ผมจะบอกเพื่อนยังไงดี ไม่ให้เสียเพื่อน ว่าผมอยากอยู่คนเดียว

ก่อนอื่นเลย ต้องบอกว่า ไม่เคยตั้งกระทู้ใดๆเลย เคยสมัครทิ้งไว้ เขามาเล่นบ้าง จนวันนี้มีเรื่องอยากจะปรึกษา ผม เขียน งงๆ พยายามเข้าใจผมด้วย

        คือเรื่องมีอยู่ว่า ผมกับเพื่อนเรียนจบ และเริ่มหางานทำงาน ครั้งแรกเผอิญได้ทำงานที่เดียวกัน จึงหาห้องพักห้องดียวกัน  เพราะเป้นครั้งแรกที่จะต้องทำงาน ต้นทุนต่างๆ ก็ยังไม่มี จึงพักด้วยกัน มันจะได้ประหยัดไปหลายๆทาง  ผมเป้นผู้ชายนะครับ ส่วนเพื่อนเป็นผู้หญิง เรารู้จักกันมาสมัย มัธยมแล้ว สนิทจิงจัง เมื่อตอนมหาลัย เราอยู่คนละมหาวิทยาลัยนะครับแต่ ก็อยู่ใกล้ๆกัน ไปไหนมาไหน ด้วยกัน กลุ่มเพื่อนเดียวกัน แรกๆที่อยู่ด้วยกันก็โอเคนะ  ด้วยความที่ผม เคยอยู่คนเดียวมาก่อน พอมีคนมาอยู่ด้วย ก็รู้สึกแปลกๆ แต่ก็รู้สึกว่าไม่ได้อึดอัดอะไร เราอยู่ด้วยกัน มาประมาณ 6 เดือนเศษๆ เราทำงาน โรงแรมครับ เป็นพนักงานตอนรับ ตอนนั้น จบใหม่ งานอะไรที่ได้เราก็ทำหมดเลย  เข้าเป็นกะด้วย ส่วนมากเวลาไม่ค่อยตรงกัน เข้างานไม่ตรงกัน กลับห้องบางที อีกคนนอนแล้วเรา พึ่งกลับ นิสัยส่วนตัวของผมเป้นคน ไม่เรื่องมาก อะไรก็ได้ ผมเป้นคนไม่ค่อยพูด อะไรที่ทนได้ ก็คิดว่า ช่างยิ้มตลอด แต่เพื่อนผมเป้นคนที่ จะออกแนว โกรธง่าย เอาใจตัวเอง แต่ก็เป็นคนที่ถึงไหนถึงกัน ชอบช่วยเหลือ แต่มักจะทำสีหน้า หรือ ทำอารมณ์หงุดหงิด ใส่ผมบ่อย เวลาไม่พอใจ ซึ่งผมก็เฉยๆ และเงียบๆไป เดี๋ยวก็กลับมาดีกันเหมือนเดิม
      ที่ทำงานที่โรงแรม ก็สนุกดีครับ พี่ที่ร่วมงานก็โอเคนะ อยุ่มาก็สนิทกันทุกคน  ทั้งผมและเพื่อนสนิทกับทุกคน จะมีบางคนที่ไม่ค่อยชอบ เราก็เฉยๆ  จนวันหนึ่ง พี่ที่เราสนิทด้วย เขาเหมือนจะดูแปลกๆ คือไม่ค่อยพูดกับเพื่อนผม ซึ่งเพื่อนผมเป้นคนที่ไม่สนโลกอยู่แล้ว คือถ้าใครไม่คุยด้วย เธอก็จะไม่คุย เหมือนประมาณว่า เธอไม่คุยกับฉันฉันก็ไม่จำเป้นต้องคุย ทั้งที่ทั้งสองคน ไม่ได้มีเรื่องผิดใจกันมาก่อน ซึ่งนิสัยเพื่อนผม หากโดนแบบนี้  เธอจะคิดว่าเธอไม่ได้ผิดและเธอจะชักสีหน้าใส่ คนที่เธอเริ่มไม่ชอบ จนกลายเป็นเกลียดกัน กับพี่ที่ร่วมงาน เธอจึงชวนผมหางานใหม่  ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับใคร และผมก็เข้าใจดีว่า ทั้งสองไม่ได้มีเรื่องอะไรที่จะต้องโกรธกัน  แต่นั้นแหล่ะ ผมต้องไปส่งเธอหางานใหม่ เราอ้างป่วย ทั้งคู่ไปหางาน
