วันนี้วันอาทิตย์ แต่ผมต้องมาทำงานอยู่!!!!!!!!!
เข้าใจแล้วว่า กว่าจะได้เงินแต่ละบาทมันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน แต่โชคยังดีที่วันนี้ผมทำงานแค่ครึ่งวัน
อากาศเริ่มร้อนขึ้นมากๆ ชนิดว่าเหงื่อออกเหมือนอาบน้ำอยู่ตลอดเวลา วันนี้เป็นครั้งที่สี่ ที่เราได้เจอกัน เพราะผมต้องเอาเสื้อไปให้มันนั้นเอง
ช่วงเย็นมาถึง ผมไปช่วยแม่ขายของที่ตลาดนัดแถวบ้าน 'คิดถึงบรรยากาศ แบบนี้จัง' ไม่ได้มาสะนาน เพราะทำงานช่วงมาราธอน ผมกลับมามีชีวิต เหมือนเดิมอีกครั้ง ได้พักผ่อนร่างกายและหัวสมอง ได้เจอพี่ๆน้องๆ ที่ผ่านมาทักทายกันตลอดแม้ว่าอากาศจะร้อน แต่ผู้คนก็ยังคึกคัก กลิ่นของหมูปิ้งลอยตามลมมาเตะจมูก ชวนให้หิวเสียจริง ร้านลูกชิ้นทอดเจ้าประจำวันนี้คนก็ยังซื้อกันแน่นเหมือนเดิม บางคนจูงมือเด็กๆมาเที่ยวตลาดด้วย แล้วสิ่งที่เด็กๆทุกคนต้องหันไปมองก็คือขนมสายไหมและลูกโป่งหลากสี หลายๆร้านกลายเป็นร้านประจำของผมไปเสียแล้ว แน่นอนว่าหนีไม่พ้นได้ของแถมติดไม้ติดมือกลับมาด้วยทุกครั้ง ทั้งซูชิ สลัดผัก ลูกชิ้นทอด หมูยอ รวมไปถึงน้ำผลไม้ นี่เป็นเสนห์ของตลาดนัดที่ชวนให้ผมคิดถึง
ตกดึกวันนี้ ผมไปถนนคนเดินซะหน่อย ไปเดินออกกำลังกายพร้อมๆกับไปพักผ่อนหัวสมอง ถนนคนเดินนี่เอาจริงๆแล้วก็แทบไม่ได้ต่างจาก ตลาดนัดแถวบ้านผมเลยนะ ฮ่าๆๆๆ
ภารกิจของผมก็ได้เพิ่มเข้ามาอีกอย่างหนึ่งนั้นคือ หาซื้อ 'ยำ' ไปให้มัน พอมันรู้ว่าผมจะไปถนนคนเดินมันก็รีบอ้อนจะกินยำๆ พอผมบอกมันไปว่าทำไมไม่ออกมาซื้อเอง จะได้มาเที่ยวด้วยกันเลย มันบอกว่า ร่างกายของมันตอนนี้ยังไม่ได้รับยาต้าน ร่างกายจึงอ่อนแอ ไม่สามารถที่จะไปอยู่ในแหล่งชุมชน คนเยอะๆได้ เดี๋ยวจะไม่สบาย
แว๊บแรกผมนึกถึงโฆษณาหนึ่ง ในทีวีขึ้นมาเลย ที่มีเด็กๆพิการ มองดูภาพจากกล้อง ที่ติดอยู๋บนหัวพี่ๆเขา แล้วคอยบอกว่าให้เดินไปซ้ายหรือขวา หรือกระโดด ดำน้ำฯ
แม้ในใจลึกๆแอบน้อยใจเหมือนกันนะว่า ทำไมคู่ของเราถึงไม่เหมือนคู่อื่นๆ ทำไมเราต้องมาโชคร้ายแบบนี้ ยิ่งเห็นคนอื่นเขาเดินมากันเป็นคู่ๆยิ่งเหงา ที่เราเดินมาคนเดียว
เวลาผ่านไปสักพัก มันส่งข้อความมาว่า "ไม่ต้องอิจฉาคนอื่นหรอก เดี๋ยวสักวันเราก็ได้เดินด้วยกัน"
สายลมพัดผ่าน วูบหนึ่ง ผ่านตัวผมไป เหมือนกับคำพูดนั้นทำให้ผมคิดได้ 'นี้...เรามาคิดน้อยใจอะไรอยู่' ปล่อยให้คนที่อ่อนแอกว่า มาปลอบได้ไง มันต้องเป็นเราเองไม่ใช่เหรอ ที่ต้องคอยให้กำลังใจมัน ไม่ใช่มาคิดแบบนี้
เวลาที่เรามัวแต่นั่งเสียใจ น้อยใจ มันอาจจะเป็นเวลาที่มีค่า ถ้าเราเอาไปดูแลกันและกัน ให้กำลังใจกัน
1นาทีของคนเรามันต่างกัน บางคน...อาจใช้เวลาไปกับการงอนกัน ทะเลาะกัน น้อยใจกัน
แต่บางคน 1นาทีนั้น อาจทำให้มีความสุขที่สุด...ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ
**** 1 นาทีเท่ากัน แต่เราใช้ต่างกัน
ผมมองดูนาฬิกา เวลาเกือบห้าทุ่ม 'คงได้เวลาแล้ว' ผมเดินออกจากถนนคนเดิน เตรียมตัวขับรถไปบ้านแฟน ในขณะที่มือของผมถือถุงยำ มืออีกข้างหนึ่งก็ถือกำลังใจไปฝากมันด้วย.
