ความรักกับความจน

ประสบการณ์ตรง T T

บางครั้งการที่เราใช้ชีวิตร่วมกับใครคนหนึ่ง 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 6 ปี 6 เดือน คุณก็จะรู้สึกทรมานเหมือนผมเอง เรื่องของผมมันยาวและยิ่งกว่านิยาย จนบางครั้งทำให้บอกกับตัวเองอยู่เสมอว่า "คนดีกับคนโง่ ต่างกันที่ตรงไหน" ซึ่งเพิ่งมาพอเข้าใจว่า "คนดีจะรู้ตัวเองว่าโง่ แต่คนโง่จะไม่รู้ว่าตัวเองว่าเป็นคนดี" นี่เอง ทนอ่านนิดหนึ่งครับแล้วคุณจะรู้ว่า เวลาผู้ชายเจ็บ มันมากกว่าคำว่า "ร้องไห้"

* ได้รู้จักเธอ *
ผมรู้จักเธอครั้งแรกทางอินเตอร์เน็ตครับ ตอนนั้นใช้ MSN เป็นช่วงเวลาที่ผมทำงานไป และเรียนปริญญาโทควบคู่ไปด้วย เธอเป็นเพื่อนของน้องคนหนึ่งที่รู้จักทางอินเตอร์เน็ตโดยบังเอิญ สมัยนั้นจะมีห้องแชทรูมแล้วมีคุยหน้าห้องกัน แล้วจึงขอเมลมาคุยใน MSN กัน ผมคุยกับน้องคนที่รู้จักสักระยะ โดยผมก็ไม่ได้คิดอะไร ตอนนั้นบอกตรงว่ายังไม่อยากมีใครเพราะปวดหัวเรื่องงานกับเรียนมาก เลยคุยสนุกๆเพราะน้องเค้าทำงานเป็นพยาบาลเข้ากะดึกเลยได้คุยเป็นเพื่อนกัน สักพักขอเบอร์โทรศัพท์กันแต่ผมไม่เคยโทรหาน้องเค้าเลย และแล้วอยู่มาวันหนึ่งก็มีโทรศัพท์เข้ามา เธอคือเพื่อนน้องที่ผมรู้จัก เธอบอกว่าขอคุยด้วยได้มั้ย เห็นพี่คุยกับเพื่อนแล้วเพื่อนเล่าให้ฟัง ว่าพี่คุยดูเป็นผู้ใหญ่ มีสาระดี หนูขอ Add เมลพี่นะ ผมตอบตกลง เพราะคงไม่มีอะไรมาก และแล้วผมก็ได้คุยกับ "เธอ" มากกว่าน้องที่รู้จักครั้งแรกเสียอีก คุยทั้งทางโทรศัพท์ ทาง MSN (สมัยนั้นไม่มี ไลน์เนอะ) คุยกันหลายเดือนมากจนผมทำวิทยานิพนธ์ ผมจำวันนั้นได้เลย เป็นวันแม่ 12 สิงหาคม เธอโทรมาหาอีกนั่นแหละ ด้วยความสนิทกันผมจึงลองบอกเธอไปว่า "ลองคบกันดูมั้ย" ขำมั้ยล่ะครับ ยังไม่เคยเห็นหน้ากันเลย แต่แปลกยิ่งกว่าเธอบอกว่า "เป็นแฟนกันเลยดีกว่า" ก็โอเคเลยครับตอนนั้นไม่มีใคร คงบ้าเรียนกับบ้างานจนไม่มีใครมอง