     พอดีมีเพื่อนเราแนะนำว่า มีตำแหน่งงานว่างที่บริษัทเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง เราจึงไปสมัคร กัน ผมไปส่งเพื่อนและเผอิญมี ตำแหน่งที่ผมสนใจ ผมจึงกรอกใบสมัครทิ้งไว้ด้วย  ผ่านมาอีก 5 วัน ทางบริษัท โทรเข้ามาหาผม ให้เรียกไปสัมภาษณ์ และผม ผ่านการสัมภาษณ์  ได้เริ่มงานอีก 3 วัน ผมคิดอยู่นาน และตัดสินใจเลือกที่ทำงานใหม่   ผมเดาไม่ถูกนะ ว่าเพื่อนผมรู้สึกยังไง ผมทำงานเกี่ยวกับ คน สรรหา ไรประมาณนี่ ผมเริ่มทำงานที่ใหม่ ผมก็พยายาม ดึงเพื่อน เข้ามา หลายต่อหลายครั้ง เธอมา สัมภาษณ์งาน ถึง 5 ครั้ง แต่ ทุกครั้งเธอก็ไม่ผ่านการสัมภาษณ์งาน  ทางผู้สัมภาษณ์แจ้งว่า เธอบุคคลิดูไม่เข้าสังคมบ้าง เธอเกรดน้อยบ้าง ซึ่งผมพยายามบอกเธอตลอด แต่เธอก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยรับฟัง
ผมทำงานที่ใหม่ แต่พักอยู่ที่เดิม ซึ่งมันไกลนะ ผมจึงบอกเธอว่า ผมอยากได้หอพักใหม่ ใกล้ที่ทำงาน ซึ่งขณะนั้นเธอทำงานที่เดิมอยู่ อยุ่ที่ โรงแรม เธอรู้สึกไม่แฮปปี้ เพราะเธอต้องทำงานกับคนที่เธอไม่ชอบไปเสียแล้ว  เธอจึงแจ้งลาออก เพราะคิดว่า ต้องได้ทำงานที่ใหม่ ที่บริษัทเดียวกับผม ซึ่งอย่างที่พูดไป เธอไม่ผ่านการสัมภาษณ์เลย  พอครบกำหนดลาออก  เราตกลงกันว่าจะไปหาหอในราคาที่สุงขึ้น และน่าจะอยู่สบายทั้งคู่ ซึ่งขณะนั้นเธอยังไม่ได้งาน เราย้ายหอพักในช่วงปีใหม่ต้นปีเลยครับ  พอย้ายมาได้สัก 3 วัน เธอก็ทำท่าทีจะไปหางาน ที่ กทม บ้าง ผมก็เข้าใจ นะ และเธอก็ไป แต่ก็กลับมา เพราะงานที่เธอสมัครไป กับงานที่เธอได้ทำ มันเป้นงานขายประกัน ซึ่งเธอไม่ชอบ เธอกลับมาที่ จังหวัดเดิม และขอกลับไปอยู่บ้าน สักพัก ละหางานด้วย ผ่านไปหนึ่งเดือน ครบกำหนดชำระค่าห้อง  เธออยู่ห้องได้ไม่ถึง 10 วัน ผมเข้าใจนะว่าไม่มีงาน แต่เราตกลงกันแล้วว่าเช่าห้องด้วยกัน สิ้นเดือนมาผมจึงดทรไปบอกว่า ค่าห้องมาแล้วนะ เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆว่า จ่ายไปก่อนนะ เดียวโอนให้ ซึ่งผมก็เข้าใจและบอกว่า เดียวค่าน้ำค่าไฟ เราออกเอง แชร์ค่าห้องก็พอ  เธอก็ตอบโอเค แต่ไม่ทันจะวางสาย เธอก็บอกว่า จะขอออกจากห้องพัก เพราะไม่มีงาน  ผมเข้าใจนะ ว่าไม่มีงาน จึงไม่เงิน แต่เราตกกันแล้วนะว่าเช้าห้องด้วยกัน เงินเดือนผมที่ได้ระหว่างทดลองงาน มันก็ไม่ได้สูงอะไรเลย แถมยังมีหักค่าประกันการทำงานอีกในแต่ละเดือน ผมก็ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายค่าห้องเพียงคนเดียว ซึ่งผมก็รู้สึกนิดนึงว่า น่าจะมีความรับผิดชอบกว่านี้ บอกปุ๊บปั๊บ ผมก็ตั้งตัวไม่ทัน เพราะ ค่ามัดจำที่จ่ายไปก็ 6800 ถ้าจะออกจากห้องพัก แบบได้เงินประกันคืน ต้องครบ 5 เดือนขึนไป  แล้วเธอก็อยู่บ้าน ผมและเพื่อนๆ ต่างให้เธอออกมาหางานทำ   แต่เพื่อนๆทุกคนก็ต้อง รู้สึกไม่อยากจะพูดละ  เช่น เพื่อนคนแรก โทรไปบอกให้ออกมาหางาน สิงานอะไรก็ได้ ทำไปก่อน อยู่บ้านขอเงิน พ่อแม่ มันไม่เวิคนะ  แต่ก้โดนตอบกลับมาว่า  งานอะไรก็ได้งั้นหรอ ถ้าแกจบปริญญา แกจะไม่อยากทำหรอก งานร้านกาแฟ งานเสริฟ์ ก็ต้องอยากทำบริษัทใหญ่ทั้งนั้น  ดูอย่างไอ***  หมายถึงผม  ตอนมันจบใหม่ๆ มันยังอยู่บ้านเลย เป้น 5 เดือน มันพึ่งไปทำงาน โรงแรม พร้อมกับกูเนี่ย  เพื่อนที่เตือนไป ก็ เงียบ และบอกว่า ตามใจละกัน ซึ่งมีเพื่อนๆหลายๆคน บอกไปนะ แนะนำไป แต่ก็โดนแบบนี้ทุกราย   ระหว่างที่ผมอยู่ห้องพัก เธอก็มีกุญแจห้องนะผมนะ  เวลาเธอเข้ามาในเมือง ก็จะมาที่ห้องนี่แหล่ะ ไปๆมา บ้าง ทั้งๆที่เธอ บอกว่า ขอไม่อยู่ห้องละนะ และเสื้อผ้าต่างๆ เธอก็ไม่ได้ขนไปเลย จะมีขนไปบ้างบางอย่าง  ผมไม่ได้ใจแคบนะ แต่ผมรูสึกจิงๆว่า มันใช่หรอ ทำแบบนี้
ผมอยู่มาเกิบจะสามเดือน เพราะครบ 5 เดือน ผมจะย้ายไปหาห้องที่ถูกกว่านี้  เธอได้งาน ทำ และจะมาอยู่ ผมนี่แบบ นึกจะไปก็ไปนึกจะมาก็มา  ผมจึงถามเพื่อนๆ กลุ่มเดียวกัน ทุกคน ว่า มีใครต้องการเพื่อนไปอยู่ด้วยมั้ย เพื่อนก็ถามว่าใคร เราก็บอก ชื่อเพื่อนเราคนนี่แหล่ะ ไป ทุกคนต่าง ส่ายหัว บอกว่าไม่
