สวัสดีค่ะ ใครที่อยากไป นาโกย่า แบบ backpack เชิญกันมาทางนี้
จขกท. บอกก่อนนี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกในการไป ตปท. บอกเลยว่าตื่นเต้นมากๆ

ออกเดินทางเช้า วันที่ 27 มีค จากสนามบินนานาชาติภูเก็ต ไปสนามบินกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย อ่ะๆไม่ต้องตกใจ เราแค่จะไปต่อเครื่องที่นั่น
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม ก็ถึงละจ้า คืนนี้ต้องนอนค้างที่มาเล 1 คืน เราจะออกเดินทางไปนาโกย่า ในเช้าวันที่ 28 มีค
บอกก่อนเลยว่าสนามบินกัวลาลัมเปอร์นี่อยู่นอกเมือง มองซ้ายมองขวาก็เจอแต่ต้นปาล์ม สุดลูกหูลูกตา
พอลงเครื่องปุ๊บ โอ้ยๆ ท้องร้องหิวจังเลย ก็ต้องหาของกินกันนะสิ บอกเลยเน้นถูกและอิ่ม 55+
แถวๆหน้าสนามบินก็มีแมคโดนัลด์, KFC, บลาๆๆ เยอะเลย แต่เรามาเยือนถึงถิ่นทั้งทีก็ขอกินแบบที่มาเลเป็นเจ้าตำรับละกัน
นี่เลย Marrybrown เป็นไก่ทอดสไตล์ KFC รสชาดอาจไม่คุ้นลิ้นคนไทยเราสักเท่าไหร่ แต่ก็ลองไปชิมกันดูนะ
อิ่มแล้วๆ เดินทางเข้าในตัวเมืองกัน

โดยการนั่งรถบัสที่จอดอยู่หน้าสนามบิน ราคาถ้าจำไม่ผิด ไม่น่าจะเกิน 100 บาท จ่ายเสร็จนั่งยาวไปเลยจ้า
พอถึงจุดหมายก็เดินต่อไปซักพัก เดินหาโรงแรมที่จองไว้ พอเจอปุ๊บเช็คอินเข้าที่พัก เตรียมตัวออกตะลุย กัลลาลัมเปอร์กัน เย้ๆ

บรรยากาศนอกห้องพักที่มาเล วิวดี๊ดี
จากนั้นก็เดินเที่ยวแถวๆโรงแรม อ่อลืมบอกมาประเทศนี้เราบอกได้เลยว่า เราจากคนที่แย่อังกฤษอยู่แล้วแย่เข้าไปอีก
เพราะคนที่นี่ เกือบ 100% เต็ม พูดภาษาอังกฤษได้ ตั้งแต่คนขายของตามถนน ไปจนคนทำงานในระดับสูง
พูดได้คำเดียวว่า OMG เลิศอ่ะ ชีวิตดี๊ดี
อ่ะๆพอๆ เข้าเรื่องกันต่อ ด้วยความที่เราอยากเห็นตึกแฝดพี่ชายเราก็เลยพาไป นั่งรถไฟฟ้าคล้าย BTS บ้านเราไป
ไปถึงก็ตะลึงเลยมันอลังการมาก สูงแบบสูงจริงๆ เงยหน้ามองนี่สุดที่จะเงยได้

ตึกแฝด
เห็นสมใจอยากและ กลับไปพักผ่อนกัน เป้าหมายเรารออยู่ในวันพรุ่งนี้!!!
วันที่ 28 มี.ค. ออกเดินทางจากสนามบินกัวลาลัมเปอร์ ไปยังสนามบินนาโกย่า
จะตื่นเต้นตรงจะเข้า Gate นี่ละ ตม ตรวจพาสปอร์ต และถามว่าชื่ออะไร จะไปไหน ไปกี่วัน เราก็ตอบไปตามความจริง
พอผ่านปุ๊บ ไม่นานก็เดินไปขึ้นเครื่อง

เจ้าลำนี้ละ ที่จะพาเราไปยังจุดหมาย
โดยจะใช้เวลาในการเดินทางทั้งสิ้นประมาณ 7 ชั่วโมง และในที่สุดก็ถึงสนามบินนาโกย่าแล้ว