* เจอกันครั้งแรก *
ไม่นานหลังจากนั้นเราก็คุยกันสนุกขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ผมรู้ว่าเธอกำลังมีปัญหา เธอสอบติดได้งานราชการที่กรุงเทพฯ ทำให้เธอต้องมาอยู่บ้าน "เพื่อน" ตอนนั้นผมรู้จากปากเธอว่า "บ้านเพื่อน" รู้แค่นั้น แต่มีปัญหากับเพื่อนเพราะทะเลอะกัน เธอร้องไห้ผ่านโทรศัพท์และจะขอย้ายมาอยู่ข้างนอก ซึ่งตอนนั้นเธอพึ่งได้งานใหม่ ยังไม่มีเงิน เธอจึงขอยืมเงินจากผมเพื่อเป็นค่าเช้าห้องเพราะต้องจ่ายล่วงหน้าก่อน (คำถามแรก เป็นคุณ ยังไม่เคยเห็นหน้ากันเลย คุณจะให้เธอยืมเงิน 6000 บาทมั้ย) ผมนอนคิดอยู่นาน พอดีมีไปสัมมนาที่มหาวิทยาลัยพอดี เลยถือโอกาสนัดเจอเธอ ซึ่งเธอก็มาตามนัดเลยนะ บอกตรงครับ ครั้งแรกของการเจอสาวทางอินเตอร์เน็ต ตอนเธอส่งรูปมาก็น่ารักดีนะ แต่ตอนจะเจอเธอจริงๆ ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองทันทีเลย คือไม่ซื้อชุดใหม่ทั้งชุด เสื้อ กางเกง ถึงรองเท้า นาฬิกา ตื่นเต้นมาก เพราะคุยกันมานาน และแล้วก็ได้เจอเธอ เธอเข้ามาทักเองในชุดที่บ้านๆมาก ผมกะเซอ ใส่กระโปรง แต่ผมก็ไม่ได้คิดมากอะไร เธอก็เป็นในแบบของเธอ แต่ผมเขิลมากกว่า ไม่รู้จะทำอะไรเลยพาเธอไปทานอาหารเย็น และไปเดินเล่นนิดหน่อย เธอดูเศร้ามากที่เจอผม ผมสงสารเธอมาก ก่อนกลับบ้านผมถามเธอว่ามีเงินใช้มั้ย เธอส่ายหน้า ผมจึงให้เธอไปก่อน 1000 แล้วบอกว่าพรุ่งนี้จะโอนให้ 6000 ตามที่ขอนะ เธอเข้ามาจับมือดีใจ แล้วอีกวันผมก็ไม่ลังเลที่จะโอนเงินให้เธอจริงๆ

* มาอยู่บ้านผม *
หลังจากนั้นเธอก็ได้ย้ายมาอยู่ห้องเช่นโดยที่ยังไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย ผมจึงไปซื้อของต่างๆให้เธอเพื่อสามารถอยู่ได้ที่ห้องใกล้ที่ทำงานของเธอ และคืนนั้นก็เป็นคืนแรกของผมที่ได้นอนสองต่อสองกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ชีวิตเค้าน่าสงสารมาก ที่นอนด้วยเพราะตอนนั้นดึกมากแล้วและผมไม่ได้จองที่นอนไว้ที่มหาวิทยาลัย กลับบ้านก็ไกล เลยขอนอนด้วยแบบแอบไปนอนข้างล่างที่พื้น เธอยิ้มบอกให้มานอนบนเตียงด้วยกัน บอกตรงนะครับสำหรับผมคิดว่าคงไม่เป็นไร นอนก็นอน คงไม่มีอะไร พรุ่งนี้ก็เช้าแล้วเหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่ แต่เหตุการณ์ไม่เป็นเช่นกัน ตรงนี้ผมขอไม่เล่นนะ แต่เธอทำให้ผมหลงรักแบบสงสารโดยไม่รู้ตัว จากนั้นผมก็พาเธอไปเที่ยววัดบ้าง ห้างบ้าง เราคบกันเป็นแฟนอย่างเปิดเผย และสุดท้ายพามาเปิดตัวที่บ้าน คืนนั้นเธอค้างที่บ้านผมเลย แต่นอนคนที่ละห้อง พ่อ แม่ ผมไม่ว่าอะไรนะ และดูเค้าปลื้มแฟนผมคนนี้มากด้วย เพราะเธอติดดิน ง่ายๆ กินอะไรก็ง่ายๆ มาเที่ยวบ้านสองครั้งจนเธอตัดสินใจคืนห้องเช่าแล้วมาอยู่ที่บ้านผมเสียเลย อ่อลืมบอกไป เธอไม่มีพ่อ แม่แล้วครับ ถ้ามีผมคงแย่เลย

* ตกงานด้วยกัน *
ช่วงนั้นเกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่ทำงานผมมากจนทำให้บริษัทไม่จ่ายเงินเดือนมา 3 เดือน จ่าย 75% ก็ยังไม่จ่ายมีเรื่องราวกันจนถึงศาล ผมก็อยู่บ้านหางานทำไป เธอมาอยู่ด้วยแล้วแต่ยังทำงานอยู่ แต่คงเป็นเพราะระยะทางในการเดินทางที่ทำให้เธอเหนื่อยล้า ประกอบกับงานที่เธอทำมีปัญหาทำให้เธอตัดสินใจลาออกมาอยู่บ้านของผมอย่างเดียวเหมือนกัน ช่วงนั้นพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง และบ้านอยู่ชานเมืองไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไร ทำให้เราพออยู่กันได้ แต่ถือได้ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทุกข์ที่สุดเลย บริษัทผมเรียกไปรับเงินเดือน 70% ทำให้ผมได้มีโอกาสซื้อทองและแหวนให้เธอ ค่าอาจจะไม่มากมายแต่เป็นสิ่งหนึ่งที่แทนใจได้ ผมไม่ใช่คนรวยอะไร ส่งตัวเองเรียนมาโดยตลอด วันนั้นเธอดีใจมากเลย เพราะเธอขอผมมานอนแล้ว เราตกงานแล้วใช้ชีวิตแบบพอเพียงด้วยกันอยู่ประมาณ 3 เดือน มีที่ซึ้งมากคือตอนทำกระทงขายที่หน้าบ้าน ผมกับเธอได้กำไรคนละ 200 บาทพอขำๆ เพราะทำกับป้า และ น้าๆ เป็น 200 บาทที่ดีใจมากเลย เลยไปกินขนมที่วัดแห่งหนึ่ง สวยมาก ไหว้พระ ขอพร แล้วเราก็ได้งานทำกันทั้งคู่

* เก็บกระเป๋า ไปทำงานต่างจังหวัดด้วยกัน เริ่มชีวิตใหม่ *
เป็นความโชคดีที่เจ้านายบริษัทใหม่ รับเราเข้าทำงานทั้ง 2 คน "เราไม่อดตายแระ" นอนกอดร้องไห้กันด้วยความดีใจ ซึ่งก่อนหน้านั้นอาจจะร้องไห้ด้วยความขมขื่น และแล้วผมก็ได้มาอยู่นอกบ้านกับเธอเป็นครั้งแรกของชีวิต เป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่มีความสุขมากๆ ผมและเธอจะกลับบ้านของผมอย่างน้อยเดือนละครั้ง ผมเงินเดือนค่อนข้างเยอะพอควรด้วยอายุ ณ เวลานั้น เพราะด้วยประสบการณ์และวุฒิการศึกษาทำให้พอใช้หนี้สินเกือบหมดได้ และอยู่อย่างสะดวกสะบาย เธอได้เข้าร้านทำผมทุกอาทิตย์ จากเดิมที่ไม่เคยได้เข้าเลยตั้งแต่ตกงาน ซึ่งผมสงสารเธอมาก ตอนนี้เห็นเธอมีความสุข ผมก็มีความสุขไปด้วยทุกครั้ง ความรักของเราเลยเป็นแบบ 24 ชั่วโมงติดกันเป็นปลาท่องโก๋ เพราะทำงานแผนกเดียวกัน บริษัทเดียวกัน และพักที่เดียวกัน ซึ่งเราไม่เคยเบื่อกันเลย เป็นอย่างนี้อยู่ 4 ปี ผมพอเก็บเงินได้ เธอขอทำจมูก ผมก็ให้โดยไม่ได้เสียดายเงินเลย หมดไป 20000 กว่าบาท เพราะเห็นเธอมีความสุขที่สวยขึ้นนั่นเอง

