คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 25
ขอแชร์ปสก.นะคะ ลูกสาว2ขวบ5เดือน เป็นแบบลูกคุณทุกอย่างเลย เพราะดูไอแพดค่ะ จิงๆมีคนทักว่าเค้าแปลกๆตั้งแต่2ขวบแล้วแต่แม่ดื้อค่ะ อยากเขกหัวตัวเองมาก ตอนแรกคิดว่าคงไม่เป็นไร เพราะเห็นท่องa-zได้ ก-ฮ 1-100ได้ทั้งไทยและอังกฤษ สีรูปทรงตอบได้หมดเลยค่ะ สัตว์ต่างๆแต่รู้เป็นภาษาอังกฤษหมดนะคะ แต่ตอบโต้ไม่ได้คือถ้าถามคำถามที่เป็นmemoryจะตอบค่ะ แต่การสื่อสารในชีวิตประจำวันไม่ได้เลย ไม่สบตาคน เรียกไม่หัน ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมใครจะไปจะมา เหมือนอยู่ในโลกส่วนตัว และจะคุยกับเมมโมรี่ตัวเองตลอดเวลา เด๋วก็ท่องabcเด๋วก็ร้องเพลง ย่าเป็นคนเลี้ยงมาตลอดค่ะ ก็ให้ดูไอแพดนั่นแหละ แล้วก็หลงติดว่าหลานฉลาดค่ะ จนกระทั่งเราทนไม่ไหว เลยพาลูกไปศูนย์พัฒนาการเด็กเล็กค่ะ ให้เค้าประเมินพัฒนาการ ปรากฏว่าลูกสาวมีอาการบางอย่างของออทิสติกค่ะ แต่จะเทียมหรือแท้นั้นตอบไม่ได้ เพราะต้องลองบำบัดและปรับพฤติกรรมการเลี้ยงดูก่อนน่ะค่ะ ถ้าเป็นออแท้จะไม่หายขาดค่ะ แต่ถ้าเป็นเทียมคือเกิดจากการเลี้ยงดูจะหายขาดค่ะ และมีประสาทการรับรู้ทางตาและหูที่ไวมาก คือจะถูกดึงดูดทางตาได้ง่ายมาก ทำให้เค้าวอกแวก มีอาการสมาธิสั้นร่วมด้วย นี่ก็เกิดจากการดูไอแพดค่ะ พอได้รับสิ่งเร้ามากๆสมองเค้าจะเริ่มประมวลผลไม่ทัน เค้าจะเริ่มรวนค่ะ โดยแสดงพฤติกรรมออกมาโดยการวิ่งพล่านโวยวายเสียงดัง หรือ
เลือกที่ตัดการรับรู้ไปเลย ไม่รับรู้สิ่งรอบข้างเพราะสมองมันประมวลผลไม่ทันค่ะ เค้าเลยแสดงออกมาในลักษณะของการที่ดูเหมือนเค้าไม่สนใจสิ่งแวดล้อม และอยู่ในโลกส่วนตัวค่ะ คนปกติจะสามารถตัดสิ่งเร้าที่ไม่จำเป็นออกได้และมีความสามารถที่จะเลือกให้ความสำคัญได้ถูกว่าวิ่งเร้าอันไหนสำคัญอันไหนไม่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น สมมติเรากำลังนั่งคุยกันอยู่ในห้อง จิงๆมันไม่ได้มีแค่เสียงเรา2คน มันยังมีเสียงแอร์ เสียงนกร้อง เสียงรถ เสียงคนเปิดปิดประตู ฯลฯ คนปกติจะเลือกที่จะไม่สนใจในเสียงที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมได้ และมีสมาธิอยู่กับการคุยจนจบ แต่เค้าจะทำไม่ได้ค่ะ เค้าจะไม่สามารถคงสมาธิให้อยู่กับสิ่งเร้าที่สำคัญได้ บอกก่อนนะคะว่าเราไม่ได้พาไปหาหมอ เรามาที่ศูนย์เลย เพราะเราพอจะทราบอาการของน้องอยู่ค่ะ และรู้ว่าน้องจำเป็นต้องได้รับกาารฝึกกับนักกิจกรรมบำบัด ต่อให้ไปหาหมอ หมอจะทำหน้าที่แค่แนะนำให้ยา(ซึ่งเด็กอายุเท่านี้ยังให้ยาไม่ได้ค่ะ สุดท้ายก็ต้องส่งมาให้นักกิจกรรมบำบัดฝึกอยู่ดี