เดินทางไปโรงแรมโดยใช้รถไฟ ประมาณแอร์พอร์ตลิงค์บ้านเราค่ะ เส้นทางจะไปขึ้นรถไฟสามารถสอบถามที่ Information
ได้ค่ะ เค้าสามารถบอกข้อมูลต่างๆให้กับเราได้ อ่อลืมบอกอากาศที่นี่ค่อนข้างหนาวประมาณ 12 องศา ถ้าไปต้องเตรียมเสื้อผ้า
อุ่นๆไปด้วยละ

ระหว่างทางเดินไปโรงแรม การจราจรที่นี่ไม่ตัดขัด ชิวๆสบายๆ เพราะผู้คนส่วนใหญ่ใช้รถไฟฟ้าใต้ดินกันซะมากกว่า
อีกสาเหตุหนึ่งเพราะรถแท็กซี่ที่นี่ค่อนข้าง start แพงมากด้วยละมั้ง รถไฟฟ้าใต้ดินจึงเป็นคมนาคมหลักของที่นี่

เอ๊ะๆ นั่นๆไกลๆนั่น ซากุระใช่ไหม แล้วมันก็ใช่จริงๆ จขกท. ปลื้มปริ่มมากที่ได้เห็น ฟิน

แท้แด้มมมมม ถึงละโรงแรมที่เราจะพักนี่เลย Wing hotel จะบอกว่าที่นี่พนักงานบริการดีมาก อัธยาศัยดีด้วย

และนี่คือบรรยากาศในห้องพัก ค่อนสะดวกจะโอเค เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
ไม่ว่าจะเป็น ทีวี กาต้มน้ำร้อน ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น
แต่!!!! ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ คือไอเราก็สงสัยเปิดแอร์แล้วทำไมแอร์มันไม่เย็นนะ ก็เพราะโรงแรมนี้เค้าไม่เปิดแอร์ช่วงหน้าหนาว
แต่จะเปิด heater แทน เพราะอะไรนะหรอพอถึงตี1-2 อากาศจะเริ่มหนาวมาก บวกมีฝนตก ต้องนอนตัวขดแย่งผ้าห่มกันเลย
พอเก็บของเข้าที่พักเสร็จ หิวสิค่ะ ก็เลยเดินรอบๆโรงแรมไปเจอร้านนึง ดูท่าทางน่าอร่อยและที่สำคัญมีไก่ทอดที่เป็นสัญลักษณ์ของนาโกย่า
จะรอช้าอยู่ใยเข้าไปกันเลยดีกว่า

นี่คือหน้าตาไก่ทอดที่ว่า คือจะบอกว่าอร่อยสมคำล่ำลือ เนื้อกรอบนอกนุ่มใน ถ้าไปห้ามพลาดเด็ดขาด
อิ่มแล้วกลับโรงแรม พรุ่งนี้ สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆรอเราอยู่เพียบ
วันที่ 29 มี.ค. เช้าวันใหม่ในแดนอาทิตย์อุทัย
เช้าๆแบบนี้ต้องหาอะไรรองท้องกันก่อนเดินทาง และตัวช่วยที่ดีที่สุดคือ เซเว่น เลยจ้ามีทุกอย่างราคาก็ไม่แพง

นี่คืออาหารมื้อเช้าเรา สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า และข้าวปั้น
อ่อ!!! จะบอกว่าเซเว่นที่นี่เกือบทุกที่ หรือทุกที่ก็ได้มี wifi ที่แร๊งมาก ถ่ายรูปไปเข้าเซเว่นไปอัพรูปไปสบายใจเชิ๊บ
อิ่มละเดินกันต่อ นาโกย่าเป็นเมืองที่เดินง่ายเพราะสามารถทะลุได้กันหมด เหมือนเป็นบล๊อคสี่เหลี่ยมเดินได้สะดวกมากเลย
เดินไปชมซากุระ ชมวิถีของคนเมืองนี้ เป็นอะไรที่มีความสุขมาก
และแล้วเดินมาสะดุดตรงจุดนึง เป็นตัวชิงช้าติดอยู่กับตัวตึกสวยมาก
ตึกนี้มีชื่อว่า SUNSHINE SAKAE เอาไว้ใช้ดูวิว ถ้าดูตอนกลางคืนคงจะสวยมาก
จากนั้นอยากไปเที่ยวสถานที่เที่ยวเด่นๆของเมืองนี้บ้าง เลยตัดสินใจนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปปราสาทนาโกย่า
มาถึงก็หิวมากๆเลย นี่ก็เที่ยงละหาอะไรกินดีกว่า หน้าปราสาทนาโกย่ามีของขายเยอะมากเลย
มาทั้งทีต้องลองชิมกันหน่อย

