ผมขอเกริ่นเป็นแนวทางสำหรับผู้อ่านก่อนนะครับ
อันเนื่องมาจากเห็นหลายๆคนเขียนรีวิวไปโน่นมานี่เยอะแยะตาแป๊ะไขสือ ผมเลยอยากจะมีรีวิวกับเค้าดูบ้าง อยากจะย้อนเขียนรีวิวท่องเที่ยวในสถานที่ก่อนๆที่เคยไปมามากมาย แต่มันคงไม่ได้ฟิลลิ่งแล้ว เพราะมันผ่านมาซักระยะแล้ว
เมื่อ 12-13 เมษายน 2558 ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปกาญจนบุรี เลยถือกฤษ์ในครั้งนี้เขียนซะเลย เพื่อแม้วันใดกลับมาเปิดอ่านอีกครั้ง จะได้กระตุ้นความรู้สึกเมื่อครั้งวันวาน หรือแชร์ให้เพื่อนได้อ่าน ได้ลองไปดูบ้างนะครับ เพราะผมขอฟันธงได้เลยว่า
“มัน แหล่ม มาก”
ผมขอแนะนำสำหรับคนที่ชอบท่องเที่ยวสัมผัสกับบรรยากาศ รักธรรมชาติ ที่นี่
"บ้านกกอด" มีแหล่งพลังงานมหาศาลให้คุณได้ชาร์ตแบตเตอรี่หัวใจได้เกิน 100% แน่นอนครับ
แต่สำหรับคนที่ชอบความสะดวกสบาย ชอบความหรูหราอลังการงานสร้าง ชอบสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงกลุ่มเพื่อนๆที่จะมาสังสรรค์เฮฮาปาจิงโกะ ก๋งเหล้า ผมว่า.. ดึงหมุดออกจากที่นี่ได้เลยครับ คงไม่เหมาะแน่ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมาเป็นกลุ่มหรือดื่มเหล้าเบียร์ไม่ได้นะครับ เพียงแค่ที่นี่เค้าเน้นความสงบ ดื่มได้เฮฮาได้แต่ต้องอยู่ในความพอดี ไม่รบกวนผู้อื่น หลัง4ทุ่มคืองดทุกกิจกรรมที่ทำให้เกิดเสียงครับ ยกเว้นกิจกรรมบนเตียงทำได้ครับ ผมหมายถึงการนอนกรนนะครับ เพราะบางคน เรื่องนอนกรนอาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ ^^
ทริปนี้ผมไปกับ.. แน่นอนครับ เธอคือแฟนผมเอง เราทั้งสองมีแนวทางการแสวงหาความสุข หรือเรียกได้ว่ามีอุดมการณ์การเสพสุขเป็นจุดหมายเดียวกัน คือการท่องเที่ยวแสวงหาธรรมชาติอันงดงาม ไม่ว่าหนทางจะลำบาก อาจจะมีเพียงแค่ช่องเขา หรือรูแคบๆให้มุดเข้าไป ผมและเธอจะมุดเข้าไปอย่างไม่ลังเลครับ (อันนี้ก็เวอร์ไป๊!!!)