* เธอเปลี่ยนไป เพราะอะไร ? *
ด้วยการที่ผมมักจะตามใจเธอเสมอ เราสองคนเริ่มใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยเลยก็ว่าได้ อีกทั้งผมเผลอตัวไปลงทุนงานขายตรง สูญเงินไปเยอะและเป็นเงินในอนาคตเสียด้วยซิ เลยทำให้ช่วง 2 ปีหลังที่คบกัน การใช้จ่ายเริ่มไม่ง่ายขึ้น แต่เธอก็คงใช้แบบเดิม โดยผมไม่ได้บอกให้เธอรู้ถึงสถานะการเงินซักเท่าไหร่ ผมยังคงตามใจเธอมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า นาฬิกา ไปดูหนัง ช๊อปปิ้ง และส่งเธอเรียนภาษาอังกฤษ ตอนนี้เธอ ฟัง อ่าน พูด เขียน ภาษาได้ดีที่เดียว แล้วผมก็ซื้อ BB กับ VAIO ให้เธอใช้และเป็นเหตุสำคัญทำให้เธอเปลี่ยนไป ก่อนเธอเปลี่ยนไป เธอบอกกับผมว่า "ให้เวลาผม 1 ปี ที่จะสร้างความมั่นคง โดยมีบ้าน รถ การงานที่มั่นคงให้ดีกว่านี้ให้ได้ งานที่มีโบนัส" ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเธอหมายถึงอะไร แต่ทำไงได้ครับ ผมไม่ใช่คนเก่งอะไร พื้นฐานที่บ้านก็ไม่มีอะไร แล้วผมก็ต้องส่งให้พ่อกับแม่ทุกเดือน ชีวิตผมเริ่มมีมรสุมเข้ามาเมื่อหมอตรวจพบว่า แม่ผมเป็น มะเร็ง ระยะที่ 2 ซึ่งต้องผ่าตัด ซึ่งผมกับน้องชายอีกคนก็ช่วยกันเต็มที่เพื่อรักษาแม่ให้หาย และก็ได้ผล รักษาแม่อยู่ 1 ปี ผมไม่ได้ให้เงินเธอใช้เหมือนเมื่อก่อนอีก เพราะต้องเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทางให้พ่อกับแม่ แต่นี่ทำให้ผมเริ่มไม่เข้าใจในตัวเธอเพราะเธอไม่เคยไปเยี่ยมแม่ผมเลยสักครั้งเดียว .... แล้วอยู่มาผมก็เห็นเธอนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วใช้โทรศัพท์คุยเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ คงเดาได้ไม่อยาก เธอคงอยากหาที่พึ่งใหม่ อนาคตใหม่ ที่รวยกว่า สามารถทำให้เธอมีความสุขมากกว่านี้นี่เอง ผมรู้ว่าเธอกำลังคบกับฝรั่ง ซึ่งเธอคุยอยู่ 3 คน เคยไปเที่ยวค้างคืนกับฝรั่งทั้ง 3 คนมาแล้ว เธอคบที่ละคน ผมพยายามข่มตา นั่งสมาธิ สวดมนต์ ทำตัวเหมือนเดิม เป็นคนดีที่สุด เผื่อว่าเธอจะรักในความเป็นคนดีบ้าง เธอคงไม่ทิ้งผมไป ผมคิดในแง่ดีเสมอ คิดว่าเธอแค่ฝึกภาษาเท่านั้นเอง คงไม่มีอะไร แต่แล้วความคิดผมคงมองโลกสวยเกินไป จนเธอบอกว่า "เราแยกห้องกันอยู่ก็ได้นะ" ทำไมเธอถึงพูดแบบนี้ ผมบอกว่าไม่เป็นไรอยู่ด้วยกันแบบนี้ อยู่แบบพี่น้องกันก็ได้ ซึ่งเธอคงไม่รู้ว่าผมเจ็บมากขนาดไหน ผมพยายามจะไม่ร้องไห้ให้เธอเห็น ผมรักเธอมาก แค่อยากเห็นหน้าเธอเท่านั้น ทั้งๆที่รู้ว่าเธอไม่ได้รักเราแล้วก็ตาม ผมยังคงทำเหมือนเดิม ให้เงินเธอใช้ ดูแลเธอ หาข้าว น้ำ รีดผ้าเช่นเดิม เหมือนเดิมเป็นประจำ ความผูกพัน เป็นสายใยรักที่ทำให้ผมตัดเธอไม่ขาด เธอเป็นคนแรกของผม แต่ผมกลายเป็นคนที่สี่ของเธอ เธอบอกว่าก่อนมีผมเธอมีแฟนมาแล้ว 3 คน แล้วคนที่เธอทะเลาะด้วย จริงๆแล้วไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นแฟนคนที่ 3 ของเธอนั่นเอง เธอมีความฝันยิ่งใหญ่ที่ใกล้จะเป็นจริง เธอมีภาระหนี้สินบ้านพ่อแม่บุญธรรมมากมาย ซึ่งเธอบอกกับผมว่า ผมคงช่วยอะไรไม่ได้ ดังนั้นคงจะต้องมีทางเดินของแต่ละคน เธอจึงตัดสินใจเดินทางไปต่างประเทศ ผมก็ตามไปส่ง ไปต่างประเทศช่วงแรกเค้าให้อยู่ได้โดยใช้ วีซ่าเยี่ยมเยียน เป็นเวลา 2 เดือน เธอลาออกจากงานและเธอเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่กับฝรั่งที่มาจีบเธอคนที่ 3 เป็นเวลา 2 เดือน มันเป็น 2 เดือนที่คุณคงไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บขนาดไหน ขนาดที่เรียกว่า ผมยืนบนรถเมล์ ถ้าคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็ทำให้ผมร้องไห้ได้ น้ำตามันไหลเอง ขนาดนั่งพิมพ์อยู่ ณ ขณะนี้ น้ำตายังไหลนองแก้มอยู่เลยครับ ผู้ชายร้องไห้ได้นะครับ

