
เรื่องราวเส้นขนาดสองเส้นที่ดูแล้วยากจะมาบรรจบพบกันได้ของคนสองพวกที่มีแนวคิดและสิ่งที่รายล้อมพวกเขาต่างกัน จำพวกแรกเป็นชาวนาดั้งเดิม มีโอกาสได้รับการศึกษาน้อย ขาดเงินทุนจึงต้องไปกู้หนี้ยืมสิน จนสุดท้ายครอบครัวจึงตกอยู่ในสภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว ถูกยึดที่ดินทำกิน และทางออกสุดท้ายคือละทิ้งคันไถ มุ่งหน้าสู่เมืองกรุง แต่เขาก็กลับคว้าน้ำเหลว และไม่ได้สิ่งใดติดไม้ติดมือ นอกเสียจากประสบการที่ยากจะลืมเลือนกับบ้านเมืองที่แสนวุ่นวายอย่างกรุงเทพ เขากลับมาบ้านและมุ่งมั่นทำนาต่อไป แต่ผลผลิตก็ไม่เพียงพอที่จะมาใช้หนี้และจุนเจือครอบครัวของเขา เพราะเขาต้องแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งให้กับเจ้าของที่นาที่ให้พวกเขาหยิบยืมทำกิน เขาตกระกำลำบากจนต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป เขาฝากความหวังทั้งหมดไว้กับข้าวที่เขาเพิ่งปลูกลงไป แต่ไม่ช้าข่าวร้ายก็มาถึงเขา เมื่อเจ้าของที่ขอให้เขาออกไป เพราะตัวเจ้าของที่ได้ขายที่ดินผืนนี้เพื่อแก้สภาวะฝืนเคืองทางการเงินของเขา

อีกพวกหนึ่ง เขาเคยเป็นคุณครูมาก่อน มีการศึกษาดี รู้จักการจัดการดูแลเรือกสวนไร่นาของเขาอย่างยั่งยืน ชีวิตอิสระไร้หนีสิน เขาดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ไร้พันธนาการใดๆ เขาเห็นใจกับเพื่อนบ้านที่ตกทุกข์ได้ยากสิ้นจนหนทาง จึงได้หยิบยื่นที่ดินส่วนหนึ่งให้เพื่อนบ้าน แต่พวกเขากลับปฏิเสธ และเลือกจะเข้าเมืองกรุงอีกครั้ง
เมื่อเขาเข้าเมืองกรุงก็พบกับคนสองกลุ่มที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่ขัดแย้งกัน เช่นเดียวกับเขาที่มีต่อคุณครูคนนั้น คนสองกลุ่มมีวาทะฟาดฟันกัน เขาเฝ้ามองฝูงชนเหล่านั้น ภาพตัดกลับมา เราพบว่าเขาหลงไปในซากปรักหักพังของโครงการที่ถูกโกงกินโดยนักการเมือง

สัญญะหรือโมทิฟที่หยิบจับได้
หุ่นไล่กา ชีวิตนี้ของเขาเหมือนหุ่นไล่กาถูกทิ้งไว้กลางทุ่งท้าทายต่อสภาพอากาศที่แปรปรวนและรอคอยว่าสักวันหนึ่งเขาจะโชคดี
ตัวเอกนอน/หลงอยู่ในซากโครงการที่ถูกโกงกิน หมายถึงว่า ตัวเขาเองแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมืองเลย เขาเป็นชนชั้นล่างที่ทำได้อย่างมากเพียงแค่ เฝ้ามองดูคนสองฝ่ายที่ทะเลาะเบาะแว้งกันและ คุยเรื่องการเมืองบ้างในวงสนทนา
ฉากสร้างบ้าน แสดงถึงว่า เขาดิ้นรนทุกหนทางเพื่อให้ได้เงินมาหล่อเลี้ยงครอบครัว และใช้หนีสินที่นับวันยิ่งพอกพูน ในขณะที่สถานะทางการเงินของบ้านเขากำลังพังทลายลง เป็นภาพที่ย้อนแย้งกับการที่เขาไปสร้างบ้านให้คนอื่น

