เตือนภัยสังคม คนหางาน ที่คิดจะมาสมัครงาน บริษัท เดลต้า อิเล็กทรอนิกส์ ประเทศไทย Data Electronic (Thailand) Company

ผมขอเล่า และ แชร์ประสบการณ์ชีวิตของผมหน่อยนะครับ อาจจะยาวหน่อย ถือว่าเป็นการ Review เกี่ยวกับบริษัทนี้หน่อย ถือว่าเป็น diary เล่มนึงละกันครับ
ส่วนใครที่อยากอ่านเกี่ยวกับการโกงเงินเดือนก็ข้ามไปอ่านช่วงกลางๆได้เลยนะครับ ใครที่คิดจะมาสมัครงานที่นี่ จะได้รู้เล่ห์เหลี่ยม  การจ้างงานที่นี่นะครับ
    เริ่มจากที่ ผมเองก็เป็นมนุษย์เงินเดือน เหมือนหลายๆคนครับ และฝันว่า วันนึง เราจะสร้างเนื้อ สร้างตัวได้ และลาออกจากบริษัท แล้วไปเปิดกิจการที่บ้าน แล้วก็ใช้ชีวิตที่บ้านนอก

อย่างสุขสบาย มีความสุข ผมเชื่อว่ามนุษย์เงินเดือน หลายๆคนก็คงฝันไว้อย่างนี้เช่นกัน
  ผมเองจบ ป.ว.ส. อิเล็กทรอนิคส์ มาตรงๆ ไม่ได้เรียนจบสูงอะไร จบออกมาก็มาหางานทำ และได้ทำงานกับบริษัทที่เกี่ยวกับ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิคส์ ที่ตั้งอยู่แถว บางนา ซึงเป็น

บริษัทที่มีพนักงานประมาณ ห้าพันคน (มีสาม Plan)ทำงานอยู่ที่นี่มา ตั้งแต่ สิงหาคม ปี 2005 จนถึง เมษายน 2014 รวมๆก็ แปดปี 6 เดือน ประมาณนั้นครับ และ เมื่อประมาณปี 2011

ผมได้กู้เงิน เพื่อสร้างบ้านให้พ่อกับแม่ อยู่ ต้องผ่อนเดือนละประมาณ 10,400 บาท และหลังจากทำงานที่นี่มา แปดปีกว่า จนวันนึง ผมกับภรรยา ซึ่งก็ทำงานอยู่ที่เดียวกันนี้ คุยกันว่า

เราก็พอจะมีเงินเก็บก้อนนึงแล้ว และงานที่นี่ก็ค่อนข้างตึงเครียดขึ้นทุกวัน เราจึงตัดสินใจ ลาออก และไปทำธุรกิจ เล็กๆ น้อยๆ ที่บ้าน พอได้มีเงินผ่อนค่าบ้าน และพอสำหรับ ค่าอยู่ ค่า

กินก็พอ แล้วค่อยขยับ ขยายกิจการ
  ด้วยความที่ผมเองก็มีฝีมือทางด้านอิเล็กทรอนิคส์ ส่วนภรรยาผม ก็ทำกับข้าวเก่ง เราจึงเปิดร้าน ขายไก่ย่าง ส้มตำ ให้แม่ขาย และภรรยาผมทำก๋วยเตี๋ยวไก่ มะระ (สูตรที่ทำนี้ พิถีพิถัน

ทุกขั้นตอนเลย อร่อยจนหมู่บ้านข้างเคียงยังพากันมากินไม่ขาดสาย) และผม เปิดร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิคส์ และยังมีเครื่องเสียงให้เช่าด้วย และยังปล่อย WIFI ฟรีให้

แขกร้านอาหารด้วย ซึ่งเป็นที่ถูกอก ถูกใจหลายๆคน โดยเฉพาะ วัยรุ่น มากๆ  ด้วยทำเลที่บ้านผมนั้น ก็ติดถนนหลวง แผ่นดิน ถนนใหญ่ สี่เลนเลย  แรกเริ่มนั้น ทุกอย่างดูจะเป็นไป

