เรียนสอบถาม ท่านสมาชิกทุกๆท่านค่ะ (ยืม ไอดี น้องมาพิมพ์ค่ะ )
ดิฉันมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต ที่ค่อนข้างหาทางออกไม่ได้ค่ะ ปรึกษาทนายความแล้ว ก็ให้คำตอบที่ไม่เหมือนกันสักคนค่ะ โอกาสนี้ดิฉันขออาศัยท่านสมาชิก เมตตาช่วยเหลือ ให้ความรู้ดิฉันในเรื่องต่อไปนี้ด้วยค่ะ
ดิฉันและสามี แต่งงานจดทะเบียนสมรสกัน อยู่กินกันมาหลายปีค่ะ ต่อมาเราทั้งสอง ได้ร่วมกัน กู้ซื้อบ้าน 1 หลัง วงเงินกู้ 2,900,000 บาท (สองล้านเก้าแสนบาทถ้วน) กับธนาคารของรัฐแห่งหนึ่งค่ะ

เป็นการกู้ร่วมกัน โดยเป็นการชำระหนี้ด้วยตนเอง ไม่มีการหักเงินเดือนส่งธนาคาร หรือเรียกว่า กู้ลูกค้ารายย่อยทั่วไป ค่างวดอยู่ที่เดือนละ 19,500 บาท
โดยชื่อผู้จำนองหลังโฉนดที่ดิน ระบุเป็น ดิฉันและสามี เป็นผู้ร่วมจำนองด้วยกัน

หลังจากนั้นประมาณ 1 ปี ดิฉันและสามีมีปัญหากัน ดิฉันจึงตัดสินใจขอหย่า (เราทั้งสองไม่ได้มีลูกด้วยกันค่ะ) โดยในข้อความบันทึกการหย่านั้น ได้ระบุ ถึงเรื่องภาระหนี้สินสมรสที่มีว่า

ปัจจุบันเขาก็ไปมีชีวิตใหม่ ส่วนดิฉัน ก็ก้มหน้าก้มตาหาเงินใช้หนี้คนเดียว ซึ่งหนักมากๆค่ะ เดือนหนึ่ง 19,500 บาท แต่ดิฉันก็ส่งดีตลอดค่ะ แม้หลังหย่ามาแล้ว 3 ปี ก็ส่งทุกเดือนไม่เคยขาดส่งงวดธนาคารเลย
ดิฉันเคยไปติดต่อขอยื่นเอกสารเปลี่ยนกรรมสิทธิ์เป็นชื่อดิฉันคนเดียว แต่ทางธนาคารปฏิเสธค่ะ อ้างว่า รายได้ดิฉันไม่เพียงพอกับการจะรับหนี้ในชื่อดิฉันคนเดียวได้ ทั้งๆที่ดิฉัน ก็อธิบายและยื่นหลักฐานการหย่าให้ดูว่า ตั้งแต่หย่ามาแล้ว ดิฉันรับภาระส่งคนเดียวมาหลายปี ก็ยังมีความสามารถส่งได้ แต่ยังไงก็ตาม ธนาคารก็ไม่ยินยอม และบอกว่า ถ้าจะรับภาระหนี้คนเดียว ดิฉันจะต้องมีรายได้ 60,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป จึงจะรับพิจารณา ดิฉันได้แต่ท้อใจค่ะ
ประเด็นที่สำคัญ ที่ทำให้ดิฉันต้องทุกข์ใจคือ
1. อดีตสามีดิฉันแต่งงานใหม่แล้วอย่างรวดเร็ว และเมื่อเขาได้คนใหม่ ความคิดก็เปลี่ยนใหม่ เคยมีญาติๆเขามาเล่าให้ฟังว่า บ้านหลังที่ดิฉันผ่อนอยู่ ก็ยังคงเป็นของเขา ถ้าเขาไม่โอนให้ ยังไง ดิฉันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
2. ได้ยินมาว่า ภรรยาใหม่ของเขา ได้พูดว่า ถ้าดิฉันผ่อนหนี้หมดแล้ว จะไม่โอนให้ดิฉันง่ายๆ จะต้องได้รับสิทธิ์จากบ้านและที่ดินผืนนี้ด้วย ครึ่งหนึ่ง
3. ตอนที่ทำสินเชื่อบ้าน ธนาคารได้ให้ทำประกันชีวิตคุ้มครองหนี้ ดิฉันให้สามีเป็นคนทำคนเดียว ตอนที่ยังรักกันดี ผู้รับผลประโยชน์จากกรมธรรม์เป็นชื่อดิฉันค่ะ แต่พอหย่ากัน เขาไปเปลี่ยนแปลงดิฉันออกทันทีค่ะ (ทั้งที่ดิฉันเป็นคนส่งบ้านหลังนี้คนเดียว )