ทาโกยากิ ลูกใหญ่มาก

ยากิโซบะ เส้นเหนียวหนึบ รสชาดซอสนี่ฟินจริงๆ

ขนมนี้ จขกท. จำชื่อไม่ได้ แต่อร่อยมากกรอบนอกนุ่มใน เป็นไส้ถั่วแดงร้อนๆ หวานกำลังดี
อิ่มแล้วเข้าไปข้างในตัวปราสาทกันเลยดีกว่า อย่างแรกก็ต้องซื้อตั๋วก่อน นี่เลยหน้าตาเป็นแบบนี้

ประตูทางเข้า

บรรยากาศข้างในเต็มไปด้วยดอกซากุระ มีนักท่องเที่ยวมากมายที่ชมความงดงามของตัวปราสาท

ยิ่งได้เห็นตัวปราสาทชัดๆยิ่งสวยมาก
จากนั้นก็เข้าไปข้างใน ก็จะมีประวัติต่างของปราสาทแห่งนี้ ให้เดินดูเดินชมกัน

พอมาถึงชั้นสูงสุด จะได้เห็นวิว ดังต่อไปนี้

สวยมากๆ สามารถมองได้แบบ 360 องศาเลย
นี่ก็เดินทั่วละ เริ่มหิวอีกแล้ว ได้ยินมาว่าที่นี่ข้าวหน้าปลาไหลเป็นเจ้าตำหรับ ต้องลองซะแล้ว
ออกมาจากวัดก็ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินไป พอมาถึงจุดหมายก็เดินมาอีกนิดหน่อยจะเจอกับ Atsuta Shrine เป็นวัดของที่นี่

ทางเดินไปวัดดังกล่าว

วัดนี้ร่มรื่นมากสองข้างทางจะเต็มไปด้วยต้นไม้ มีความเงียบสงบ ใครที่ชอบวัดแนวนี้ ต้องห้ามพลาดที่นี่เด็ดขาด
เดินออกจากวัดมานิดนึง ก็จะเจอกับร้านขายข้าวหน้าปลาไหล เจ้าเด็ดเจ้าดังของที่นี่
คนต่อคิวกันเยอะมากและในที่สุด เราก็ได้กินจนได้

การกินข้าวหน้าปลาไหลของที่นี่ให้แบ่งเป็นสี่ส่วน
ส่วนที่ 1 กินโดยไม่ใส่อะไรเลยให้ชิมรสชาดแบบดั้งเดิม
ส่วนที่ 2 ใส่เครื่องเคียงคือ สาหร่าย หอมซอย วาซาบิ
ส่วนที่ 3 ใส่แบบข้อ2 แต่ต่างกันตรงที่ใส่น้ำซุปลงไปด้วย ออกแนวเหมือนข้าวต้ม
ส่วนที่ 4 ชอบแบบไหนให้กินแบบนั้น
สำหรับ จขกท. ชอบแบบที่ 2 ที่สุดละ

ที่จริงแล้วอยากจะบอกว่า ดูในรูปเหมือนเล็ก ไม่เลยมันใหญ่มาก คือพอสำหรับ 2 คนกินเลยค่ะ
แต่ด้วยความที่ไม่รู้สั่งมาคนละ 1 ชุด คือพุงกางเลยค่ะ พูดง่ายๆคือยัดเข้าไปกว่าจะหมดก็ใช้เวลาพอสมควร
แต่ด้วยความที่อร่อยก็กินได้เพลินๆค่ะ
ตบท้ายด้วยของหวานอย่าง honey toast ร้านอยู่ใกล้ๆกับ Nagoya TV Tower
อร่อยมาก ราคาไม่แพง และที่สำคัญได้มองวิวสวยๆรอบข้าง ฟินจริงๆ