ด้วยดี ทั้ง ไก่ย่าง ส้มตำ ทั้งก๋วยเตี๋ยว ทั้งๆที่เปิดตัวช่วงหน้าร้อนแท้ๆ(ประมาณกลางเดือนพ.ค.) แต่ขายดิบ ขายดีเหลือเกิน จนทำไม่หวาด ไม่ไหว ส่วนผมเอง ก็มีงานมาเรื่อยๆ ณ ตอนนี้

ทุกอย่างดู โอเคมากครับ จนมาถึงจุดเปลี่ยน คือ ฤดูฝน พอเริ่มเข้าฤดูฝน ทุกๆอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป (เหมือนเป็นความโชคร้ายจริงๆครับ ตั้งแต่เกิดมา จนอายุสามสิบปี ปีนี้เป็นปีที่ฝนดี

ที่สุด ตั้งแต่ฝนเริ่มตก ไม่มีซักวันเดียวเลยที่ฝนไม่ตก ทั้งๆที่ปีนี้ หลายจังหวัด ต้องพบกับภัยแล้ง แท้ๆ) ตอนแรกนึกว่าเมื่อเข้าสู่ฤดูฝน ก๋วยเตี๋ยวคงจะขายดี แต่กลับกลายเป็นว่า บางวัน

ทั้งวันขายได้แค่ สี่ชามก็มี ณ ตอนนี้ ภรรยาผมเองก็ตั้งครรภ์ได้ประมาณ สามเดือนละครับ งานของผมก็แทบจะไม่มี แต่ที่ยังพอขายได้ก็คือ ไก่ย่าง ส้มตำครับ ขายได้เรื่อยๆ ตอนนี้ ผม

กับภรรยา เราเริ่มเครียดกับเรื่องนี้แล้ว แต่ภรรยาผมก็พยายามขายก๋วยเตี๋ยวต่อไปอีกเดือนนึง โดยที่ขาดทุนทุกวัน แค่หวังว่าจะมีลูกค้าเพิ่ม แต่แล้วก็ไปไม่รอดครับ จนต้องหยุดขายไป

และช่วงนี้ ผมเองก็หางานทำไปด้วย ผมสมัครไว้ไม่กี่ที่ และผมโดนเรียกตัวพร้อมๆกัน สองที่ ที่แรกเป็น บริษัทในเครือ SCG ครับ เงินเดือนสตาร์ทแค่ หมื่นต้นๆ แต่สำหรับต่างจังหวัดแล้ว

ก็ถือว่า โอเคนะครับ ส่วนอีกที่คือ บริษัท เมืองไทย ประกันชีวิต ครับด้วยคำว่า ตำแหน่ง ที่ปรึกษาทางด้านการเงิน  และคำพูดต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับรายได้ ความสบาย รายได้แบบ

PASSIVE INCOME เราไม่ได้ให้คุณขายประกันนะ(โธ่ ก็บริษัทประกันแท้ๆ แล้วจะขายอะไร เราก็คิดไปได้) คุณจะได้เป็นผู้จัดการ บลาๆๆ แต่ผมก็ดั๊นหลงเชื่อ(พวกนี้โม้เก่งจริงๆ) ผม

เลือกบริษัท เมืองไทย ประกันชีวิต และเสียเวลากับที่นี่กว่าสองเดือน เกือบสามเดือน เงินที่มีก็ร่อยหรอ จนต้องเริ่มขาย ของที่มี เพื่อนำมาผ่อนบ้าน ในที่สุดก็มารู้ตัวอีกทีคือ จะต้องขาย