4. การชำระเงินกู้ ดิฉันเก็บใบเสร็จไว้เป็นอย่างดี ทุกๆเดือน
ดิฉันจึงขอเรียนถามว่า ดิฉันจะทำอย่างไรค่ะ ดิฉันต้องหาเงินด้วยความยากลำบาก เลี้ยงแม่ และส่งบ้าน ถ้าวันหนึ่งดิฉันส่งบ้านหมดแล้ว , หากอดีตคนนั้น ไม่ยินยอมเซ็นต์โอนกรรมสิทธิ์ให้กับดิฉัน แล้วดิฉันจะสามารถทำอย่างไรได้บ้างค่ะ เพราะถามธนาคาร ฝ่ายสินเชื่อก็บอกว่า ต้องได้รับการยินยอมเซนต์ โอนจากเขาเท่านั้นจึงจะสามารถโอนให้ดิฉันคนเดียวได้ค่ะ , แล้วใบข้อตกลงที่ ตกลงกันที่ว่าการอำเภอต่อหน้าท่านปลัดอำเภอเซนต์เป็นพยานจะสามารถใช้ทำอะไรได้ไหม , ปรึกษาทนายความก็ตอบไม่เหมือนกันสักท่านเลยค่ะ
ทุกวันนี้ดิฉัน รู้สึกท้อแท้มากๆ ผ่อนบ้านแต่ละเดือน ก็ต้องคิดแต่ว่า สักวันหนึ่งหมดหนี้ แล้วไม่รู้จะได้ครอบครองสิทธิ์ 100 % หรือไม่ กฎหมายของไทย จะยุติธรรมกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหรือไม่ค่ะ
ถ้าหากว่าดิฉันผ่อนหนี้หมดแล้ว .อดีต?? ไม่ยอมเซนต์โอนกรรมสิทธิ์ให้ ดิฉันจะสามารถขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานไหนได้ค่ะ อยากขอให้ท่านผู้รู้ข้อมูล ได้โปรดเมตตา ให้ข้อมูลดิฉันด้วยค่ะ
ทุกข์ใจมากค่ะ หนี้สินหลังการหย่า จะมีผลบังคับอย่างไรค่ะ เมื่อดิฉันรับภาระคนเดียวแล้ว
ดิฉันมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต ที่ค่อนข้างหาทางออกไม่ได้ค่ะ ปรึกษาทนายความแล้ว ก็ให้คำตอบที่ไม่เหมือนกันสักคนค่ะ โอกาสนี้ดิฉันขออาศัยท่านสมาชิก เมตตาช่วยเหลือ ให้ความรู้ดิฉันในเรื่องต่อไปนี้ด้วยค่ะ
ดิฉันและสามี แต่งงานจดทะเบียนสมรสกัน อยู่กินกันมาหลายปีค่ะ ต่อมาเราทั้งสอง ได้ร่วมกัน กู้ซื้อบ้าน 1 หลัง วงเงินกู้ 2,900,000 บาท (สองล้านเก้าแสนบาทถ้วน) กับธนาคารของรัฐแห่งหนึ่งค่ะ
เป็นการกู้ร่วมกัน โดยเป็นการชำระหนี้ด้วยตนเอง ไม่มีการหักเงินเดือนส่งธนาคาร หรือเรียกว่า กู้ลูกค้ารายย่อยทั่วไป ค่างวดอยู่ที่เดือนละ 19,500 บาท
โดยชื่อผู้จำนองหลังโฉนดที่ดิน ระบุเป็น ดิฉันและสามี เป็นผู้ร่วมจำนองด้วยกัน
หลังจากนั้นประมาณ 1 ปี ดิฉันและสามีมีปัญหากัน ดิฉันจึงตัดสินใจขอหย่า (เราทั้งสองไม่ได้มีลูกด้วยกันค่ะ) โดยในข้อความบันทึกการหย่านั้น ได้ระบุ ถึงเรื่องภาระหนี้สินสมรสที่มีว่า
ปัจจุบันเขาก็ไปมีชีวิตใหม่ ส่วนดิฉัน ก็ก้มหน้าก้มตาหาเงินใช้หนี้คนเดียว ซึ่งหนักมากๆค่ะ เดือนหนึ่ง 19,500 บาท แต่ดิฉันก็ส่งดีตลอดค่ะ แม้หลังหย่ามาแล้ว 3 ปี ก็ส่งทุกเดือนไม่เคยขาดส่งงวดธนาคารเลย