วันที่ 30 มี.ค.
ที่แรกที่จะไปในวันนี้ก็คือ นี่เลย Nagoya City Science Museum

เป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่มีอะไรให้ทำ ให้ลอง ทันสมัยมากๆ
อย่างแรกก็ต้องซื้อตั๋วก่อน แต่ที่นี่จะดีตรงมีส่วนลดของนักศึกษา จขกท. เลยลองใช้โอกาสนี้นี้ดู
และแล้วก็ใช้ได้จริงๆด้วย เพราะชาวต่างชาติแบบเราก็ใช้สิทธิ์นี้ได้

เข้าไปข้างในเลยดีกว่า

แต่ในการดูข้อมูลต่างๆในพิพิธภัณฑ์ก็ค่อนข้างลำบากเพราะ เกือบ 100% ก็จะเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย
ก็ถือซะว่าเปิดประสบการณ์ได้ดูนวัตกรรมใหม่ๆที่หาดูได้ยากละกันโน๊ะ
ช่วงเย็นๆนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปวัด Osu Kannon ฝนตกปรอยๆ อากาศค่อนข้างหนาว
ที่วัดนี้เป็นวัดที่ใหญ่ และนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเยอะ เพราะไหว้พระเสร็จสามารถเดิน shopping ข้างวัดได้เลย

วัดนี้ขอพรแล้วจะได้สมดั่งใจหวัง (เจ้าของกะทู้ก็ได้รับพรนั้น)