บทสรุป
หนังเรื่องนี้ได้โยนคำถามให้กับเราว่า ชาวบ้านชนชั้นรากหญ้า ได้ประโยชน์อะไรจาการที่ เราชนชั้นกลาง ไปจนถึงชั้นชั้นสูงในสังคมทะเลาะเบาะแว้งกัน เพื่อแย่งชิงอำนาจ เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าจุดจบของสถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไร คนที่อยู่ดีกินดีอยู่แล้ว นับวันก็ยิ่งแต่สบาย (อาจารย์ที่ลาออกมาทำสวน) แต่คนที่ลำบากอันเนื่องมาจากชุดระบบความคิดที่ต่างกัน ก็ยิ่งแต่จะประสบพบเจอความทุกข์ยากเช่นเดิม (ครอบครัวชาวนา) แต่อย่างน้อยในหนัง เราก็เห็นลูกของครอบครัวชาวนาที่สนใจการดำรงชีวิตแบบคุณครู (ตัวแทนของชีวิตที่ยั่งยืน) ถึงแม้เขาจะยังเป็นเด็ก และไม่พร้อมที่จะรับรู้อะไรไปมากกว่าการได้เที่ยวเล่น แต่อย่างน้อยเราก็เห็น “ฝนเม็ดเล็กๆ” ที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า สู่ผืนดินที่แห้งผากในหน้าร้อน เป็น “สัญญาณ” ว่าหน้าฝนกำลังจะมา
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ
https://www.facebook.com/survival.king
Tempy Movies Review วิจารณ์หนัง: สวรรค์บ้านนา (Agrarian Utopia) {Uruphong Raksasad}, 2009
เรื่องราวเส้นขนาดสองเส้นที่ดูแล้วยากจะมาบรรจบพบกันได้ของคนสองพวกที่มีแนวคิดและสิ่งที่รายล้อมพวกเขาต่างกัน จำพวกแรกเป็นชาวนาดั้งเดิม มีโอกาสได้รับการศึกษาน้อย ขาดเงินทุนจึงต้องไปกู้หนี้ยืมสิน จนสุดท้ายครอบครัวจึงตกอยู่ในสภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว ถูกยึดที่ดินทำกิน และทางออกสุดท้ายคือละทิ้งคันไถ มุ่งหน้าสู่เมืองกรุง แต่เขาก็กลับคว้าน้ำเหลว และไม่ได้สิ่งใดติดไม้ติดมือ นอกเสียจากประสบการที่ยากจะลืมเลือนกับบ้านเมืองที่แสนวุ่นวายอย่างกรุงเทพ เขากลับมาบ้านและมุ่งมั่นทำนาต่อไป แต่ผลผลิตก็ไม่เพียงพอที่จะมาใช้หนี้และจุนเจือครอบครัวของเขา เพราะเขาต้องแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งให้กับเจ้าของที่นาที่ให้พวกเขาหยิบยืมทำกิน เขาตกระกำลำบากจนต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป เขาฝากความหวังทั้งหมดไว้กับข้าวที่เขาเพิ่งปลูกลงไป แต่ไม่ช้าข่าวร้ายก็มาถึงเขา เมื่อเจ้าของที่ขอให้เขาออกไป เพราะตัวเจ้าของที่ได้ขายที่ดินผืนนี้เพื่อแก้สภาวะฝืนเคืองทางการเงินของเขา
อีกพวกหนึ่ง เขาเคยเป็นคุณครูมาก่อน มีการศึกษาดี รู้จักการจัดการดูแลเรือกสวนไร่นาของเขาอย่างยั่งยืน ชีวิตอิสระไร้หนีสิน เขาดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ไร้พันธนาการใดๆ เขาเห็นใจกับเพื่อนบ้านที่ตกทุกข์ได้ยากสิ้นจนหนทาง จึงได้หยิบยื่นที่ดินส่วนหนึ่งให้เพื่อนบ้าน แต่พวกเขากลับปฏิเสธ และเลือกจะเข้าเมืองกรุงอีกครั้ง
เมื่อเขาเข้าเมืองกรุงก็พบกับคนสองกลุ่มที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่ขัดแย้งกัน เช่นเดียวกับเขาที่มีต่อคุณครูคนนั้น คนสองกลุ่มมีวาทะฟาดฟันกัน เขาเฝ้ามองฝูงชนเหล่านั้น ภาพตัดกลับมา เราพบว่าเขาหลงไปในซากปรักหักพังของโครงการที่ถูกโกงกินโดยนักการเมือง
สัญญะหรือโมทิฟที่หยิบจับได้
หุ่นไล่กา ชีวิตนี้ของเขาเหมือนหุ่นไล่กาถูกทิ้งไว้กลางทุ่งท้าทายต่อสภาพอากาศที่แปรปรวนและรอคอยว่าสักวันหนึ่งเขาจะโชคดี
ตัวเอกนอน/หลงอยู่ในซากโครงการที่ถูกโกงกิน หมายถึงว่า ตัวเขาเองแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมืองเลย เขาเป็นชนชั้นล่างที่ทำได้อย่างมากเพียงแค่ เฝ้ามองดูคนสองฝ่ายที่ทะเลาะเบาะแว้งกันและ คุยเรื่องการเมืองบ้างในวงสนทนา
ฉากสร้างบ้าน แสดงถึงว่า เขาดิ้นรนทุกหนทางเพื่อให้ได้เงินมาหล่อเลี้ยงครอบครัว และใช้หนีสินที่นับวันยิ่งพอกพูน ในขณะที่สถานะทางการเงินของบ้านเขากำลังพังทลายลง เป็นภาพที่ย้อนแย้งกับการที่เขาไปสร้างบ้านให้คนอื่น
บทสรุป
หนังเรื่องนี้ได้โยนคำถามให้กับเราว่า ชาวบ้านชนชั้นรากหญ้า ได้ประโยชน์อะไรจาการที่ เราชนชั้นกลาง ไปจนถึงชั้นชั้นสูงในสังคมทะเลาะเบาะแว้งกัน เพื่อแย่งชิงอำนาจ เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าจุดจบของสถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไร คนที่อยู่ดีกินดีอยู่แล้ว นับวันก็ยิ่งแต่สบาย (อาจารย์ที่ลาออกมาทำสวน) แต่คนที่ลำบากอันเนื่องมาจากชุดระบบความคิดที่ต่างกัน ก็ยิ่งแต่จะประสบพบเจอความทุกข์ยากเช่นเดิม (ครอบครัวชาวนา) แต่อย่างน้อยในหนัง เราก็เห็นลูกของครอบครัวชาวนาที่สนใจการดำรงชีวิตแบบคุณครู (ตัวแทนของชีวิตที่ยั่งยืน) ถึงแม้เขาจะยังเป็นเด็ก และไม่พร้อมที่จะรับรู้อะไรไปมากกว่าการได้เที่ยวเล่น แต่อย่างน้อยเราก็เห็น “ฝนเม็ดเล็กๆ” ที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า สู่ผืนดินที่แห้งผากในหน้าร้อน เป็น “สัญญาณ” ว่าหน้าฝนกำลังจะมา
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ https://www.facebook.com/survival.king