ที่ศูนย์ฝึกนั้นน้องต้องมาเรียนอาทิตย์ละ3วันค่ะ ครั้งละ1ชม.เรียนเดี่ยวนะคะ โดยที่คุณครูจะเป็นนักกิจกรรมบำบัดโดยตรง สิ่งที่คุณครูเน้นมากๆ คือผลสัมฤทธิ์นั้นจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับครู30%ที่บ้าน70% ดังนั้นต้องมีคนดูแลเค้าที่บ้านอย่างใกล้ชิดค่ะ และมีกฏเหล็กให้กลับมาทำหลายข้ออยู่
1.งดการดูจอทุกชนิดเด็ดขาด
2.งดการไปในที่ๆคนพลุกพล่านหรือคนเยอะ ที่ๆมีเสียงดังหรือมีแสงสีแว่บๆเยอะๆ เช่น ห้าง บ้านบอล รวมถึงของเล่นที่มีไฟแวบๆด้วย
3.จัดเก็บของเล่นไม่ให้เค้าเอาของเล่นมากองให้เล่นพร้อมกันเยอะๆ ควรหยิบของเล่นออกมาให้เค้าเล่นทีละชิ้น
4.ฝึกให้ทำกิจวัตรประจำวันเป็นเวลา กิน นอน ตื่นเป็นเวลา
5.มอบหมายหน้าที่ให้เค้าช่วยงานในบ้าน และฝึกให้เค้าช่วยเหลือตัวเองให้มากขึ้น
6.นวดDeep pressureตามข้อต่อตามร่างกาย ช่วยให้เค้าcalm downเวลาที่เค้าตื่ตัวมากๆค่ะ ทำให้self-controlเค้าดีขึ้น
7.ออกกำลังกายที่ช่วยเรื่องการรับรู้ข้อต่อเยอะๆเช่น กระโดด คลาน ปีนป่าย
8.เล่นกับเค้าเยอะๆ พูดกับเค้าเยอะๆเน้นไปที่การสอนพูดคำกริยาในชีวิตประจำวันเยอะๆค่ะ เมมโมรี่ที่เค้ามีในหัว มันใช้ไม่ได้จริงในการดำรงชีวิตนะคะ มันยังไม่มีประโยชน์ตอนนี้ สิ่งที่เราต้องฝึกลูกเพื่อให้เข้ารร.ได้คือเด็กต้องสามารถบอกความต้องการของตัวเอง และสื่อสารได้ค่ะ
9.อย่าปล่อยให้เค้าเล่นคนเดียวนะคะ พยายามชวนเค้าให้ออกมาจากโลกส่วนตัว
10.ทำHome programให้ลูกทุกวัน (อันนี้เฉพาะบุบบคลนะคะ )
ตอนนี้เราลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกเต็มตัวเลยค่ะ ใครจะมาดูแลลูกเราดีเท่าเรา เครียดมากค่ะตอนแรกๆ แต่เราต้องเข้มแข็งนะคะถ้าเรามัวแต่โทษตัวเองลูกเราจะไม่พัฒนาค่ะ อดีตแก้ไขไม่ได้ มองอนาคตดีกว่าค่ะ ตอนนี้ลูกสาวฝึกมาได้เดือนกว่าแล้วค่ะ พัฒนาการดีขึ้นแบบก้าวกระโดดเลย
เริ่มสบตาคนอื่น เรียกพ่อแม่ปู่ย่า สนใจสิ่งรอบข้าง ออกจากภวังค์แล้ว พูดมากเลยค่ะตอนนี้ พูดตามเป็นนกแก้วนกขุนทองเลยล่ะ ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงสอนเค้าไปเรื่อยๆแหละค่ะ เรื่องการพูดบอกความต้องการต้องใช้เวลา แต่พอเห็นพัฒนาการเค้าเราก็มีกำลังใจมากแล้วค่ะ และเชื่อว่าเค้าจะต้องกลับมาเป็นปกติได้แน่นอน