[เธอเรียกให้ผมร่วมเซลฟี่กับเธอทุกๆ 5 นาทีตลอดการเดินทาง ผมล่ะเพลีย

]

6.00 น. ออกเดินทางแต่เข้าตรู่ ณ กทม. ด้วยรถเก๋งติดแก๊ส LPG 1คันกับเรา2คน เป้าหมายแรกที่เราแพลนไว้คือ “ต้นจามจุรียักษ์” ตั้งอยู่ในอำเภอด่านมะขามเตี้ย บ้านกสิกรรม หมู่ 5 ตำบลเกาะสำโรง ผมใช้แอพฯในสมาร์ทโฟน “แผนที่” (GPS นำทาง ระบบแอนดรอย) หรือเราสองคนเรียกกันว่าคุณป้านำทาง (เพราะเสียงบอกให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเสียงเหมือนคนมีอายุ เจ้าของเสียงรู้คงเสียใจ แต่มันคือความจริงครับ) ระหว่างทางก็มีแวะขี้ที่ปั๊มบ้าง แวะกินข้าวบ้าง คุณป้านำทางเราไปจนใกล้ถึง “ต้นจามจุรียักษ์”
เส้นทางใกล้ถึงดูวังเวงมากครับ ณ ตอนนั้นประมาณซักเกือบๆ 10.00 น. ดูจากในแอพฯแผนที่แล้ว สองฝั่งข้างทางเป็นป่าล้วนๆ เป็นถนนเส้นเดียวโดดๆ(ตามความเข้าใจของผม) แต่ทำไมไม่มีรถผ่านมาซักคัน (พาตูไปไหน)..อ่ะ! ไม่เป็นไรใจดีสู้ป้าครับ ผมเชื่อใจคุณป้านำทาง ถึงคุณป้าจะพาผมหลงบ้าง หลอกผมว่ารถติดบ้าง แต่ท่านก็ไม่เคยเงียบ ท่านยังคงส่งเสียงให้ผมเลี้ยวไปเลี้ยวมาจนถึงที่หมายทุกครั้ง (ใครเคยใช้ เจอเหมือนผมแน่นอนครับ) มีช่วงเส้นทางที่เป็นดินแดง ทำให้ผมเหวอไปนิดๆ (เกือบจะถอยหลังกลับไปตั้งหลักใหม่)
แต่เป็นแค่ช่วงถนนสั้นๆ ไม่นานก็ถึงที่หมายนั่นก็คือ
“ต้นจามจุรียักษ์” แวบแรกที่ผมเห็นเจ้าต้นจามจุรียักษ์ ผมรู้สึกถึงความขลัง ความอบอุ่น ความรู้สึกปลอดภัย เนื่องจากภาพที่อยู่ข้างหน้าผมคือ ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยลืมตาดูโลกมา 29ปี ลำต้นที่ใหญ่เท่าคน 10 คนโอบ กิ่งก้านใบ ชะๆใบก้านกิ่ง เฮ้ยไม่ใช่ๆ กิ่งก้านใบที่แตกแขนงออกไปกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างทำให้เกิดร่มเงาใต้ต้นที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยอย่างอธิบายไม่ถูก ศิริอายุ ท่านทวดแห่งเมืองกาญจน์ได้อายุ 150กว่าปี (น้าค้าขายผลไม้แถวๆนั่น กล่าวไว้)
บรรยากาศโดนรวมดูสงบ เพราะนอกจากเราสองคนแล้ว ก็มีแค่นักท่องเที่ยวอีก 3-4คน มาทีถึงหลังผมไม่นาน ในวันนี้ฟ้าไม่เปิดครับ ถึงเป็นโชคร้ายของผม ถ้าเลือกได้ผมขอเลือกแดดจ้าๆดีกว่าฟ้าครึ้มๆ ยอมที่จะทนร้อน เพราะอยากได้ภาพสวยๆ
ระหว่างที่ผมกำลังจะเก็บภาพต้นจามจุรียักษ์ คือต้นมันใหญ่มากทำให้ผมต้องถอยหลังเพื่อให้เก็บภาพต้นไม้ได้เต็มเฟรม แต่ทันใดนั้นเอง สิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น!! ผมได้ยินเสียงคล้ายๆเสียงรอยเท้าสัตว์สี่ขาจำนวนมากค่อยๆดังขึ้นเหมือนกำลังดิ่งเข้ามาหาผม ซึ่งนะก่อนหน้านี้บรรยากาศสงบมาก เสียงนั้นค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ ผมลองตั้งใจฟังให้ชัดจึงรู้ได้ว่าเสียงนั้นมาจากทางด้านหลัง ผมจึงรีบหันหลังไป ทันใดนั้นเอง!!!
แพะคับแพะ ฮ่าๆ ๆ ฝูงแพะจำนวนมากวิ่งมาทางผมโดยมิได้นัดหมาย
มีทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กปะปนกันไป แล้วสิ่งที่ทำให้ผมต้องหัวเราะ และอดยิ้มไม่ได้คือ ท่าวิ่งของมันเหมือนแพะตื่นตูม ท่าวิ่งเหมือนขาไม่มีแรงจะล้มก็ไม่ล้ม แต่ก็ไม่รู้จะรีบวิ่งไปทำไม อธิบายได้แค่นี้ล่ะคับ ฮ่าๆ ๆ เพราะผมไม่ใฃ่แพะ เลยได้แช๊ะภาพกับแพะไป2-3ภาพ
ผมใช้ช่วงเวลาอยู่ใต้ร่มเงาของทวดท่านจามจุรียักษ์ประมาณเกือบ 1 ฃม.
