สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
ผมทำอสังหาริมทรัพย์ เป็นโครงการที่ตั้งใจมาก จำนวน 80 ยูนิตริมน้ำทำเลสวย
ราคา 3 ล้านกว่าบาทต่อหลัง ยอดจองหมดภายในเวลาไม่นาน แบงค์อนุมัติไม่ทัน
เลยควักเงินสดตัวเองบ้าง เงินสำรองจาก OD แบงค์อื่นบ้าง โชคดีที่เป็นที่ของตัวเอง
ผ่านไปไม่กี่เดือนลูกค้าทยอยทิ้งดาวน์กันหมด แต่...โครงการเริ่มไปแล้วประมาณ 30%
วันนึงแบงค์มาบอกว่า...ไม่อนุมัติ ล้มทั้งยืนครับ
ค่อยๆ เคลียร์กันไป ผ่านไปสัก 10 ปีถึงกลับมายืนที่เดิม ปัจจุบันถึงจะได้กลับมาหมดแล้ว
แต่ก็ถือว่าเสียเวลาในชีวิตที่สุดไป 10 กว่าปี
สรุปปรับตัวคือปรับให้อยู่กับแบงค์ได้ เจ้าหนี้ได้ และสภาพเศรษฐกิจในแต่ละช่วงให้ได้
และที่สำคัญอย่าถอยครับ
ราคา 3 ล้านกว่าบาทต่อหลัง ยอดจองหมดภายในเวลาไม่นาน แบงค์อนุมัติไม่ทัน
เลยควักเงินสดตัวเองบ้าง เงินสำรองจาก OD แบงค์อื่นบ้าง โชคดีที่เป็นที่ของตัวเอง
ผ่านไปไม่กี่เดือนลูกค้าทยอยทิ้งดาวน์กันหมด แต่...โครงการเริ่มไปแล้วประมาณ 30%
วันนึงแบงค์มาบอกว่า...ไม่อนุมัติ ล้มทั้งยืนครับ
ค่อยๆ เคลียร์กันไป ผ่านไปสัก 10 ปีถึงกลับมายืนที่เดิม ปัจจุบันถึงจะได้กลับมาหมดแล้ว
แต่ก็ถือว่าเสียเวลาในชีวิตที่สุดไป 10 กว่าปี
สรุปปรับตัวคือปรับให้อยู่กับแบงค์ได้ เจ้าหนี้ได้ และสภาพเศรษฐกิจในแต่ละช่วงให้ได้
และที่สำคัญอย่าถอยครับ
ความคิดเห็นที่ 54
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แย่ที่สุดของชีวิต เราอายุประมาณ 13 ได้มั้ง เพิ่งเข้าม.1 แม่เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัทเครื่องใช้สำนักงานยี่ห้อดังยี่ห้อนึง พ่อเป็นช่าง ในบริษัทแดร์วู (คงจิรู้สินะ
ตกงานแน่นอน พ่อกับแม่เราตกงานเกือบๆจะพร้อมกัน ไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก เหมือนแม่จะไปลงทุนกับอะไรหลายอย่างหลังออกจากงาน แต่ก็ไม่ค่อยจะเวิค มารู้ตัวอีกทีก็ต้องเก็บของออกจากบ้านตัวเอง มาอยู่ห้องเช่าข้างสุเหร่า กับพ่อแม่ จากเด็กที่มีทุกอย่าง ก็เปลี่ยนเป็นไม่มีสักอย่าง จากเครื่องซักผ้าฝาบน ใส่ผ้า ใส่แฟ๊บกดปุ่ม มาเป็นซักมือ กะละมังและแปรง
ไปอยู่ใหม่ๆเราจะรู้สึกกลัวเสียงละหมาดจากสุเหร่า ที่อยู่ใกล้ๆ ไม่คุ้นชินกับความเป็นอยู่และสถานที่ สุดท้าย พ่อกับแม่นำเงินที่เหลืออยู่ ก้อนสุดท้าย ลงทุนเปิดท้ายขายของ ขายเครื่องเงิน ไปตามตลาดนัด
แม่บอกว่าตอนนั้นอายมาก กลัวคนที่ทำงานมาเห็น แต่ก็ต้องทำ ตระเวนไปขายของที่ต่างๆ ล้มลุกคลุกคลาน ลองทำนั่นทำนี่ ขายกิ๊ฟช๊อบ ขายอาหารตามสั่ง เยอะแยะ
เคยแม้แต่ขายของวันนึง จ่ายค่าที่ 100 บาทแล้วเหลือเงิน 15 บาท ซื้อผักบุ้งกลับมาบ้าน มาผัดกินกัน 3 คน