ส่วนเรื่องรร.ไม่จำเป็นต้องซีเรียสหรอกค่ะ ฝึกพัฒนาการเค้าให้ดีก่อนค่อยส่งเข้ารร.ค่ะ ช้าหน่อยไม่เป็นไร ระดับอนุบาลไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับนะคะ ไปเริ่มป.1เลยก็ได้ค่ะ อีกอย่างเราเดาว่ารร.ที่คุณตั้งใจให้ลูกเข้านั้นคงเป็นรร.สายวิชาการใช่มั้ยคะ เด็กแบบลูกเราที่มีแนวโน้มที่มีพัฒนาการช้า เราว่าควรเรียนรร.ทางเลือกจะดีกับเค้ามากกว่าค่ะ รร.สายวิชาการ เด็กปกติยังจะตายเลยค่ะ อีกอย่างรร.ทางเลือกส่วนใหญ่จะรับเด็กพิเศษเรียนร่วมนะคะ แต่จิงๆลูกเราก็ถือว่ายังไม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเด็กพิเศษนะ แค่ว่าถ้ามีครูที่ถูกอบรมมาให้รับมือกับเด็กพิเศษมา เค้าก็สามารถดูแลเด็กที่มีเงื่อนไขไม่ปกติแบบลูกเราได้ค่ะ และควรเลือกรร.ที่มีจำนวนเด็กต่อครูไม่เยอะ เพื่อให้ครูสามารถดูแลเด็กได้อย่างทั่วถึงค่ะ
เรายังคุยกับสามีเลยว่าถ้าปีหน้าลูกเรายังไม่พร้อมจะเข้ารร.ก็คงยังไม่ให้เข้าค่ะ อยู่ฝึกที่ศูนย์ไปก่อนดีกว่า ถ้าไปรร.แล้วเจอครูที่ไม่เอาใจใส่ ลูกเราก็ไม่ได้พัฒนา อย่างน้อยอยู่บ้านแม่ดูแล ไปเรียนกับคุณครูที่ศูนย์ยังจะดีกว่าค่ะ เข้ารร.ช้าซักปี2ปีจะเป็นไรไป ดีซะอีกลูกเราจะได้นำเพื่อนๆชั้นเดียวกัน อิอิ
สุดท้ายนี้เป็นกำลังใจให้คุณแม่นะคะ เลี้ยงลูกแบบนี้ต้องอาศัยกำลังใจเยอะมากๆ ใจเย็นๆและเมตตากับลูกให้มากๆค่ะ อย่าดุอย่าด่าอย่าโมโหใส่เค้ามากนัก เพราะอีกหน่อยเด็กที่ไม่ปกติแบบลูกเรา จะถูกคนรอบข้างตำหนิดุด่าเค้ามากอยุ่แล้ว ด้วยความไม่เข้าใจ ขอให้เหลือแม่ไว้ซักคนที่เข้าใจและอดทนกับเค้านะคะ
ปล.ใครที่มีลูกมีอาการแบบนี้หลังไมค์มาแลกเปลี่ยนกันได้นะคะ ส่วนตัวอยากมีเพื่อนให้กำลังใจกันและกัน และแลกเปลี่ยนพัฒนาการลูกกันค่ะ
สู้ๆไปด้วยกัน
เลือกที่ตัดการรับรู้ไปเลย ไม่รับรู้สิ่งรอบข้างเพราะสมองมันประมวลผลไม่ทันค่ะ เค้าเลยแสดงออกมาในลักษณะของการที่ดูเหมือนเค้าไม่สนใจสิ่งแวดล้อม และอยู่ในโลกส่วนตัวค่ะ คนปกติจะสามารถตัดสิ่งเร้าที่ไม่จำเป็นออกได้และมีความสามารถที่จะเลือกให้ความสำคัญได้ถูกว่าวิ่งเร้าอันไหนสำคัญอันไหนไม่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น สมมติเรากำลังนั่งคุยกันอยู่ในห้อง จิงๆมันไม่ได้มีแค่เสียงเรา2คน มันยังมีเสียงแอร์ เสียงนกร้อง เสียงรถ เสียงคนเปิดปิดประตู ฯลฯ คนปกติจะเลือกที่จะไม่สนใจในเสียงที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมได้ และมีสมาธิอยู่กับการคุยจนจบ แต่เค้าจะทำไม่ได้ค่ะ เค้าจะไม่สามารถคงสมาธิให้อยู่กับสิ่งเร้าที่สำคัญได้ บอกก่อนนะคะว่าเราไม่ได้พาไปหาหมอ เรามาที่ศูนย์เลย เพราะเราพอจะทราบอาการของน้องอยู่ค่ะ และรู้ว่าน้องจำเป็นต้องได้รับกาารฝึกกับนักกิจกรรมบำบัด ต่อให้ไปหาหมอ หมอจะทำหน้าที่แค่แนะนำให้ยา(ซึ่งเด็กอายุเท่านี้ยังให้ยาไม่ได้ค่ะ สุดท้ายก็ต้องส่งมาให้นักกิจกรรมบำบัดฝึกอยู่ดี
ที่ศูนย์ฝึกนั้นน้องต้องมาเรียนอาทิตย์ละ3วันค่ะ ครั้งละ1ชม.เรียนเดี่ยวนะคะ โดยที่คุณครูจะเป็นนักกิจกรรมบำบัดโดยตรง สิ่งที่คุณครูเน้นมากๆ คือผลสัมฤทธิ์นั้นจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับครู30%ที่บ้าน70% ดังนั้นต้องมีคนดูแลเค้าที่บ้านอย่างใกล้ชิดค่ะ และมีกฏเหล็กให้กลับมาทำหลายข้ออยู่
1.งดการดูจอทุกชนิดเด็ดขาด
2.งดการไปในที่ๆคนพลุกพล่านหรือคนเยอะ ที่ๆมีเสียงดังหรือมีแสงสีแว่บๆเยอะๆ เช่น ห้าง บ้านบอล รวมถึงของเล่นที่มีไฟแวบๆด้วย
3.จัดเก็บของเล่นไม่ให้เค้าเอาของเล่นมากองให้เล่นพร้อมกันเยอะๆ ควรหยิบของเล่นออกมาให้เค้าเล่นทีละชิ้น
4.ฝึกให้ทำกิจวัตรประจำวันเป็นเวลา กิน นอน ตื่นเป็นเวลา
5.มอบหมายหน้าที่ให้เค้าช่วยงานในบ้าน และฝึกให้เค้าช่วยเหลือตัวเองให้มากขึ้น
6.นวดDeep pressureตามข้อต่อตามร่างกาย ช่วยให้เค้าcalm downเวลาที่เค้าตื่ตัวมากๆค่ะ ทำให้self-controlเค้าดีขึ้น
7.ออกกำลังกายที่ช่วยเรื่องการรับรู้ข้อต่อเยอะๆเช่น กระโดด คลาน ปีนป่าย
8.เล่นกับเค้าเยอะๆ พูดกับเค้าเยอะๆเน้นไปที่การสอนพูดคำกริยาในชีวิตประจำวันเยอะๆค่ะ เมมโมรี่ที่เค้ามีในหัว มันใช้ไม่ได้จริงในการดำรงชีวิตนะคะ มันยังไม่มีประโยชน์ตอนนี้ สิ่งที่เราต้องฝึกลูกเพื่อให้เข้ารร.ได้คือเด็กต้องสามารถบอกความต้องการของตัวเอง และสื่อสารได้ค่ะ
9.อย่าปล่อยให้เค้าเล่นคนเดียวนะคะ พยายามชวนเค้าให้ออกมาจากโลกส่วนตัว
10.ทำHome programให้ลูกทุกวัน (อันนี้เฉพาะบุบบคลนะคะ )
ตอนนี้เราลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกเต็มตัวเลยค่ะ ใครจะมาดูแลลูกเราดีเท่าเรา เครียดมากค่ะตอนแรกๆ แต่เราต้องเข้มแข็งนะคะถ้าเรามัวแต่โทษตัวเองลูกเราจะไม่พัฒนาค่ะ อดีตแก้ไขไม่ได้ มองอนาคตดีกว่าค่ะ ตอนนี้ลูกสาวฝึกมาได้เดือนกว่าแล้วค่ะ พัฒนาการดีขึ้นแบบก้าวกระโดดเลย