แหล่งช๊อปปิ้งข้างๆวัด

ที่นี่ของราคาค่อนข้างถูกมีร้านทุกอย่าง 100 เยน จขกท.ว่าที่นี่ขาช๊อปห้ามพลาดเด็ดขาด!!
Backpack ตะลุย "นาโกย่า"
จขกท. บอกก่อนนี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกในการไป ตปท. บอกเลยว่าตื่นเต้นมากๆ
ออกเดินทางเช้า วันที่ 27 มีค จากสนามบินนานาชาติภูเก็ต ไปสนามบินกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย อ่ะๆไม่ต้องตกใจ เราแค่จะไปต่อเครื่องที่นั่น
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม ก็ถึงละจ้า คืนนี้ต้องนอนค้างที่มาเล 1 คืน เราจะออกเดินทางไปนาโกย่า ในเช้าวันที่ 28 มีค
บอกก่อนเลยว่าสนามบินกัวลาลัมเปอร์นี่อยู่นอกเมือง มองซ้ายมองขวาก็เจอแต่ต้นปาล์ม สุดลูกหูลูกตา
พอลงเครื่องปุ๊บ โอ้ยๆ ท้องร้องหิวจังเลย ก็ต้องหาของกินกันนะสิ บอกเลยเน้นถูกและอิ่ม 55+
แถวๆหน้าสนามบินก็มีแมคโดนัลด์, KFC, บลาๆๆ เยอะเลย แต่เรามาเยือนถึงถิ่นทั้งทีก็ขอกินแบบที่มาเลเป็นเจ้าตำรับละกัน
นี่เลย Marrybrown เป็นไก่ทอดสไตล์ KFC รสชาดอาจไม่คุ้นลิ้นคนไทยเราสักเท่าไหร่ แต่ก็ลองไปชิมกันดูนะ
อิ่มแล้วๆ เดินทางเข้าในตัวเมืองกัน
โดยการนั่งรถบัสที่จอดอยู่หน้าสนามบิน ราคาถ้าจำไม่ผิด ไม่น่าจะเกิน 100 บาท จ่ายเสร็จนั่งยาวไปเลยจ้า
พอถึงจุดหมายก็เดินต่อไปซักพัก เดินหาโรงแรมที่จองไว้ พอเจอปุ๊บเช็คอินเข้าที่พัก เตรียมตัวออกตะลุย กัลลาลัมเปอร์กัน เย้ๆ
บรรยากาศนอกห้องพักที่มาเล วิวดี๊ดี
จากนั้นก็เดินเที่ยวแถวๆโรงแรม อ่อลืมบอกมาประเทศนี้เราบอกได้เลยว่า เราจากคนที่แย่อังกฤษอยู่แล้วแย่เข้าไปอีก
เพราะคนที่นี่ เกือบ 100% เต็ม พูดภาษาอังกฤษได้ ตั้งแต่คนขายของตามถนน ไปจนคนทำงานในระดับสูง
พูดได้คำเดียวว่า OMG เลิศอ่ะ ชีวิตดี๊ดี
อ่ะๆพอๆ เข้าเรื่องกันต่อ ด้วยความที่เราอยากเห็นตึกแฝดพี่ชายเราก็เลยพาไป นั่งรถไฟฟ้าคล้าย BTS บ้านเราไป
ไปถึงก็ตะลึงเลยมันอลังการมาก สูงแบบสูงจริงๆ เงยหน้ามองนี่สุดที่จะเงยได้
ตึกแฝด
เห็นสมใจอยากและ กลับไปพักผ่อนกัน เป้าหมายเรารออยู่ในวันพรุ่งนี้!!!
วันที่ 28 มี.ค. ออกเดินทางจากสนามบินกัวลาลัมเปอร์ ไปยังสนามบินนาโกย่า
จะตื่นเต้นตรงจะเข้า Gate นี่ละ ตม ตรวจพาสปอร์ต และถามว่าชื่ออะไร จะไปไหน ไปกี่วัน เราก็ตอบไปตามความจริง
พอผ่านปุ๊บ ไม่นานก็เดินไปขึ้นเครื่อง
เจ้าลำนี้ละ ที่จะพาเราไปยังจุดหมาย
โดยจะใช้เวลาในการเดินทางทั้งสิ้นประมาณ 7 ชั่วโมง และในที่สุดก็ถึงสนามบินนาโกย่าแล้ว
เดินทางไปโรงแรมโดยใช้รถไฟ ประมาณแอร์พอร์ตลิงค์บ้านเราค่ะ เส้นทางจะไปขึ้นรถไฟสามารถสอบถามที่ Information
ได้ค่ะ เค้าสามารถบอกข้อมูลต่างๆให้กับเราได้ อ่อลืมบอกอากาศที่นี่ค่อนข้างหนาวประมาณ 12 องศา ถ้าไปต้องเตรียมเสื้อผ้า
อุ่นๆไปด้วยละ