* บทสุดท้าย *
เธอกลับมาจากต่างประเทศ ผมก็ไปรับเธอที่สนามบินนะ โดยเธอจะขอมาอยู่ด้วย 5 เดือน ผมดีใจมากเลย และคิดอย่างเดียวว่า 5 เดือนจะทำอย่างไรให้เธอกลับมาอยู่กับเรา แต่เธอตอกหน้าผมชาสนิท เมื่อเธอบอกว่า "เธอขออยู่เพื่อมาเรียนภาษา เพื่อจะได้ไปแต่งงานกับฝรั่งได้ และจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่โน่นเลย" จบกันครับ เอามีดมาแทงผมเลยดีกว่า ผมคิดในใจตลอด ผมทำอะไรผิด ผมไม่เคยนอกใจ ไม่เคยดื่มเหล้า ไม่เคยสูบบุหรี่ ไม่เคยเล่นการพนัน ผมทำงานเก็บเงินอยู่นี่ไง ผมรับงานพิเศษทำเสาร์-อาทิตย์ด้วยแล้วนะ ยังไม่พออีกเหรอ หรือเรื่องอย่างว่า... ผมไม่เก่งพอ ผมคิดอย่างเดียว ผิดอะไร ผิดอะไร .... ทำไม ทำไม แล้วก็ทำไม เวลาเกือบ 7 ปีที่ผมหลงรักผู้หญิงคนแรก และเราสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป สัญญานั้น มันไม่มีความหมายอีกแล้วเหรอ .... ผมไม่อาจลืมเธอได้ลง เธอจากไปแล้วครับ วันที่เธอจากไป เธอกับผมจับมือกัน ผมร้องไห้ เธอบอกว่า ไม่ใช่เวลาที่จะมาร้องไห้ ขอให้ผมเจอคนที่ดีและรักผม เธอบอกให้ผมพิสูจน์ตัวเอง สร้างฐานะให้มั่นคงซะ เราต้องอวยพรให้กัน .... จากนั้นเธอยืนส่งผมที่หน้าระเบียงที่ห้องพัก จนรถโดยสารที่ผมยืนอยู่ค่อยๆจากไป มันเป็นภาพสุดท้ายที่ผมได้จดจำเธอ ..."เป็นภาพที่เธอยืนส่งผมขึ้นรถไปทำงานที่ระเบียงหอพัก" เป็นภาพสุดท้ายที่ผมได้เห็นเธอ เธอมายืนส่งผม ..... ผมร้องไห้ตลอดทางที่จะไปทำงาน ร้องไห้แบบไม่มีเสียงใดๆ ร้องไห้จนตาแดง วินาทีนั้นขอบอกว่าไม่อายใคร ผมต้องทำงาน ทำงาน และทำงาน เพื่อจะได้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น คิดไว้เสมอว่า มันไม่เกิดขึ้น ตื่นขึ้นมา คงเจอเธอนอนอยู่ ณ ที่เดิม หลังจากกลับมาที่ห้อง ภาพที่ผมเห็นคือ "เธอปูที่นอนใหม่ให้ เธอเก็บข้าวของไว้เป็นระเบียบ ไม่มีของซักชิ้นที่เป็นของเธอหลงเหลืออยู่อีกเลย แม้กระทั่งสมุดจดบันทึกที่เธอเขียนไว้ เธอฉีกทิ้งทั้งหมด / ผมส่งไลน์ไปขอบคุณเธอที่จัดห้องไว้ให้ แล้วแต่งกลอนอำลาให้เธอ / เธออ่านแล้วอวยพรให้ "โชคดีนะ ดูแลตัวเองดีๆนะ" มันเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยิน และได้อ่าน จากนั้นเธอก็ บล็อคไลน์ ผม ผมส่งเมลหาเธอตลอดเกือบทุกวันจนถึงวันนี้ หวังสักวันเธอคงเปิด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่