Diary 16# [19-4-2558]
เข้าใจแล้วว่า กว่าจะได้เงินแต่ละบาทมันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน แต่โชคยังดีที่วันนี้ผมทำงานแค่ครึ่งวัน
อากาศเริ่มร้อนขึ้นมากๆ ชนิดว่าเหงื่อออกเหมือนอาบน้ำอยู่ตลอดเวลา วันนี้เป็นครั้งที่สี่ ที่เราได้เจอกัน เพราะผมต้องเอาเสื้อไปให้มันนั้นเอง
ช่วงเย็นมาถึง ผมไปช่วยแม่ขายของที่ตลาดนัดแถวบ้าน 'คิดถึงบรรยากาศ แบบนี้จัง' ไม่ได้มาสะนาน เพราะทำงานช่วงมาราธอน ผมกลับมามีชีวิต เหมือนเดิมอีกครั้ง ได้พักผ่อนร่างกายและหัวสมอง ได้เจอพี่ๆน้องๆ ที่ผ่านมาทักทายกันตลอดแม้ว่าอากาศจะร้อน แต่ผู้คนก็ยังคึกคัก กลิ่นของหมูปิ้งลอยตามลมมาเตะจมูก ชวนให้หิวเสียจริง ร้านลูกชิ้นทอดเจ้าประจำวันนี้คนก็ยังซื้อกันแน่นเหมือนเดิม บางคนจูงมือเด็กๆมาเที่ยวตลาดด้วย แล้วสิ่งที่เด็กๆทุกคนต้องหันไปมองก็คือขนมสายไหมและลูกโป่งหลากสี หลายๆร้านกลายเป็นร้านประจำของผมไปเสียแล้ว แน่นอนว่าหนีไม่พ้นได้ของแถมติดไม้ติดมือกลับมาด้วยทุกครั้ง ทั้งซูชิ สลัดผัก ลูกชิ้นทอด หมูยอ รวมไปถึงน้ำผลไม้ นี่เป็นเสนห์ของตลาดนัดที่ชวนให้ผมคิดถึง
ตกดึกวันนี้ ผมไปถนนคนเดินซะหน่อย ไปเดินออกกำลังกายพร้อมๆกับไปพักผ่อนหัวสมอง ถนนคนเดินนี่เอาจริงๆแล้วก็แทบไม่ได้ต่างจาก ตลาดนัดแถวบ้านผมเลยนะ ฮ่าๆๆๆ
ภารกิจของผมก็ได้เพิ่มเข้ามาอีกอย่างหนึ่งนั้นคือ หาซื้อ 'ยำ' ไปให้มัน พอมันรู้ว่าผมจะไปถนนคนเดินมันก็รีบอ้อนจะกินยำๆ พอผมบอกมันไปว่าทำไมไม่ออกมาซื้อเอง จะได้มาเที่ยวด้วยกันเลย มันบอกว่า ร่างกายของมันตอนนี้ยังไม่ได้รับยาต้าน ร่างกายจึงอ่อนแอ ไม่สามารถที่จะไปอยู่ในแหล่งชุมชน คนเยอะๆได้ เดี๋ยวจะไม่สบาย
แว๊บแรกผมนึกถึงโฆษณาหนึ่ง ในทีวีขึ้นมาเลย ที่มีเด็กๆพิการ มองดูภาพจากกล้อง ที่ติดอยู๋บนหัวพี่ๆเขา แล้วคอยบอกว่าให้เดินไปซ้ายหรือขวา หรือกระโดด ดำน้ำฯ
แม้ในใจลึกๆแอบน้อยใจเหมือนกันนะว่า ทำไมคู่ของเราถึงไม่เหมือนคู่อื่นๆ ทำไมเราต้องมาโชคร้ายแบบนี้ ยิ่งเห็นคนอื่นเขาเดินมากันเป็นคู่ๆยิ่งเหงา ที่เราเดินมาคนเดียว
เวลาผ่านไปสักพัก มันส่งข้อความมาว่า "ไม่ต้องอิจฉาคนอื่นหรอก เดี๋ยวสักวันเราก็ได้เดินด้วยกัน"
สายลมพัดผ่าน วูบหนึ่ง ผ่านตัวผมไป เหมือนกับคำพูดนั้นทำให้ผมคิดได้ 'นี้...เรามาคิดน้อยใจอะไรอยู่' ปล่อยให้คนที่อ่อนแอกว่า มาปลอบได้ไง มันต้องเป็นเราเองไม่ใช่เหรอ ที่ต้องคอยให้กำลังใจมัน ไม่ใช่มาคิดแบบนี้
เวลาที่เรามัวแต่นั่งเสียใจ น้อยใจ มันอาจจะเป็นเวลาที่มีค่า ถ้าเราเอาไปดูแลกันและกัน ให้กำลังใจกัน
1นาทีของคนเรามันต่างกัน บางคน...อาจใช้เวลาไปกับการงอนกัน ทะเลาะกัน น้อยใจกัน
แต่บางคน 1นาทีนั้น อาจทำให้มีความสุขที่สุด...ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ
**** 1 นาทีเท่ากัน แต่เราใช้ต่างกัน
ผมมองดูนาฬิกา เวลาเกือบห้าทุ่ม 'คงได้เวลาแล้ว' ผมเดินออกจากถนนคนเดิน เตรียมตัวขับรถไปบ้านแฟน ในขณะที่มือของผมถือถุงยำ มืออีกข้างหนึ่งก็ถือกำลังใจไปฝากมันด้วย.