ระหว่างทางเดินไปโรงแรม การจราจรที่นี่ไม่ตัดขัด ชิวๆสบายๆ เพราะผู้คนส่วนใหญ่ใช้รถไฟฟ้าใต้ดินกันซะมากกว่า
อีกสาเหตุหนึ่งเพราะรถแท็กซี่ที่นี่ค่อนข้าง start แพงมากด้วยละมั้ง รถไฟฟ้าใต้ดินจึงเป็นคมนาคมหลักของที่นี่
เอ๊ะๆ นั่นๆไกลๆนั่น ซากุระใช่ไหม แล้วมันก็ใช่จริงๆ จขกท. ปลื้มปริ่มมากที่ได้เห็น ฟิน
แท้แด้มมมมม ถึงละโรงแรมที่เราจะพักนี่เลย Wing hotel จะบอกว่าที่นี่พนักงานบริการดีมาก อัธยาศัยดีด้วย
และนี่คือบรรยากาศในห้องพัก ค่อนสะดวกจะโอเค เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
ไม่ว่าจะเป็น ทีวี กาต้มน้ำร้อน ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น
แต่!!!! ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ คือไอเราก็สงสัยเปิดแอร์แล้วทำไมแอร์มันไม่เย็นนะ ก็เพราะโรงแรมนี้เค้าไม่เปิดแอร์ช่วงหน้าหนาว
แต่จะเปิด heater แทน เพราะอะไรนะหรอพอถึงตี1-2 อากาศจะเริ่มหนาวมาก บวกมีฝนตก ต้องนอนตัวขดแย่งผ้าห่มกันเลย
พอเก็บของเข้าที่พักเสร็จ หิวสิค่ะ ก็เลยเดินรอบๆโรงแรมไปเจอร้านนึง ดูท่าทางน่าอร่อยและที่สำคัญมีไก่ทอดที่เป็นสัญลักษณ์ของนาโกย่า
จะรอช้าอยู่ใยเข้าไปกันเลยดีกว่า
นี่คือหน้าตาไก่ทอดที่ว่า คือจะบอกว่าอร่อยสมคำล่ำลือ เนื้อกรอบนอกนุ่มใน ถ้าไปห้ามพลาดเด็ดขาด
อิ่มแล้วกลับโรงแรม พรุ่งนี้ สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆรอเราอยู่เพียบ
วันที่ 29 มี.ค. เช้าวันใหม่ในแดนอาทิตย์อุทัย
เช้าๆแบบนี้ต้องหาอะไรรองท้องกันก่อนเดินทาง และตัวช่วยที่ดีที่สุดคือ เซเว่น เลยจ้ามีทุกอย่างราคาก็ไม่แพง
นี่คืออาหารมื้อเช้าเรา สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า และข้าวปั้น
อ่อ!!! จะบอกว่าเซเว่นที่นี่เกือบทุกที่ หรือทุกที่ก็ได้มี wifi ที่แร๊งมาก ถ่ายรูปไปเข้าเซเว่นไปอัพรูปไปสบายใจเชิ๊บ
อิ่มละเดินกันต่อ นาโกย่าเป็นเมืองที่เดินง่ายเพราะสามารถทะลุได้กันหมด เหมือนเป็นบล๊อคสี่เหลี่ยมเดินได้สะดวกมากเลย
เดินไปชมซากุระ ชมวิถีของคนเมืองนี้ เป็นอะไรที่มีความสุขมาก
และแล้วเดินมาสะดุดตรงจุดนึง เป็นตัวชิงช้าติดอยู่กับตัวตึกสวยมาก
ตึกนี้มีชื่อว่า SUNSHINE SAKAE เอาไว้ใช้ดูวิว ถ้าดูตอนกลางคืนคงจะสวยมาก
จากนั้นอยากไปเที่ยวสถานที่เที่ยวเด่นๆของเมืองนี้บ้าง เลยตัดสินใจนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปปราสาทนาโกย่า
มาถึงก็หิวมากๆเลย นี่ก็เที่ยงละหาอะไรกินดีกว่า หน้าปราสาทนาโกย่ามีของขายเยอะมากเลย
มาทั้งทีต้องลองชิมกันหน่อย
ทาโกยากิ ลูกใหญ่มาก
ยากิโซบะ เส้นเหนียวหนึบ รสชาดซอสนี่ฟินจริงๆ
ขนมนี้ จขกท. จำชื่อไม่ได้ แต่อร่อยมากกรอบนอกนุ่มใน เป็นไส้ถั่วแดงร้อนๆ หวานกำลังดี
อิ่มแล้วเข้าไปข้างในตัวปราสาทกันเลยดีกว่า อย่างแรกก็ต้องซื้อตั๋วก่อน นี่เลยหน้าตาเป็นแบบนี้
ประตูทางเข้า
