อันดับแรกเลยคือผมไม่มีความรู้ด้านเศรษฐกิจเลย แต่ลองหัดเล่นหุ้นดู
ก็มีพิจารณาหลายอย่าง ทั้งเศรษฐกิจใน-นอกประเทศ ฯลฯ ข่าวก็มีเข้ามาประจำแหละครับ ในกลุ่มไลน์ หรือหน้าวิเคราะห์โบรคฯ
จากที่ผมอ่านบทวิเคราะห์หลายๆที่เริ่มเห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจบ้านเราน่าจะแย่ในเร็วๆนี้(โดยตลาดหุ้นก็ไม่ค่อยไปตามทางเศรษฐกิจที่แท้จริง)
จึงทำให้ผมต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นในการบริหารจัดการพอร์ต
แต่คำถามไม่ได้อยู่ที่กล่าวมาครับ
และจะขอรบกวนไม่แตกประเด็นเรื่องที่ผมกล่าวมาข้างต้นเพื่อที่จะไม่ให้หลงประเด็นครับผม
นี่ครับ เนื้อคำถาม
ผมสงสัยว่าบทวิเคราะห์ทั้งหลายแหล่ที่มองสภาพเศรษฐกิจมหภาค มองเศรษฐกิจโลก มีเครื่องมือค้นคว้าข้อมูลมากมาย จับตาหุ้นได้ทุกกลุ่มอุตสาหกรรม
สามารถวิเคราะห์การขึ้นลงของราคาหุ้นได้อย่าง(เกือบแม่นยำ) คาดการณ์เศรษฐกิจล่วงหน้าได้ถือว่าดี
และมีผู้รู้อีกมากมาย ที่เริ่มเห็นแววของทีท่าเศรษฐกิจบ้านเราที่เริ่มแย่
นี่แหละครับ ผมสงสัยตรงนี้แหละครับ
คนที่เริ่มรู้ตัวก่อนก็คือชาวบ้านที่เริ่มซื้อเริ่มใช้น้อยลง ทำให้ตัวเลขเศรษฐศาสตร์มันลดลง มองภาพเป็นใกล้เข้าภาวะเงินฝืด
ตรงนี้ ผมคิดว่าเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ หรือประชากรปกติธรรมดาในประเทศเริ่มจะปรับตัวรัดเข็มขัดตัวเองกันมากขึ้น
ไม่เว้นแม้แต่พนักงานออฟฟิศ พนักงานบริษัท (ส่วนผมมีรายได้แน่นอนและงานหน้าที่มั่นคง โอกาสโดนไล่ออก หรือปลดพนักงานสำหรับองค์กรผมยากมาก ก็ขอเว้นไว้ในฐานที่เข้าใจว่าผมไม่เดือดร้อนเท่าไหร่กับวิกฤต) พนักงานรายวัน วิศวกรโรงงาน บลาๆๆที่อยู่ในระบบงานอุตสาหกรรม พวกนี้ไม่ยากหรอกครับที่จะเริ่มรัดเข็มขัด เพราะนโยบายบริษัท หรือข่าวภายในบริษัทเรื่องประกาศยกเลิก หรือลดโอที หรือถึงกับขั้นจ้างออกคงทำให้พวกเค้าปรับตัวเร็ว
แต่..