แต่ก็แปลกที่ชีวิตตอนอยู่ที่ห้องเช่าข้างสุเหร่า เป็นชีวิตที่เรามีความสุขที่สุด มันไม่สำคัญเลยว่าเราจะอยู่ที่ไหน หรือมีสภาพเป็นอย่างไร ขอแค่เราได้อยู่กับคนที่เรารัก ครอบครัวของเรา อะไรๆมันก็ดูจะไม่เลวร้ายนัก และเราก็คุ้นชินกับผู้คนที่ต่างศาสนา หลายคนเป็นคนดีมาก เสียงละหมาด 5 เวลาก็กลายเป็นเสียงที่เราอยากได้ยิน เพราะมันทำให้เรารู้สึกอุ่นใจ ปลอดภัยอย่างประหลาด
แม้ทุกวันนี้จะไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว แต่เราก็ยังคิดถึง ช่วงเวลาเลวร้าย แต่มีความสุขนั้น กว่าจะเอาทุกอย่างกลับมาได้แบบวันนี้ ไม่ง่ายเลย 18 ปีแล้วสินะ ไอ้เด็กคนนั้นเติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ ที่มีภูมิคุ้มกันต่อเรื่องเลวร้ายต่างๆในชีวิต บางทีเราก็ขอบคุณช่วงเวลานั้นนะ เพราะมันทำให้เราเข้มแข็งอย่างทุกวันนี้ ไม่งั้นบางทีเราอาจจะเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโตก็ได้ ... และที่สำคัญ มันทำให้เรารู้ว่า พ่อแม่ รักเรามากแค่ไหน

ไปอยู่ใหม่ๆเราจะรู้สึกกลัวเสียงละหมาดจากสุเหร่า ที่อยู่ใกล้ๆ ไม่คุ้นชินกับความเป็นอยู่และสถานที่ สุดท้าย พ่อกับแม่นำเงินที่เหลืออยู่ ก้อนสุดท้าย ลงทุนเปิดท้ายขายของ ขายเครื่องเงิน ไปตามตลาดนัด
แม่บอกว่าตอนนั้นอายมาก กลัวคนที่ทำงานมาเห็น แต่ก็ต้องทำ ตระเวนไปขายของที่ต่างๆ ล้มลุกคลุกคลาน ลองทำนั่นทำนี่ ขายกิ๊ฟช๊อบ ขายอาหารตามสั่ง เยอะแยะ
เคยแม้แต่ขายของวันนึง จ่ายค่าที่ 100 บาทแล้วเหลือเงิน 15 บาท ซื้อผักบุ้งกลับมาบ้าน มาผัดกินกัน 3 คน
แต่ก็แปลกที่ชีวิตตอนอยู่ที่ห้องเช่าข้างสุเหร่า เป็นชีวิตที่เรามีความสุขที่สุด มันไม่สำคัญเลยว่าเราจะอยู่ที่ไหน หรือมีสภาพเป็นอย่างไร ขอแค่เราได้อยู่กับคนที่เรารัก ครอบครัวของเรา อะไรๆมันก็ดูจะไม่เลวร้ายนัก และเราก็คุ้นชินกับผู้คนที่ต่างศาสนา หลายคนเป็นคนดีมาก เสียงละหมาด 5 เวลาก็กลายเป็นเสียงที่เราอยากได้ยิน เพราะมันทำให้เรารู้สึกอุ่นใจ ปลอดภัยอย่างประหลาด
แม้ทุกวันนี้จะไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว แต่เราก็ยังคิดถึง ช่วงเวลาเลวร้าย แต่มีความสุขนั้น กว่าจะเอาทุกอย่างกลับมาได้แบบวันนี้ ไม่ง่ายเลย 18 ปีแล้วสินะ ไอ้เด็กคนนั้นเติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ ที่มีภูมิคุ้มกันต่อเรื่องเลวร้ายต่างๆในชีวิต บางทีเราก็ขอบคุณช่วงเวลานั้นนะ เพราะมันทำให้เราเข้มแข็งอย่างทุกวันนี้ ไม่งั้นบางทีเราอาจจะเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโตก็ได้ ... และที่สำคัญ มันทำให้เรารู้ว่า พ่อแม่ รักเรามากแค่ไหน
ความคิดเห็นที่ 48
ปีนี้และอีกสองปีหลังจากนี้
พวกเราบางคนกำลังจะได้ทำแบบปี 40
-------------------------------------------
ทำตามนายกทักษิณครับ
ลดรายได้ เพิ่มรายจ่าย ขยายโอกาส
----------------------------------------------------------------
แต่คนเราประหยัดได้จำกัดครับ
จะประหยัดไปถึงไหน จริงอยู่ทานข้าววันละสองมื้อก็อยู่ได้
แต่ถ้ามื้อเดียวเลิกทำงานออกแรงไปเลยครับ....