เริ่มสบตาคนอื่น เรียกพ่อแม่ปู่ย่า สนใจสิ่งรอบข้าง ออกจากภวังค์แล้ว พูดมากเลยค่ะตอนนี้ พูดตามเป็นนกแก้วนกขุนทองเลยล่ะ ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงสอนเค้าไปเรื่อยๆแหละค่ะ เรื่องการพูดบอกความต้องการต้องใช้เวลา แต่พอเห็นพัฒนาการเค้าเราก็มีกำลังใจมากแล้วค่ะ และเชื่อว่าเค้าจะต้องกลับมาเป็นปกติได้แน่นอน
ส่วนเรื่องรร.ไม่จำเป็นต้องซีเรียสหรอกค่ะ ฝึกพัฒนาการเค้าให้ดีก่อนค่อยส่งเข้ารร.ค่ะ ช้าหน่อยไม่เป็นไร ระดับอนุบาลไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับนะคะ ไปเริ่มป.1เลยก็ได้ค่ะ อีกอย่างเราเดาว่ารร.ที่คุณตั้งใจให้ลูกเข้านั้นคงเป็นรร.สายวิชาการใช่มั้ยคะ เด็กแบบลูกเราที่มีแนวโน้มที่มีพัฒนาการช้า เราว่าควรเรียนรร.ทางเลือกจะดีกับเค้ามากกว่าค่ะ รร.สายวิชาการ เด็กปกติยังจะตายเลยค่ะ อีกอย่างรร.ทางเลือกส่วนใหญ่จะรับเด็กพิเศษเรียนร่วมนะคะ แต่จิงๆลูกเราก็ถือว่ายังไม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเด็กพิเศษนะ แค่ว่าถ้ามีครูที่ถูกอบรมมาให้รับมือกับเด็กพิเศษมา เค้าก็สามารถดูแลเด็กที่มีเงื่อนไขไม่ปกติแบบลูกเราได้ค่ะ และควรเลือกรร.ที่มีจำนวนเด็กต่อครูไม่เยอะ เพื่อให้ครูสามารถดูแลเด็กได้อย่างทั่วถึงค่ะ
เรายังคุยกับสามีเลยว่าถ้าปีหน้าลูกเรายังไม่พร้อมจะเข้ารร.ก็คงยังไม่ให้เข้าค่ะ อยู่ฝึกที่ศูนย์ไปก่อนดีกว่า ถ้าไปรร.แล้วเจอครูที่ไม่เอาใจใส่ ลูกเราก็ไม่ได้พัฒนา อย่างน้อยอยู่บ้านแม่ดูแล ไปเรียนกับคุณครูที่ศูนย์ยังจะดีกว่าค่ะ เข้ารร.ช้าซักปี2ปีจะเป็นไรไป ดีซะอีกลูกเราจะได้นำเพื่อนๆชั้นเดียวกัน อิอิ
สุดท้ายนี้เป็นกำลังใจให้คุณแม่นะคะ เลี้ยงลูกแบบนี้ต้องอาศัยกำลังใจเยอะมากๆ ใจเย็นๆและเมตตากับลูกให้มากๆค่ะ อย่าดุอย่าด่าอย่าโมโหใส่เค้ามากนัก เพราะอีกหน่อยเด็กที่ไม่ปกติแบบลูกเรา จะถูกคนรอบข้างตำหนิดุด่าเค้ามากอยุ่แล้ว ด้วยความไม่เข้าใจ ขอให้เหลือแม่ไว้ซักคนที่เข้าใจและอดทนกับเค้านะคะ
ปล.ใครที่มีลูกมีอาการแบบนี้หลังไมค์มาแลกเปลี่ยนกันได้นะคะ ส่วนตัวอยากมีเพื่อนให้กำลังใจกันและกัน และแลกเปลี่ยนพัฒนาการลูกกันค่ะ
สู้ๆไปด้วยกัน
แสดงความคิดเห็น
ปรึกษาหน่อยค่ะ ลูกชาย 4 ขวบ ยังพูดไม่เป็นประโยค โรงเรียนก็ไม่รับ
ลูกชายจะครบ 4 ขวบ พูดได้เป็นคำๆ สื่อสารยังไม่ได้
คำที่พูดได้ ส่วนใหญ่อังกฤษหมดเลย
แต่ฟังเราพูดก็รู้เรื่องนะคะ ครอบครัวพูดไทยหมด