ประกัน และผม แทบจะขายไม่ได้เลยซักกรมธรรม์  ตอนนี้ ผมเครียดสุดๆเลยครับ เงินก็ไม่มีละ เมียก็ท้องเริ่มแก่ละ รุ้สึกว่าถึงจุดตกต่ำที่สุดของชีวิตเลยครับ แต่พอจะมาได้กำลังใจจาก

ภรรยา และ อ่านเรื่อง "ชีวิตแปดร้อย" จากเว็ป พันทิป นี่แหละครับ รู้สึกว่า บางส่วนช่างคล้ายกันเหมือนกัน
  ณ ตอนนี้ ผมเริ่มหางานทาง Internet และส่ง Resumeไปยังบริษัทต่างๆ ทั้งยัง Walk In เพื่อหางาน แบบเต็มรูปแบบ ด้วยความรับผิดชอบที่จะต้องสูงขึ้น ตอนนี้เรามีทั้งลูก ทั้ง

ภรรยาที่ต้องดูแล จะท้อไม่ได้แล้ว
  หลายที่ ที่สมัครไป ที่จังหวัดที่ผมอยู่นั้น คำนวนดูแล้ว ด้วยรายได้ต่างๆ ลักษณะงาน รายได้ทางอื่น ที่จะสามารถเสริมได้ ไม่น่าจะสามารถที่จะเลี้ยงดู ลูก และ ภรรยา และ ภาระในการ

ผ่อนบ้านได้ ผม และ ภรรยา จึงได้ตัดสินใจว่าจะขายชุดเครื่องเสียง ซึ่งเป็นสมบัติ ชิ้นสุดท้าย ที่มี และ ที่คิดจะขาย ขณะเดียวกัน ผมก็เริ่มส่ง Resume ไปยังบริษัทต่างๆ ในเขต กรุงเทพฯ

และ ปริมณฑล ที่พอจะได้รายได้ดี และมั่นคงพอที่จะสามารถฝากอนาคตไว้ด้วย ได้ แต่ผมละเว้นที่จะกลับมาทำงานที่บริษัทเดิม ซึ่งหากจะกลับมาที่เดิม ก็ขอเป็นตัวเลือกสุดท้ายจริงๆ
ในที่สุด ก็มีสองบริษัท ที่เรียกตัวผม เพื่อสอบ สัมภาษณ์งาน ซึ่งวันในการสอบ สัมภาษณ์งาน นั้น คลาดกันเพียง หนึ่งวันพอดี โดยที่ บริษัท A (ขอใช้ชื่อ สมมุตินะครับ)สัมภาษณ์ ในวัน

จันทร์ ที่ 15 กันยายน 2557 เวลา 10:00 น.ในตำแหน่ง Service Technician ใน Office แถว BTS พยาไท และ อีกบริษัทนั่นคือ บริษัท เดลต้า อิเล็กทรอนิกส์ นั่นเอง ในวัน

อังคาร ที่ 16 กันยายน 2557 เวลา 08:00-10:00 น. (พอดีทุกรายละเอียดผมได้จด บันทึกไว้ในสมุดจด)
ในวันอาทิตย์ ที่ 14 กันยายน 2557 ผมได้โทรไปหาเพื่อน ที่กรุงเทพฯ ว่าจะขอไปพักอาศัยด้วย เป็นเวลา หนึ่งคืน คือคืนวันที่ 15 กันยายน 2557 และได้จองตั๋วบริษัท นครชัยแอร์ ไป

กรุงเทพฯ ออกเดินทาง เวลา 20:30น. ถึงกรุงเทพฯ เช้ามืด ผมก็ไปอาบน้ำที่ห้องเพื่อน แล้วเดินทางไปสอบสัมภาษณ์งาน ถึงที่นั่นเวลา 09:50 น. (ผมค่อนข้าง serious เรื่องการตรง

เวลา) พอถึงเวลา ผมก็ได้ถูกสัมภาษณ์งาน จากผู้จัดการคนนึง ซึ่งเป็นคน ญี่ปุ่น แต่พูดภาษาไทยได้ ด้วย ไทย คำ อังกฤษ คำ แต่ศัพย์ต่างๆ ผมก็ค่อนข้างคุ้นเคยเป็นอย่างดี จึงไม่ได้