กลุ่มคนอีกจำพวกหนึ่งก็เริ่มไม่ใช้เงิน ต้องเซฟตัวเองแล้วครับ
คนกลุ่มนั้นคือ เกษตรกร ครับ เกษตรกร
จากที่ผมได้สังเกตุหลายๆอย่างในบ้านเรา ตอนนี้กลุ่มคนทุกอาชีพ เค้าเริ่มเก็บเงิน ไม่ใช้เงินกันแล้ว
เทศกาลต่างก็มีคนใช้เงินกันน้อยลง เกษตรกรก็เริ่มใช้เงินน้อยลงแล้ว
คนเหล่านั้นรู้ได้ยังไงครับ ผมเชื่อได้เลยว่าเกือบ 100% ของเกษตรกรไม่มีหรอกครับ มานั่งเฝ้าจอคอม ดูเศรษฐกิจโลกเป็นยังไง ราคาน้ำมัน ราคายางอยู่ที่เท่าไหร่
ไม่เชื่อแน่นอนครับว่าพวกเค้าจะรู้(ไม่ได้ดูถูกนะ ผมก็ใกล้ชิดเกษตรกร แต่พวกแกไม่ได้สนใจหรอกครับ เรื่องพวกนี้ ปลายปีที่หุ้นตกร้อยกว่าจุด ไม่เห็นมีใครพูดอะไรเลย เค้าใช้วิถีชีวิตแบบปกติ)
ทำไมครับทำไม
คนชั้นบน จะรับรู้จากบทวิเคราะห์และการคาดการณ์ต่างๆของโลก นี่ปกติครับที่เค้าจะรู้
คนชั้นกลาง อาจจะรับรู้จากนโยบายบริษัทที่ตัวเองเป็นลูกจ้างอยู่ นี่ก็ปกติครับที่เค้าจะรู้
แต่คนชั้นล่างนี่แหละครับ แปลกมาก เค้าไหวตัวก่อนเลย ทั้งๆที่เค้าก็ไม่ได้สนใจข่าวสารนอกประเทศว่าเศรษฐกิจเป็นยังไง อัตราจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐตอนนี้โอเคหรือยัง เค้าไม่รู้แน่นอนครับ เค้าไม่มีเครื่องมือที่จะวิเคราะห์เศรษฐกิจกันแน่นอน
แต่ผมเชื่อว่าเค้าเป็นผู้ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองทางเศรษฐกิจก่อนเพื่อนเลย ในระหว่างคน 3 เหล่า(ชั้นบน กลาง ล่าง)
แล้วเค้ารู้ได้ยังไงว่าเค้าควรเซฟเงิน แล้วไม่ใช่แค่เซฟคนสองคนนะ
ผมไปร้านอาหารที่ไหน คนก็เงียบ แสดงว่าเค้าเซฟกันโดยทั่วไปไปหมด
ทำไมชาวบ้านธรรมดาๆรู้ได้ยังไงครับว่าตอนนี้ควรจะต้องเซฟเงินแล้ว
บทวิเคราะห์และผู้รู้หลายๆท่านจึงมองเทรนด์ออก ก็เพราะคนจำนวนมากอย่างคนชั้นล่างนี่แหละครับ ที่เป็นตัวทำให้เทรนด์เปลี่ยน
มีใครสงสัยเหมือนผมบ้างมั๊ยครับ?
ชาวบ้านจะรับรู้เศรษฐกิจโลกได้ไวกว่าเราได้ยังไงครับ สงสัยจัง?
ก็มีพิจารณาหลายอย่าง ทั้งเศรษฐกิจใน-นอกประเทศ ฯลฯ ข่าวก็มีเข้ามาประจำแหละครับ ในกลุ่มไลน์ หรือหน้าวิเคราะห์โบรคฯ
จากที่ผมอ่านบทวิเคราะห์หลายๆที่เริ่มเห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจบ้านเราน่าจะแย่ในเร็วๆนี้(โดยตลาดหุ้นก็ไม่ค่อยไปตามทางเศรษฐกิจที่แท้จริง)
จึงทำให้ผมต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นในการบริหารจัดการพอร์ต
แต่คำถามไม่ได้อยู่ที่กล่าวมาครับ
และจะขอรบกวนไม่แตกประเด็นเรื่องที่ผมกล่าวมาข้างต้นเพื่อที่จะไม่ให้หลงประเด็นครับผม
นี่ครับ เนื้อคำถาม
ผมสงสัยว่าบทวิเคราะห์ทั้งหลายแหล่ที่มองสภาพเศรษฐกิจมหภาค มองเศรษฐกิจโลก มีเครื่องมือค้นคว้าข้อมูลมากมาย จับตาหุ้นได้ทุกกลุ่มอุตสาหกรรม
สามารถวิเคราะห์การขึ้นลงของราคาหุ้นได้อย่าง(เกือบแม่นยำ) คาดการณ์เศรษฐกิจล่วงหน้าได้ถือว่าดี
และมีผู้รู้อีกมากมาย ที่เริ่มเห็นแววของทีท่าเศรษฐกิจบ้านเราที่เริ่มแย่
นี่แหละครับ ผมสงสัยตรงนี้แหละครับ
คนที่เริ่มรู้ตัวก่อนก็คือชาวบ้านที่เริ่มซื้อเริ่มใช้น้อยลง ทำให้ตัวเลขเศรษฐศาสตร์มันลดลง มองภาพเป็นใกล้เข้าภาวะเงินฝืด
ตรงนี้ ผมคิดว่าเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ หรือประชากรปกติธรรมดาในประเทศเริ่มจะปรับตัวรัดเข็มขัดตัวเองกันมากขึ้น
ไม่เว้นแม้แต่พนักงานออฟฟิศ พนักงานบริษัท (ส่วนผมมีรายได้แน่นอนและงานหน้าที่มั่นคง โอกาสโดนไล่ออก หรือปลดพนักงานสำหรับองค์กรผมยากมาก ก็ขอเว้นไว้ในฐานที่เข้าใจว่าผมไม่เดือดร้อนเท่าไหร่กับวิกฤต) พนักงานรายวัน วิศวกรโรงงาน บลาๆๆที่อยู่ในระบบงานอุตสาหกรรม พวกนี้ไม่ยากหรอกครับที่จะเริ่มรัดเข็มขัด เพราะนโยบายบริษัท หรือข่าวภายในบริษัทเรื่องประกาศยกเลิก หรือลดโอที หรือถึงกับขั้นจ้างออกคงทำให้พวกเค้าปรับตัวเร็ว
แต่..