[150 กว่าปีละ ยังสวยอยู่ปิ๊งอยู่เลย]
[เขียนเข้าไปเหอะ ไดอารี่ จะครบร้อยเล่มละ!!]
[FC พี่จา เพิ่งดู Fast7 มาด้วย]
[อะๆ มีแต่ภาพมุมกว้างๆ งั้นซูมให้เห็นใกล้ๆกันบ้าง]
11.00 ออกเดินทางต่อ... ไปไหนดี? ระหว่างทางขาออกจากต้นจามจุรียักษ์ ผ่านถนนเส้นที่เคยเกริ่นไว้ข้างต้นว่ามันดูวังเวง แต่ในอีกแง่มุมนึง(มุมมองคนตุงเต้บแต่ตำเติด) ผมคิดว่าจะมีซักกี่ครั้งที่จะได้เห็นถนนตรงๆ ยาวๆ แต่ไม่มีรถ ไม่มีสิ่งก่อสร้าง และผู้คนมากมาย นอกจาก...
ฉันกับเธอ
ถ่ายรูปรัวๆครับ (ถนนนี้เป็นของเรา) ^^

[ภาพแอบแต่ก]

[เดินไปเดินมา ก็เลยได้ภาพมาแบบนี้]
ขับรถเลยถนน เส้นวังเวงนั้นมาสักพัก ระหว่างทางเรดาร์ของเธอดันจับภาพไปเห็น ฟาง!!! ใช่ครับอ่านไม่ผิดแน่นอนครับ มันคือ ฟาง!!! เท่านั้นแหละครับพี่น้อง พี่ๆ !!!จอดๆๆ!!! แล้วก็อย่างที่เห็นครับ (เหมือนเธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้)
[CR] “บ้านกกกอด” กาญนะจ๊ะ เอ๊ย! กาญจนบุรี แดนสวรรค์ตะวันตก (ทริปสั้นๆ-ฉันกับเธอ)
อันเนื่องมาจากเห็นหลายๆคนเขียนรีวิวไปโน่นมานี่เยอะแยะตาแป๊ะไขสือ ผมเลยอยากจะมีรีวิวกับเค้าดูบ้าง อยากจะย้อนเขียนรีวิวท่องเที่ยวในสถานที่ก่อนๆที่เคยไปมามากมาย แต่มันคงไม่ได้ฟิลลิ่งแล้ว เพราะมันผ่านมาซักระยะแล้ว
เมื่อ 12-13 เมษายน 2558 ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปกาญจนบุรี เลยถือกฤษ์ในครั้งนี้เขียนซะเลย เพื่อแม้วันใดกลับมาเปิดอ่านอีกครั้ง จะได้กระตุ้นความรู้สึกเมื่อครั้งวันวาน หรือแชร์ให้เพื่อนได้อ่าน ได้ลองไปดูบ้างนะครับ เพราะผมขอฟันธงได้เลยว่า “มัน แหล่ม มาก”
ผมขอแนะนำสำหรับคนที่ชอบท่องเที่ยวสัมผัสกับบรรยากาศ รักธรรมชาติ ที่นี่ "บ้านกกอด" มีแหล่งพลังงานมหาศาลให้คุณได้ชาร์ตแบตเตอรี่หัวใจได้เกิน 100% แน่นอนครับ
แต่สำหรับคนที่ชอบความสะดวกสบาย ชอบความหรูหราอลังการงานสร้าง ชอบสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงกลุ่มเพื่อนๆที่จะมาสังสรรค์เฮฮาปาจิงโกะ ก๋งเหล้า ผมว่า.. ดึงหมุดออกจากที่นี่ได้เลยครับ คงไม่เหมาะแน่ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมาเป็นกลุ่มหรือดื่มเหล้าเบียร์ไม่ได้นะครับ เพียงแค่ที่นี่เค้าเน้นความสงบ ดื่มได้เฮฮาได้แต่ต้องอยู่ในความพอดี ไม่รบกวนผู้อื่น หลัง4ทุ่มคืองดทุกกิจกรรมที่ทำให้เกิดเสียงครับ ยกเว้นกิจกรรมบนเตียงทำได้ครับ ผมหมายถึงการนอนกรนนะครับ เพราะบางคน เรื่องนอนกรนอาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ ^^
ทริปนี้ผมไปกับ.. แน่นอนครับ เธอคือแฟนผมเอง เราทั้งสองมีแนวทางการแสวงหาความสุข หรือเรียกได้ว่ามีอุดมการณ์การเสพสุขเป็นจุดหมายเดียวกัน คือการท่องเที่ยวแสวงหาธรรมชาติอันงดงาม ไม่ว่าหนทางจะลำบาก อาจจะมีเพียงแค่ช่องเขา หรือรูแคบๆให้มุดเข้าไป ผมและเธอจะมุดเข้าไปอย่างไม่ลังเลครับ (อันนี้ก็เวอร์ไป๊!!!)