แต่น้องไม่ยอมโต้ตอบ ฟังคำสั่งเข้าใจบ้าง
สาเหตุเพราะการเลี้ยงดูของเราเองค่ะ
น้องจะชอบดูการ์ตูนมาก โดยเฉพาะรถไฟ
เราก็ตามใจ ส่วนนี้ยอมรับผิดจริงๆค่ะ
ตอนที่น้อง 3 ขวบ เราเห็นมีโรงเรียนแถวบ้านเปิดใหม่
ปีแรกลดค่าเทอม 50% เราก็รีบพาน้องไปสมัคร
ครูบอกไม่รับ เพราะน้องสื่อสารยังไม่ได้
บอกให้เรากลับไปฝึกน้องพูดก่อนดีมั้ย
1 ปีผ่านไป เราไปที่โรงเรียนนั้นอีกครั้ง
ก็ลองปรึกษาครู น้องยังพูดได้เป็นคำๆ
ครูบอกว่าก่อน 4 ขวบน้องต้องบวกเลขได้แล้ว
ถึงจะผ่านการทดสอบ แต่ลูกเราแค่รู้จักตัวเลข 1-20
ครูอีกคนหยิบกระดาษสีฟ้า รูปสามเหลี่ยมขึ้นมา
ถามน้องว่าสีอะไร ถามภาษาไทยนะคะ
น้องตอบ triangle อย่างนี้ล่ะค่ะ น้องยังไม่เข้าใจ T T
(ตอนเราคุยในห้องกับครู แม่เราพาน้องไปยืนดูกิจกรรมการเรียนการสอน น้องยืนมองและอยากเข้าไปมาก ยายก็ดึงตัวไว้)
ครูแนะนำให้ไปศูนย์ศึกษาพิเศษ บอกว่าจะเป็นสถานที่ที่สามารถพัฒนาน้องได้ เราก็รีบไปทันที
(ก่อนออกจากโรงเรียน น้องงอแง ไม่ยอมกลับ)
เรามาถึงที่นี่ส่วนใหญ่เด็กบกพร่องทางปัญญา
ทางพัฒนาการช้า ออทิสติก ประมาณนี้
ครูก็มาคุยๆกับน้อง กับเราและแม่เรา
แล้วแนะนำให้เราพาน้องไปหาหมอก่อน
ไปปรึกษาหมอว่าเป็นอะไร สาเหตุ อะไร
แล้วค่อยกลับมาที่นี่ใหม่
เราก็รีบไปทันที วันเดียวไป 3 ที่เลยค่ะ
หมอก็มาสอบถาม พูดคุย ถามพัฒนาการต่างๆ
เราก็แจ้งว่าปกติดี เราไปหาหมอตามกำหนดทุกครั้ง
ฉีดวัคซีนครบ ขาดเรื่องเดียวการสื่อสาร
พูดเป็นประโยค
หมอหยิบกระดาษที่มีรูปทรงต่างๆมาให้น้องวาดตาม
แต่น้องยังวาดไม่ได้ ทำได้แค่ระบายสี
(ตอนน้องเห็นรูปทรงในกระดาษ ที่รู้จัก น้องก็ชี้แล้วก็พูด circle square triangle คำไหนที่เขารู้จัก ก็จะชี้และพูด)
หมอเขียนใบให้พบแผนกจิตเวช เพื่อตรวจแบบละเอียด
แต่คิวยาวมาก นัดสิ้นเดือนมิถุนายน
เราเลยโทรไปศูนย์ศึกษาพิเศษ ว่ายังไม่ได้ผล
เขานัดสิ้นเดือนมิถุนา ครูเลยบอกให้เรามานี่อีกครั้งปีหน้าแทน
เพราะเด็กที่นี่ก็เต็มแล้ว วันนั้นเราเหนื่อยมาก
ท้อแท้ อยากร้องไห้ เราส่งลูกเข้าเรียนช้าเกินไปใช่ไหมคะ
เราศึกษาหาข้อมูล ประสบการณ์ที่ลูกพูดช้า
เห็นหลายคนพาเข้าโรงเรียน ไม่นานน้องก็พูดได้
แต่ตอนนี้โรงเรียนไม่รับเข้า หรือเราควรไปถามหลายๆโรงเรียนก่อน พอดีอยู่คนละจังหวัดด้วย เราหยุดงานยาวถึงจะกลับไปหา
ส่วนใหญ่น้องอยู่กับยาย ยายก็สอนพูดไทยค่ะ
แต่น้องไม่ยอมพูดตามเลย แต่เขาเรียกยายได้ค่ะ
แต่เรียกเราว่า มัมมี่ พ่อก็เรียกแดดดี้