บรรยากาศข้างในเต็มไปด้วยดอกซากุระ มีนักท่องเที่ยวมากมายที่ชมความงดงามของตัวปราสาท
ยิ่งได้เห็นตัวปราสาทชัดๆยิ่งสวยมาก
จากนั้นก็เข้าไปข้างใน ก็จะมีประวัติต่างของปราสาทแห่งนี้ ให้เดินดูเดินชมกัน
พอมาถึงชั้นสูงสุด จะได้เห็นวิว ดังต่อไปนี้
สวยมากๆ สามารถมองได้แบบ 360 องศาเลย
นี่ก็เดินทั่วละ เริ่มหิวอีกแล้ว ได้ยินมาว่าที่นี่ข้าวหน้าปลาไหลเป็นเจ้าตำหรับ ต้องลองซะแล้ว
ออกมาจากวัดก็ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินไป พอมาถึงจุดหมายก็เดินมาอีกนิดหน่อยจะเจอกับ Atsuta Shrine เป็นวัดของที่นี่
ทางเดินไปวัดดังกล่าว
วัดนี้ร่มรื่นมากสองข้างทางจะเต็มไปด้วยต้นไม้ มีความเงียบสงบ ใครที่ชอบวัดแนวนี้ ต้องห้ามพลาดที่นี่เด็ดขาด
เดินออกจากวัดมานิดนึง ก็จะเจอกับร้านขายข้าวหน้าปลาไหล เจ้าเด็ดเจ้าดังของที่นี่
คนต่อคิวกันเยอะมากและในที่สุด เราก็ได้กินจนได้
การกินข้าวหน้าปลาไหลของที่นี่ให้แบ่งเป็นสี่ส่วน
ส่วนที่ 1 กินโดยไม่ใส่อะไรเลยให้ชิมรสชาดแบบดั้งเดิม
ส่วนที่ 2 ใส่เครื่องเคียงคือ สาหร่าย หอมซอย วาซาบิ
ส่วนที่ 3 ใส่แบบข้อ2 แต่ต่างกันตรงที่ใส่น้ำซุปลงไปด้วย ออกแนวเหมือนข้าวต้ม
ส่วนที่ 4 ชอบแบบไหนให้กินแบบนั้น
สำหรับ จขกท. ชอบแบบที่ 2 ที่สุดละ
ที่จริงแล้วอยากจะบอกว่า ดูในรูปเหมือนเล็ก ไม่เลยมันใหญ่มาก คือพอสำหรับ 2 คนกินเลยค่ะ
แต่ด้วยความที่ไม่รู้สั่งมาคนละ 1 ชุด คือพุงกางเลยค่ะ พูดง่ายๆคือยัดเข้าไปกว่าจะหมดก็ใช้เวลาพอสมควร
แต่ด้วยความที่อร่อยก็กินได้เพลินๆค่ะ
ตบท้ายด้วยของหวานอย่าง honey toast ร้านอยู่ใกล้ๆกับ Nagoya TV Tower
อร่อยมาก ราคาไม่แพง และที่สำคัญได้มองวิวสวยๆรอบข้าง ฟินจริงๆ
วันที่ 30 มี.ค.
ที่แรกที่จะไปในวันนี้ก็คือ นี่เลย Nagoya City Science Museum
เป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่มีอะไรให้ทำ ให้ลอง ทันสมัยมากๆ
อย่างแรกก็ต้องซื้อตั๋วก่อน แต่ที่นี่จะดีตรงมีส่วนลดของนักศึกษา จขกท. เลยลองใช้โอกาสนี้นี้ดู
และแล้วก็ใช้ได้จริงๆด้วย เพราะชาวต่างชาติแบบเราก็ใช้สิทธิ์นี้ได้
เข้าไปข้างในเลยดีกว่า
แต่ในการดูข้อมูลต่างๆในพิพิธภัณฑ์ก็ค่อนข้างลำบากเพราะ เกือบ 100% ก็จะเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย
ก็ถือซะว่าเปิดประสบการณ์ได้ดูนวัตกรรมใหม่ๆที่หาดูได้ยากละกันโน๊ะ
ช่วงเย็นๆนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปวัด Osu Kannon ฝนตกปรอยๆ อากาศค่อนข้างหนาว
ที่วัดนี้เป็นวัดที่ใหญ่ และนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเยอะ เพราะไหว้พระเสร็จสามารถเดิน shopping ข้างวัดได้เลย
วัดนี้ขอพรแล้วจะได้สมดั่งใจหวัง (เจ้าของกะทู้ก็ได้รับพรนั้น)
แหล่งช๊อปปิ้งข้างๆวัด
ที่นี่ของราคาค่อนข้างถูกมีร้านทุกอย่าง 100 เยน จขกท.ว่าที่นี่ขาช๊อปห้ามพลาดเด็ดขาด!!