ยังไงก็ต้องมีปัจจัยสี่ เท่าที่จะพอดำรงชีวิตได้
และต้องมีการสื่อสาร+การคมนาคม เท่าที่จะพอเพียงแก่การทำมาหากิน...
----------------------------------------------------------------
แต่เราสามารถเพิ่มรายได้อย่างไม่จำกัดโดยการ
ทำใส่สิ่งที่ลูกค้าต้องการและเราก็จะชำนาญในด้านนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
(เอาสิ่งที่ลูกค้าต้องการเป็นตัวตั้ง....ไม่ใช่เอาความชำนาญเดิมของตัวเองเป็นตัวตั้ง)
เลือกที่จะประหยัดแค่พอเหมาะ
เรื่องที่เราไม่รู้ก็จ้างคนอื่นทำซะ จะประหยัดในเรื่องที่ตัวเองไม่รู้นี่ไม่ไหวเลยครับ
----------------------------------------------------------------
ถ้าจะประหยัดยังไงก็ต้องให้มีปัจจัยสี่พอเพียง
เอาสะดวกไม่ต้องถึงกับสบาย แต่อย่างให้ถึงขั้นอดข้าว เจ็บไข้ก็ต้องรักษา
อย่าประหยัดในเรื่องที่ไม่ควร
----------------------------------------------------------------
การประหยัดในระยะยาวได้ดีจะขึ้นกับทำเล อาศัยสภาพแวดล้อมช่วย
ส่วนที่ขึ้นกับนิสัยส่วนตัวก็ใช่แต่มันมีข้อจำกัดครับ คนอยู่ในทำเลดีๆประหยัดได้มาก
เช่นซื้อบ้านไกล้โรงเรียนมัธยมดีๆ
เดินไปโรงเรียน แค่ร้อยสองร้อยเมตรอะไรงี้
คิดดูว่าภายใน 6-12 ปี ประหยัดค่าเดินทางลูกและค่าเสียเวลาของเราไปได้เท่าไร
ถ้าบ้านห่างโรงเรียน สักสิบกิโลเมตร เงินค่าเดินทางไปเรียนของลูกจำนวนนี้ซื้อรถได้ทั้งคันเลยนะครับ
ยอมซื้อบ้านที่มีที่ดินเพิ่มเล็กน้อย เอาแค่ 15 ตารางวาที่แดดส่องถึงก็ปลูกผักได้เยอะนะครับ...
ภายใน 30 ปี เงินจำนวนนี้.....
ซื้อบ้านมีพื้นที่ขุดบ่อน้ำใช้เอง...อยู่ไป 30 ปีบวกค่ารื้อบ่อค่าเครื่องกรองน้ำแล้วประหยัดไปอีกเท่าไร?
ภายใน 30 ปี เงินจำนวนนี้....
----------------------------------------------------------------
เรื่องทำเลที่อยู่สำคัญมากๆนะครับ
รักจะประหยัดก็อย่าประหยัดแบบกดดันตัวเองไม่เข้าท่า
เงินพวกนี้ดูเหมือนจำนวนเล็กน้อย... แต่หากมีทำเลดีๆช่วยประหยัดได้ในระยะยาว คุณจะเหลือกินเหลือใช้
แม้ยากจนก็ไม่ต้องอดข้าว... ต่อให้ทำงานได้ค่าแรงขึ้นต่ำเหมือนคนอื่นๆ คุณก็ยังเหลือเงินมากกว่าคนอื่นๆอยู่ดี
ส่วนมากเวลาซื้อบ้าน จะดูเรื่องแบบเรื่องเงินและที่ทำงานเป็นหลัก ...
คนส่วนใหญ่ไม่ได้ดูเรื่องประหยัดระยะยาวเท่าไร เลยซื้อบ้านเล็กๆพออยู่ได้ไป
แต่ในระยะยาวบ้านเล็กๆเหล่านั้นไม่ช่วยประหยัดอะไรเลย ยิ่งอยู่เงินยิ่งไหลออกจากกระเป๋า
แล้วก็มานั่งสงสัยตัวเอง ว่าทำไมไม่เหลือกะเขาบ้างสักที...
ถ้าเลือกทำเลได้ดี กัดฟันซื้อบ้านโตนิด ได้พื้นที่เพิ่มสักหน่อย...
มันจะกลายเป็นแต้มต่อในชีวิต...เอาใว้ช่วยยากยาม ชนิดที่คนคิดไม่ค่อยถึงกันนะครับ
พวกเราบางคนกำลังจะได้ทำแบบปี 40
-------------------------------------------
ทำตามนายกทักษิณครับ
ลดรายได้ เพิ่มรายจ่าย ขยายโอกาส
----------------------------------------------------------------
แต่คนเราประหยัดได้จำกัดครับ
จะประหยัดไปถึงไหน จริงอยู่ทานข้าววันละสองมื้อก็อยู่ได้
แต่ถ้ามื้อเดียวเลิกทำงานออกแรงไปเลยครับ....