คือเขาดูมาจากการ์ตูน เขาท่อง A-Z ได้
1-20 ภาษาอังกฤษ ท่องถอยหลังได้
a-z แบบถอยหลังก็ท่องได้ ไม่มีใครสอนค่ะ
อันนี้ก็งงว่าเขาจำมาจากการ์ตูนไหนรึป่าว
มีครั้งนึงเขาทำน้ำหก เขาก็ตกใจ
แล้วบอกเรา sorry เราก็ดีใจนะ เขาพูดได้
เขารู้จักสี ทุกสี ภาษาอังกฤษนะคะ
รู้จักสัตว์บางชนิด สิ่งของบางอย่าง
เราเห็นเขาไม่พูดไทยเลย เราก็พูดอังกฤษกับเขานิดหน่อย
เช่น ชวนอาบน้ำ ชวนเข้านอน เขาก็รู้เรื่องนะคะ
เท่าที่เราดูและอ่านจากเวป คิดว่าน้องอาจจะเป็นออทิสติกเทียม
อันนี้คิดเองค่ะ ยังไงมิถุนารอตรวจอีกที
มีบ้านไหนลูกชายพูดช้าไหมคะ และทำยังไงให้น้องพูดได้เร็วๆคะ
หรือใครอยู่โคราช มีโรงเรียน หรือสถาบันพัฒนาเด็กแนะนำไหมคะ
ตั้งกระทู้เกือบตีสอง คือนอนไม่หลับค่ะ
อยากให้น้องเข้าโรงเรียน
อ้อ วันที่ไปโรงเรียน น้องยืนดูครูกำลังสอนร้องเพลงภาษาอังกฤษ
กลับมาบ้านเขาก็ร้องแต่เพลงนี้ เราถามแม่ว่าไปฟังจากไหนมา แม่ก็บอก ตอนเราเข้าไปคุยกับครู น้องยืนดูและจำเพลงมาร้องที่บ้าน เรากลับมาอีกจังหวัดนึงแล้ว
คิดถึงลูกมาก อยากลาออกจากงาน แล้วไปสมัครงานแถวบ้าน จะได้ดูแลใกล้ชิดเขา
แต่ก็ติดปัญหาหลายอย่างที่ยังลาออกกะทันหันไม่ได้ค่ะ
ขอบคุณที่อ่านจบ และขอบคุณล่วงหน้า
สำหรับคำแนะนำหรือติ ยินดีน้อมรับค่ะ
อยากให้น้องได้มีเพื่อนวัยเดียวกัน เผื่อเขาจะพูดได้ เพราะแถวบ้านไม่มีเด็กน้อยเลยค่ะ
เพิ่มเติมค่ะ
ส่วนใหญ่น้องอยู่กับยายค่ะ คือแม่เราชอบปฏิบัติธรรม
เวลามีงานที่ไหนแม่ก็จะพาน้องไปด้วย เพราะไม่มีคนดูน้อง
เรากับแฟนก็ทำงาน อยู่คนละจังหวัดด้วย แต่ก็ไปๆมาๆ
เวลาหยุดงานเราก็จะกลับบ้านไปอยู่กับลูกค่ะ
แม่เราเป็นคนชอบทำงานบ้าน คือไม่ค่อยหยุดอยู่เฉยๆค่ะ
หยิบนู่นจับนี่ตลอดเวลา น้องก็จะนั่งเล่นของเล่น บางทีหยิบสมุดมาระบายสีบ้าง
หยิบหนังสือมาเล่น เป็นหนังสือที่อาเราให้มา
มันจะมีปากกาพูดได้ เอาปากกาจิ้มตัวไหนก็จะพูด
มีหนังสือหลายเล่ม ก-ฮ A-Z 1-10 สอนจีน พาหนะ ฯ
น้องจะหยิบแต่หนังสืออังกฤษมาดู แล้วก็พูดตามเอง
ส่วนใหญ่น้องเรียนรู้เองค่ะ เรื่องการ์ตูน เวลาแม่เราเผลอ
ชอบไปหยิบมือถือมาดู เปิดยูทูปเข้าดูเองค่ะ
แต่ตอนนี้งดแล้วนะคะ เด็ดขาดแล้วค่ะ
ที่อยากพาเข้าโรงเรียนเพราะครูบอกว่า ถ้าน้องไม่ได้เรียนอนุบาล
ก็จะขึ้นป.1 ยาก เราก็เลยกลัวค่ะ ไม่รู้ยุคปัจจุบันเป็นแบบนี้
เพราะตอนเราเด็ก เราเคยเรียนอนุบาลแค่ปีเดียว
นอกนั้นเล่นอยู่บ้านค่ะ แหะๆ