หนังสือเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน

กระทู้สนทนา
งานสัปดาห์หนังสือครั้งที่ 43 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ แม้ว่าจะได้ไปร่วมงานแค่ไม่นาน ทั้งในฐานะนักเขียนเองหรือว่าในฐานะนักอ่านก็รู้สึกดีใจที่มีคนไทยที่หลงใหลในตัวหนังสือมากขนาดนี้ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่มากันอย่างเนืองแน่น เห็นแล้วก็รู้สึกแย้งในใจว่าที่เคยได้ยินมาว่าคนไทยอ่านหนังสือไม่เกินปีละ 8 บรรทัดนั้นคงไม่เป็นจริงซะทั้งหมด เชื่อว่าคนที่มางานเหล่านี้คงจะทำให้ตัวเลขค่าเฉลี่ยสูงขึ้นพอสมควร

ในฐานะนักเขียนก็ไม่มีอะไรนอกจากความร็สึกแปลกใหม่ที่หนังสือตัวเองวางบนแผง ส่วนฐานะนักอ่านที่เป็นมานานแล้วยังรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ไปเดินหาหนังสือใหม่ๆ ติดตามผลงานของนักเขียนในดวงใจหลายๆคน ได้พบเจอพูดคุยและขอลายเซ็น (แหะๆ) สุดท้ายก็หอบหนังสือกลับบ้านมาปีหนึ่งๆก็ไม่ต่ำกว่าสิบยี่สิบเล่ม อ่านกันยันงานหนังสือครั้งต่อไป

แต่ความจริงอันน่าเศร้า หนังสือบางเล่มที่ซื้อมา ถูกจัดวางไว้บนชั้น รอให้มาหยิบอ่าน หวังว่าพรุ่งนี้จะถึงคิวของตัวเองสักที จนแล้วจนเล่า สุดท้ายงานหนังสือครั้งใหม่ก็เวียนมาอีกครั้งพร้อมหนังสือเพิ่มอีกหลายสิบเล่ม โศกนาฏกรรมของหนังสือเล่มเก่าที่ไม่เคยถูกเลือกช่างอ้างว้างและโดดเดี่ยว
เมื่อวันก่อนได้ไปอ่านข้อความของรุ่นน้องคนหนึ่งที่เขียนเปรียบเปรยคนรักกับหนังสือที่ตัวเองอ่าน เขียนได้ดีจนทำให้ผมคิดถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่บนชั้นวางที่มักจะถูกลืมอยู่เสมอ

เขาบอกว่าหนังสือเล่มแรกปกสวยชื่อเพราะตรงกับที่เราต้องการ แต่อ่านไปได้ไม่กี่ตอนก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่จนสุดท้ายเสียดายที่ซื้อมาครอบครองแล้ว เล่มที่สองชื่อก็เพราะปกก็สวยเหมือนกันเนื้อหาก็งั้นๆแต่ก็พยายามอ่านจนจบ อ่านซ้ำอีกครั้งหวังว่าความรักชอบจะเกิดขึ้นเพราะความเคยชิน แต่สุดท้ายก็ยังเหมือนเดิม ส่วนหนังสือเล่มที่สามชื่อหรือปกไม่ตรงใจ แต่เนื้อหามันใช่ อ่านแล้วสนุกรู้สึกเป็นตัวเองจนวางไม่ลง แต่ก็น่าเสียดายที่หนังสือนั้นไม่ได้มีไว้ขาย เป็นเล่มสุดท้ายและมีคนจองมัดจำไว้ก่อนแล้ว

หนังสือถูกเปรียบเทียบกับมนุษย์อยู่บ่อยครั้ง คงเป็นเพราะแก่นแท้สิ่งสำคัญของหนังสือเล่มนั้นอยู่ข้างในเฉกเช่นเดียวกันกับความดีงามของเราทุกคน แต่ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์อีกนั้นแหละที่เกิดมาพร้อมสองตาที่คอยมองหาสิ่งที่ถูกหัวใจดวงน้อยๆ และเป็นประจำที่สิ่งสวยงามประกายวิบวับมักล่อตาลวงใจ แต่สุดท้ายน้อยนักที่สะท้อนสิ่งที่ตัวเองเป็นจริงๆเหมือนอย่างหนังสือปกสวยที่อ่านได้ไม่กี่บทก็ต้องวางลง

คำถามที่รุ่นน้องของผมทิ้งเอาไว้ตอนท้ายของบทความถามว่าคนอ่านเคยเจอหนังสือแบบไหนมาบ้างแล้วมีแบบอื่นอีกรึเปล่า

ในใจผมตอบไปว่าเคยเจอมาทุกแบบเลยทีเดียวในหลายช่วงของชีวิต ร้องไห้เสียใจมาก็บ่อยครั้งเล่าให้ใครฟังก็ดูรันทดจนหดหู่ แต่ภายหลังพายุมักมีสิ่งสวยงาม หลังน้ำตาแห่งความเศร้าแห้งเหือดก็รู้สึกขอบคุณทุกบทเรียนที่เกิดขึ้น เพราะช่วงเวลาที่เงียบสงบไร้หนังสือเล่มอื่นให้วุ่นวายใจนั้น มักจะเป็นโอกาสดีที่เดินตัวเบาโหวงเหวงไปมองหาอะไรอ่านเพื่อไม่ให้ตัวเองจมทุกข์ไปมากกว่าเดิม ควานหาหนังสือเล่มที่ไม่เคยได้อ่านลงชั้นมาปัดฝุ่นดูข้างใน อาจจะถึงเวลาที่ได้อ่านหนังสือชื่อเรื่องน่าเบื่อที่เรียกว่า "ตัวเราเอง" อีกสักครั้งหลังจากโดนคั่นเวลาเพราะมัวแต่ไปอ่านหนังสือเล่มอื่น ได้เรียนรู้เข้าใจเนื้อหาแท้ๆของมันสักที
บางทีถ้าอ่านเล่มนี้จบอาจจะรู้ทางว่าจริงๆแล้วตัวเองเหมาะกับหนังสือประเภทไหน แนวโรแมนซ์แฟนตาซี ลึกลับซับซ้อน แนวปรัชญา ท่องเที่ยว หรือแม้แต่ประวัติศาสตร์

ให้ตอบคำถามรุ่นน้องว่ามีหนังสือแบบอื่นอีกรึเปล่า?
ผมก็คงตอบว่ามี แต่ทางที่ดีอย่ารีบหามาอ่าน ถ้ายังบอกไม่ได้ว่าตัวเองอยากได้หนังสือแบบไหนกันแน่

ในมุมของคนอ่านก็คงเสียทั้งเวลาเลือกและเสียเวลาอ่านแต่ในมุมของหนังสือก็คงจะเสียความรู้สึกไม่แพ้กัน

ถ้าผมเป็นหนังสือสักเล่มหนึ่งก็คงจะอยากให้คนที่เป็นเจ้าของค่อยๆอ่านไปทีละหน้า เริ่มตั้งแต่ชื่อเรื่อง ดูรูปปก คำนำ คำนิยม บทแรก บทสอง ... ไปจนบทสุดท้าย ข้อแม้เดียวมีอยู่ว่าต้องอ่านเล่มเดียวไปทั้งชีวิต ทนอ่านไปแม้จะน่าเบื่อบ้างบางตอน

คาดว่า...หนังสือทุกเล่มก็คงคิดไม่ต่างกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่