มีปัญหาแต่อย่างใด และการสัมภาษณ์ ก็เป็นที่น่าพอใจ เขาจึงตกลงรับผม แต่ก็มีต่อรองเรื่องเงินเดือนนิดหน่อย และ ยอมรับกันที่ 16k แต่เมื่อผมสอบถามถึงลักษณะงาน ซึ่งเป็นงาน

แบบ Service การคิด โอทีจึงไม่ได้ตายตัว และ ค่าช่วยเหลือต่างๆ ก็ไม่ได้ชัดเจน ประกอบกับต้องเรียนภาษา และไปดูงานที่ ญี่ปุ่น (ภรรยาก็ท้องแก่ละ) และในองค์กร มีพนักงาน

เพียงแค่ ร้อยกว่าคน ผมจึงไม่กล้าคาดหวังเรื่องความมั่นคง ผมจึงได้ ปฏิเสธ ไป
  และแล้ว วันสำคัญ ที่ผมไม่อาจลืมได้ไปชั่วชีวิต ก็ได้มาถึง อังคาร ที่ 16 กันยายน 2557  ผมมาถึงที่นี่ 8: 20น. และ ทำข้อสอบที่ทาง HR ได้เตรียมไว้ ที่ห้อง Interview01/8 ทำ

เสร็จแล้วก็รอสอบสัมภาษณ์ จนเวลาประมาณ 11โมงครึ่ง จึงได้สอบสัมภาษณ์ ซึ่งไม่ได้เหนือความคาดหมาย ทุกคำถามนั้น ผมตอบได้ค่อนข้าง สบายเลยครับ และหลังจากสอบ

สัมภาษณ์เสร็จ คำถามที่ผมไม่ลืมจะถามก็คือ "สามารถรู้ผลภายในกี่วันครับ" ซึ่งคำตอบที่ได้นั้นก็คือ ภายในเจ็ดวัน หลังจากนั้นผมก็ได้กลับที่พัก และเดินทางวกลับบ้านด้วยตั๋วที่จอง

ล่วงหน้าไว้แล้วอย่างสบายใจ
  ในวันเสาร์ ที่ 20กันยายน 2557 ผมได้ส่งข้าวของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้าล่วงหน้ามาก่อน และผม กับภรรยา เดินทางตามมาในวันอาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2557  

คราวนี้มาพักอยุ่กับพี่สาวของ ภรรยา ผมโดยตั้งหน้าตั้งตารอฟังผลการสอบสัมภาษณ์ โดยจะครบเจ็ดวันในวันอังคารที่ 23 กันยายน 2557 นี้
  และแล้ว วันนี้ก็มาถึง วันอังคารที่ 23 กันยายน 2557 ผมใจจด ใจจ่อ รอโทรศัพย์อยุ่ และนึกในใจว่า ถ้าถึงบ่ายโมง หากไม่มีใครโทรมา ผมจะ Walk in ไปสมัครยังอีก บริษัทนึง เป็น

บริษัทที่ใหญ่ และหากเอ่ยชื่อ คงไม่มีใครไม่รู้จักแน่นอน แต่ผมขอเรียกว่า บริษัท B ละกันนะครับ ซึ่งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรม ลาดกระบัง   และแล้วก็ถึงเวลา บ่ายโมง ผมก็คิดว่า อันที่จริง

แล้ว หากบริษัทเดลต้า อิเล็กทรอนิกส์ เขาจะเรียกตัว คงจะไม่รอจนวินาทีสุดท้ายเป็นแน่ ผมจึงตัดสินใจเตรียมเอกสาร และ เดินทางให้เร็วที่สุด ก่อนที่บริษัทจะปิด โดยที่ Target คือ