เพื่อนคนแรกบอก ไม่อะ กูเคยอยู่ด้วยละตอนปี 2 ไม่ไหว วะ อยู่ได้เดือนเดียว อยุ่ได้ไงวะ  6- 7 เดือน ขอโทษคนที่กำลังกินข้าว กางเกงในเป้นเมน มันยังแช่มในกะละมังในห้องน้ำ แช่เป้นวันเป้นคืน มีคราบเลือดมันยังไม่ซักเลย กูรับไม่ได้  คนที่สองก็ออกแนวทำนองเรื่องนิสัย ว่าขี้โกรธ บ้าง ไม่ชอบเรื่องต่างๆ  เพราะเพื่อนๆกลุ่มนี้เขาเป้นคนที่พูด เขามีอะไรบอกตรงๆ จึงไม่อยากอยู่

ผมก็เคยเจอ  เช่น ผ้าอนามัยใช่แล้วยังไม่ได้ห่อ  วางอยุ่บนโตะเครื่องแป้ง ไม่เอาใส่ ถังขยะ
กางเกงใน ชุดชั้นใน ไม่รู้ว่าซักรึป่าว เอาวางบน ชั้นวางจาน  ตรงระเบียงตากผ้า ไม่รู้ว่าลืมเก้บรึป่าว หรือรีบ แต่มันใช่ที่วางมั้ย จานกินข้าว ชช้อนอะไรก็อยู่ตรงนั้น
..................................
เดียวมาเล่าตอนะครับ  ทำงานก่อน วันนี้ราชการหยุด เอกชน ยังทำเหมือนเดิม เฮ้อ
ไม่รู้จะแท็กห้องไหน แท็กมั่ว ขอโทษด้วยนะครับ เขียน งง ๆ ก็ขอโทษด้วย
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
เราเคยมีประสบการณ์เดียวกับจขกท.ค่ะ ซึ่งตอนนี่ก็ยังเป็นอยู่ 5555 จะบอกว่าประสบการณ์เดียวกันไม่ได้ แต่คล้ายๆกันเฉยๆแล้วกันค่ะ คือเราเป็นคนแบบ จขกท. เลยค่ะ คือเราเป็นคนไม่ค่อยพูดจาเรื่องความรู้สึกตัวเองมากมายค่ะ เวลาคนถามว่างอนมั้ย ก็จะบอกว่าเปล่า ทั้งๆที่เราสมควรจะบอกว่างอนไปแล้วปรับความเข้าใจกันค่ะ เราเพิ่งมารู้สึกตัวได้ตอนนี้ตอนที่มันสายไปค่ะ ว่าเราก็ควรจะพูดเรื่องความรู้สึกตัวเองได้เหมือนกัน จขกท. อย่าเก็บความอึดอัดไว้ค่ะ เพราะมันจะระเบิด และระเบิดลูกนั้นก็ไม่ใช่ลูกเล็กๆเลยค่ะ ลูกใหญ่มาก พอทำให้ความสัมพันธ์ย่อยยับเลยค่ะ ทางที่ดี จขกท. ควรจะให้ั้งสองคนใจเย็นๆกันก่อน แล้วค่อยๆคุยเรื่องนี้กันค่ะ ถ้าไม่มีคนบอกเขาเรื่องนิสัย เขาก็ไม่รู้ตัวหรอกค่ะ ส่วนเรื่องผ้าอนามัยนี่.......ต้องหาเพื่อนผู้หญิงมาพูดแหละค่ะ อย่างที่จขกท.จะพูดว่าจะออกมั้ย ถ้าไม่ขอเงินค่าประกัน เอาเข้าจริงๆ จขกท. คิดมากไปหรือเปล่า? ความถูกต้องกับความสงสารมันต่างกันค่ะ เราควรแยกให้ออกว่ายอมให้มีคนเอาเปรียบ กับ ยอมเสียความรู้สึกเล็กน้อยต่อกันเพื่อความถูกต้อง อย่างไหนดีกว่ากันค่ะ สู้ๆนะคะจขกท.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่