[เธอเรียกให้ผมร่วมเซลฟี่กับเธอทุกๆ 5 นาทีตลอดการเดินทาง ผมล่ะเพลีย
6.00 น. ออกเดินทางแต่เข้าตรู่ ณ กทม. ด้วยรถเก๋งติดแก๊ส LPG 1คันกับเรา2คน เป้าหมายแรกที่เราแพลนไว้คือ “ต้นจามจุรียักษ์” ตั้งอยู่ในอำเภอด่านมะขามเตี้ย บ้านกสิกรรม หมู่ 5 ตำบลเกาะสำโรง ผมใช้แอพฯในสมาร์ทโฟน “แผนที่” (GPS นำทาง ระบบแอนดรอย) หรือเราสองคนเรียกกันว่าคุณป้านำทาง (เพราะเสียงบอกให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเสียงเหมือนคนมีอายุ เจ้าของเสียงรู้คงเสียใจ แต่มันคือความจริงครับ) ระหว่างทางก็มีแวะขี้ที่ปั๊มบ้าง แวะกินข้าวบ้าง คุณป้านำทางเราไปจนใกล้ถึง “ต้นจามจุรียักษ์”
เส้นทางใกล้ถึงดูวังเวงมากครับ ณ ตอนนั้นประมาณซักเกือบๆ 10.00 น. ดูจากในแอพฯแผนที่แล้ว สองฝั่งข้างทางเป็นป่าล้วนๆ เป็นถนนเส้นเดียวโดดๆ(ตามความเข้าใจของผม) แต่ทำไมไม่มีรถผ่านมาซักคัน (พาตูไปไหน)..อ่ะ! ไม่เป็นไรใจดีสู้ป้าครับ ผมเชื่อใจคุณป้านำทาง ถึงคุณป้าจะพาผมหลงบ้าง หลอกผมว่ารถติดบ้าง แต่ท่านก็ไม่เคยเงียบ ท่านยังคงส่งเสียงให้ผมเลี้ยวไปเลี้ยวมาจนถึงที่หมายทุกครั้ง (ใครเคยใช้ เจอเหมือนผมแน่นอนครับ) มีช่วงเส้นทางที่เป็นดินแดง ทำให้ผมเหวอไปนิดๆ (เกือบจะถอยหลังกลับไปตั้งหลักใหม่)
แต่เป็นแค่ช่วงถนนสั้นๆ ไม่นานก็ถึงที่หมายนั่นก็คือ “ต้นจามจุรียักษ์” แวบแรกที่ผมเห็นเจ้าต้นจามจุรียักษ์ ผมรู้สึกถึงความขลัง ความอบอุ่น ความรู้สึกปลอดภัย เนื่องจากภาพที่อยู่ข้างหน้าผมคือ ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยลืมตาดูโลกมา 29ปี ลำต้นที่ใหญ่เท่าคน 10 คนโอบ กิ่งก้านใบ ชะๆใบก้านกิ่ง เฮ้ยไม่ใช่ๆ กิ่งก้านใบที่แตกแขนงออกไปกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างทำให้เกิดร่มเงาใต้ต้นที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยอย่างอธิบายไม่ถูก ศิริอายุ ท่านทวดแห่งเมืองกาญจน์ได้อายุ 150กว่าปี (น้าค้าขายผลไม้แถวๆนั่น กล่าวไว้)
บรรยากาศโดนรวมดูสงบ เพราะนอกจากเราสองคนแล้ว ก็มีแค่นักท่องเที่ยวอีก 3-4คน มาทีถึงหลังผมไม่นาน ในวันนี้ฟ้าไม่เปิดครับ ถึงเป็นโชคร้ายของผม ถ้าเลือกได้ผมขอเลือกแดดจ้าๆดีกว่าฟ้าครึ้มๆ ยอมที่จะทนร้อน เพราะอยากได้ภาพสวยๆ
