกลับไปในตัวเมือง จริงๆ ผมว่าอันนี้เป็นไฮไลท์หลักของเมืองนี้เลยครับ เพราะว่า กระเช้าลอยฟ้านี้ จะวิ่งผ่านป่าเขา ลำธาร น้ำตก (แต่มาช่วงเริ่มเข้าหน้าร้อนนี้ น้ำแห้งนะฮะ) บางจุดลอยผ่านยอดต้นไม้ ก็สวยไปอีกแบบนะครับ
เมื่อชื่นชมเสร็จแล้วก็เดินเล่นกันต่อครับ ขับรถ วนออกจากละแวกนั่น แล้วก็มาเก็บข้อมูลที่ประชาสัมพันธ์ นิดหน่อย เดินเล่น ในสวนสัตว์ และก็ village ที่ขายของฝากที่ระลึก มีกิจกรรม อาหาร ของกิน คล้ายๆ ตลาดน้ำ หรือว่า ร้านตามสถานที่ท่องเที่ยวบ้านเราเลยครับ
เดี่ยวมาต่อครับ
แนะนำหรือแชร์ไอเดียได้ที่ที่ https://www.facebook.com/Backpackaroundme
อย่าลืมแวะไปดูรีวิวผมอีกเรื่องนึงด้วยนะฮะ
http://pantip.com/topic/33466855
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น