ดิฉันเคยไปติดต่อขอยื่นเอกสารเปลี่ยนกรรมสิทธิ์เป็นชื่อดิฉันคนเดียว แต่ทางธนาคารปฏิเสธค่ะ อ้างว่า รายได้ดิฉันไม่เพียงพอกับการจะรับหนี้ในชื่อดิฉันคนเดียวได้ ทั้งๆที่ดิฉัน ก็อธิบายและยื่นหลักฐานการหย่าให้ดูว่า ตั้งแต่หย่ามาแล้ว ดิฉันรับภาระส่งคนเดียวมาหลายปี ก็ยังมีความสามารถส่งได้ แต่ยังไงก็ตาม ธนาคารก็ไม่ยินยอม และบอกว่า ถ้าจะรับภาระหนี้คนเดียว ดิฉันจะต้องมีรายได้ 60,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป จึงจะรับพิจารณา ดิฉันได้แต่ท้อใจค่ะ
ประเด็นที่สำคัญ ที่ทำให้ดิฉันต้องทุกข์ใจคือ
1. อดีตสามีดิฉันแต่งงานใหม่แล้วอย่างรวดเร็ว และเมื่อเขาได้คนใหม่ ความคิดก็เปลี่ยนใหม่ เคยมีญาติๆเขามาเล่าให้ฟังว่า บ้านหลังที่ดิฉันผ่อนอยู่ ก็ยังคงเป็นของเขา ถ้าเขาไม่โอนให้ ยังไง ดิฉันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
2. ได้ยินมาว่า ภรรยาใหม่ของเขา ได้พูดว่า ถ้าดิฉันผ่อนหนี้หมดแล้ว จะไม่โอนให้ดิฉันง่ายๆ จะต้องได้รับสิทธิ์จากบ้านและที่ดินผืนนี้ด้วย ครึ่งหนึ่ง
3. ตอนที่ทำสินเชื่อบ้าน ธนาคารได้ให้ทำประกันชีวิตคุ้มครองหนี้ ดิฉันให้สามีเป็นคนทำคนเดียว ตอนที่ยังรักกันดี ผู้รับผลประโยชน์จากกรมธรรม์เป็นชื่อดิฉันค่ะ แต่พอหย่ากัน เขาไปเปลี่ยนแปลงดิฉันออกทันทีค่ะ (ทั้งที่ดิฉันเป็นคนส่งบ้านหลังนี้คนเดียว )
4. การชำระเงินกู้ ดิฉันเก็บใบเสร็จไว้เป็นอย่างดี ทุกๆเดือน
ดิฉันจึงขอเรียนถามว่า ดิฉันจะทำอย่างไรค่ะ ดิฉันต้องหาเงินด้วยความยากลำบาก เลี้ยงแม่ และส่งบ้าน ถ้าวันหนึ่งดิฉันส่งบ้านหมดแล้ว , หากอดีตคนนั้น ไม่ยินยอมเซ็นต์โอนกรรมสิทธิ์ให้กับดิฉัน แล้วดิฉันจะสามารถทำอย่างไรได้บ้างค่ะ เพราะถามธนาคาร ฝ่ายสินเชื่อก็บอกว่า ต้องได้รับการยินยอมเซนต์ โอนจากเขาเท่านั้นจึงจะสามารถโอนให้ดิฉันคนเดียวได้ค่ะ , แล้วใบข้อตกลงที่ ตกลงกันที่ว่าการอำเภอต่อหน้าท่านปลัดอำเภอเซนต์เป็นพยานจะสามารถใช้ทำอะไรได้ไหม , ปรึกษาทนายความก็ตอบไม่เหมือนกันสักท่านเลยค่ะ
ทุกวันนี้ดิฉัน รู้สึกท้อแท้มากๆ ผ่อนบ้านแต่ละเดือน ก็ต้องคิดแต่ว่า สักวันหนึ่งหมดหนี้ แล้วไม่รู้จะได้ครอบครองสิทธิ์ 100 % หรือไม่ กฎหมายของไทย จะยุติธรรมกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหรือไม่ค่ะ
ถ้าหากว่าดิฉันผ่อนหนี้หมดแล้ว .อดีต?? ไม่ยอมเซนต์โอนกรรมสิทธิ์ให้ ดิฉันจะสามารถขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานไหนได้ค่ะ อยากขอให้ท่านผู้รู้ข้อมูล ได้โปรดเมตตา ให้ข้อมูลดิฉันด้วยค่ะ