ระหว่างที่ผมกำลังจะเก็บภาพต้นจามจุรียักษ์ คือต้นมันใหญ่มากทำให้ผมต้องถอยหลังเพื่อให้เก็บภาพต้นไม้ได้เต็มเฟรม แต่ทันใดนั้นเอง สิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น!! ผมได้ยินเสียงคล้ายๆเสียงรอยเท้าสัตว์สี่ขาจำนวนมากค่อยๆดังขึ้นเหมือนกำลังดิ่งเข้ามาหาผม ซึ่งนะก่อนหน้านี้บรรยากาศสงบมาก เสียงนั้นค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ ผมลองตั้งใจฟังให้ชัดจึงรู้ได้ว่าเสียงนั้นมาจากทางด้านหลัง ผมจึงรีบหันหลังไป ทันใดนั้นเอง!!! แพะคับแพะ ฮ่าๆ ๆ ฝูงแพะจำนวนมากวิ่งมาทางผมโดยมิได้นัดหมาย
มีทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กปะปนกันไป แล้วสิ่งที่ทำให้ผมต้องหัวเราะ และอดยิ้มไม่ได้คือ ท่าวิ่งของมันเหมือนแพะตื่นตูม ท่าวิ่งเหมือนขาไม่มีแรงจะล้มก็ไม่ล้ม แต่ก็ไม่รู้จะรีบวิ่งไปทำไม อธิบายได้แค่นี้ล่ะคับ ฮ่าๆ ๆ เพราะผมไม่ใฃ่แพะ เลยได้แช๊ะภาพกับแพะไป2-3ภาพ
ผมใช้ช่วงเวลาอยู่ใต้ร่มเงาของทวดท่านจามจุรียักษ์ประมาณเกือบ 1 ฃม.
[150 กว่าปีละ ยังสวยอยู่ปิ๊งอยู่เลย]
[เขียนเข้าไปเหอะ ไดอารี่ จะครบร้อยเล่มละ!!]
[FC พี่จา เพิ่งดู Fast7 มาด้วย]
[อะๆ มีแต่ภาพมุมกว้างๆ งั้นซูมให้เห็นใกล้ๆกันบ้าง]
11.00 ออกเดินทางต่อ... ไปไหนดี? ระหว่างทางขาออกจากต้นจามจุรียักษ์ ผ่านถนนเส้นที่เคยเกริ่นไว้ข้างต้นว่ามันดูวังเวง แต่ในอีกแง่มุมนึง(มุมมองคนตุงเต้บแต่ตำเติด) ผมคิดว่าจะมีซักกี่ครั้งที่จะได้เห็นถนนตรงๆ ยาวๆ แต่ไม่มีรถ ไม่มีสิ่งก่อสร้าง และผู้คนมากมาย นอกจาก... ฉันกับเธอ
ถ่ายรูปรัวๆครับ (ถนนนี้เป็นของเรา) ^^
[ภาพแอบแต่ก]
[เดินไปเดินมา ก็เลยได้ภาพมาแบบนี้]
ขับรถเลยถนน เส้นวังเวงนั้นมาสักพัก ระหว่างทางเรดาร์ของเธอดันจับภาพไปเห็น ฟาง!!! ใช่ครับอ่านไม่ผิดแน่นอนครับ มันคือ ฟาง!!! เท่านั้นแหละครับพี่น้อง พี่ๆ !!!จอดๆๆ!!! แล้วก็อย่างที่เห็นครับ (เหมือนเธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้)
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น