ยังไงก็ต้องมีปัจจัยสี่ เท่าที่จะพอดำรงชีวิตได้
และต้องมีการสื่อสาร+การคมนาคม เท่าที่จะพอเพียงแก่การทำมาหากิน...
----------------------------------------------------------------
แต่เราสามารถเพิ่มรายได้อย่างไม่จำกัดโดยการ
ทำใส่สิ่งที่ลูกค้าต้องการและเราก็จะชำนาญในด้านนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
(เอาสิ่งที่ลูกค้าต้องการเป็นตัวตั้ง....ไม่ใช่เอาความชำนาญเดิมของตัวเองเป็นตัวตั้ง)
เลือกที่จะประหยัดแค่พอเหมาะ
เรื่องที่เราไม่รู้ก็จ้างคนอื่นทำซะ จะประหยัดในเรื่องที่ตัวเองไม่รู้นี่ไม่ไหวเลยครับ
----------------------------------------------------------------
ถ้าจะประหยัดยังไงก็ต้องให้มีปัจจัยสี่พอเพียง
เอาสะดวกไม่ต้องถึงกับสบาย แต่อย่างให้ถึงขั้นอดข้าว เจ็บไข้ก็ต้องรักษา
อย่าประหยัดในเรื่องที่ไม่ควร
----------------------------------------------------------------
การประหยัดในระยะยาวได้ดีจะขึ้นกับทำเล อาศัยสภาพแวดล้อมช่วย
ส่วนที่ขึ้นกับนิสัยส่วนตัวก็ใช่แต่มันมีข้อจำกัดครับ คนอยู่ในทำเลดีๆประหยัดได้มาก
เช่นซื้อบ้านไกล้โรงเรียนมัธยมดีๆ
เดินไปโรงเรียน แค่ร้อยสองร้อยเมตรอะไรงี้
คิดดูว่าภายใน 6-12 ปี ประหยัดค่าเดินทางลูกและค่าเสียเวลาของเราไปได้เท่าไร
ถ้าบ้านห่างโรงเรียน สักสิบกิโลเมตร เงินค่าเดินทางไปเรียนของลูกจำนวนนี้ซื้อรถได้ทั้งคันเลยนะครับ
ยอมซื้อบ้านที่มีที่ดินเพิ่มเล็กน้อย เอาแค่ 15 ตารางวาที่แดดส่องถึงก็ปลูกผักได้เยอะนะครับ...
ภายใน 30 ปี เงินจำนวนนี้.....
ซื้อบ้านมีพื้นที่ขุดบ่อน้ำใช้เอง...อยู่ไป 30 ปีบวกค่ารื้อบ่อค่าเครื่องกรองน้ำแล้วประหยัดไปอีกเท่าไร?
ภายใน 30 ปี เงินจำนวนนี้....
----------------------------------------------------------------
เรื่องทำเลที่อยู่สำคัญมากๆนะครับ
รักจะประหยัดก็อย่าประหยัดแบบกดดันตัวเองไม่เข้าท่า
เงินพวกนี้ดูเหมือนจำนวนเล็กน้อย... แต่หากมีทำเลดีๆช่วยประหยัดได้ในระยะยาว คุณจะเหลือกินเหลือใช้
แม้ยากจนก็ไม่ต้องอดข้าว... ต่อให้ทำงานได้ค่าแรงขึ้นต่ำเหมือนคนอื่นๆ คุณก็ยังเหลือเงินมากกว่าคนอื่นๆอยู่ดี
ส่วนมากเวลาซื้อบ้าน จะดูเรื่องแบบเรื่องเงินและที่ทำงานเป็นหลัก ...
คนส่วนใหญ่ไม่ได้ดูเรื่องประหยัดระยะยาวเท่าไร เลยซื้อบ้านเล็กๆพออยู่ได้ไป
แต่ในระยะยาวบ้านเล็กๆเหล่านั้นไม่ช่วยประหยัดอะไรเลย ยิ่งอยู่เงินยิ่งไหลออกจากกระเป๋า
แล้วก็มานั่งสงสัยตัวเอง ว่าทำไมไม่เหลือกะเขาบ้างสักที...
ถ้าเลือกทำเลได้ดี กัดฟันซื้อบ้านโตนิด ได้พื้นที่เพิ่มสักหน่อย...
มันจะกลายเป็นแต้มต่อในชีวิต...เอาใว้ช่วยยากยาม ชนิดที่คนคิดไม่ค่อยถึงกันนะครับ
แสดงความคิดเห็น
วันที่เกิด "วิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540" ตอนนั้น "คุณปรับตัวให้รอด" อย่างไรบ้าง ?