กลุ่มคนอีกจำพวกหนึ่งก็เริ่มไม่ใช้เงิน ต้องเซฟตัวเองแล้วครับ
คนกลุ่มนั้นคือ เกษตรกร ครับ เกษตรกร
จากที่ผมได้สังเกตุหลายๆอย่างในบ้านเรา ตอนนี้กลุ่มคนทุกอาชีพ เค้าเริ่มเก็บเงิน ไม่ใช้เงินกันแล้ว
เทศกาลต่างก็มีคนใช้เงินกันน้อยลง เกษตรกรก็เริ่มใช้เงินน้อยลงแล้ว
คนเหล่านั้นรู้ได้ยังไงครับ ผมเชื่อได้เลยว่าเกือบ 100% ของเกษตรกรไม่มีหรอกครับ มานั่งเฝ้าจอคอม ดูเศรษฐกิจโลกเป็นยังไง ราคาน้ำมัน ราคายางอยู่ที่เท่าไหร่
ไม่เชื่อแน่นอนครับว่าพวกเค้าจะรู้(ไม่ได้ดูถูกนะ ผมก็ใกล้ชิดเกษตรกร แต่พวกแกไม่ได้สนใจหรอกครับ เรื่องพวกนี้ ปลายปีที่หุ้นตกร้อยกว่าจุด ไม่เห็นมีใครพูดอะไรเลย เค้าใช้วิถีชีวิตแบบปกติ)
ทำไมครับทำไม
คนชั้นบน จะรับรู้จากบทวิเคราะห์และการคาดการณ์ต่างๆของโลก นี่ปกติครับที่เค้าจะรู้
คนชั้นกลาง อาจจะรับรู้จากนโยบายบริษัทที่ตัวเองเป็นลูกจ้างอยู่ นี่ก็ปกติครับที่เค้าจะรู้
แต่คนชั้นล่างนี่แหละครับ แปลกมาก เค้าไหวตัวก่อนเลย ทั้งๆที่เค้าก็ไม่ได้สนใจข่าวสารนอกประเทศว่าเศรษฐกิจเป็นยังไง อัตราจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐตอนนี้โอเคหรือยัง เค้าไม่รู้แน่นอนครับ เค้าไม่มีเครื่องมือที่จะวิเคราะห์เศรษฐกิจกันแน่นอน
แต่ผมเชื่อว่าเค้าเป็นผู้ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองทางเศรษฐกิจก่อนเพื่อนเลย ในระหว่างคน 3 เหล่า(ชั้นบน กลาง ล่าง)
แล้วเค้ารู้ได้ยังไงว่าเค้าควรเซฟเงิน แล้วไม่ใช่แค่เซฟคนสองคนนะ
ผมไปร้านอาหารที่ไหน คนก็เงียบ แสดงว่าเค้าเซฟกันโดยทั่วไปไปหมด
ทำไมชาวบ้านธรรมดาๆรู้ได้ยังไงครับว่าตอนนี้ควรจะต้องเซฟเงินแล้ว
บทวิเคราะห์และผู้รู้หลายๆท่านจึงมองเทรนด์ออก ก็เพราะคนจำนวนมากอย่างคนชั้นล่างนี่แหละครับ ที่เป็นตัวทำให้เทรนด์เปลี่ยน
มีใครสงสัยเหมือนผมบ้างมั๊ยครับ?