ต้องได้ทำงานในต้นเดือนตุลาคม ไม่งั้นทุกอย่างก็จะเข้าสู่ภาวะ วิกฤต แน่ๆ
  และแล้วบ่ายสามโมงเศษๆ ผมก็ได้มาถึง บริษัท B และได้ทำการกรอกเอกสารกับ HR พี่ HR ที่นี่ใจดี พูดจาดีมากครับ และเขาบอกว่า ใหนๆผมก็ว่างอยู่ ผมขอสอบ สัมภาษณ์ เป็น

การสแกนเบื้องต้นก่อนละกันนะ ซึ่งผลการ สัมภาษณ์งานครั้งนี้ พี่เขาว่า ผ่านนะ ผมชอบเลย ผมจึงบอกพี่เขาไปว่า พี่ครับ ผมต้องการงานค่อนข้างด่วนนะครับ พี่พอจะช่วยผมได้ไหม

ผมจึงอธิบายเหตุผลให้พี่เขาฟัง ซึ่งเขาก็บอกว่า พรุ่งนี้ก็มีคิว สัมภาษณ์ ของ Engineer และ Manager สำหรับตำแหน่งนี้พอดี งั้นผมจะช่วยละกันนะครับ จะนัดคิวให้เป็นวันพุ่งนี้(พุธ

ที่ 24 กันยายน 2557) และผมถามพี่เขาไปว่า พี่ครับ ไม่ทราบว่าผมสามารถถามได้ไหมว่า ตำแหน่งนี้ ในประกาศ บอกว่ารับ 6คน ณ ตอนนี้ได้กี่คนละครับ ซึ่งพี่ HR(อันที่จริงผมก็ยัง

จำชื่อพี่เขาได้อยู่) พี่เขาบอกว่า สมัครมาแล้ว หลายร้อยคน  เพิ่งจะคัดเลือกได้ สามคน หนึ่งในนั้น เป็นลูกสาวของ Manager ของที่นี่ด้วย(ผมนี่ แอบตกใจอยุ่นิดนึงเลยครับ)
  และวันนี้ก็มาถึง วัน พุธ ที่ 24 กันยายน 2557 ในระหว่างที่ผมรอสอบสัมภาษณ์ อยู่นั้น HR ของบริษัท เดลต้า อิเล็กทรอนิกส์ ก็ได้โทรมาแจ้งว่า ทางบริษัท เดลต้า อิเล็กทรอนิกส์

ตกลงที่จะรับผมเข้าทำงาน ในวันพุธที่ 1ตุลาคม 2557 แต่เงินเดือนที่เรียกมาที่ 15,000 บาทนั้น เราอนุมัติได้แค่ 14,500 บาท คุณ...พอจะสู้ไหมไหมคะ ณเวลานั้น ผมเองก็รับปากไว้

ก่อนเลยครับ เขาจึงบอกให้ผมไปตรวจสุขภาพนะ ที่...และเตรียมเอกสารให้พร้อม ในวันเซ็นสัญญา และอื่นๆอีกมากมาย
  ถึงยังไงตอนนี้ ผมก็รอสอบสัมภาษณ์ ที่บริษัท B อยู่ ยังไงก็จะทำให้ดีที่สุด และมีคนที่รอสอบด้วยกันทั้งหมด 6 คน และพี่ HR คนเมื่อวาน ได้เอาข้อสอบมาให้สอบ ซึ่งสำหรับผม ค่อน

ข้างง่ายมากเลยครับ แต่งง ที่มีคนนึง มาขอลอกข้อสอบกับผมด้วย (ทั้งๆที่จะสอบเข้าแย่งกันเนี่ยนะ) แต่ถึงกระนั้นผมก็ยอมให้เขาดูบ้าง เล็กน้อยครับ หลังจากนั้นก็ มีน้องคนนึง ถูก

เรียกไปก่อน แต่เพียงแค่แป็บเดียว น้องคนนี้ก็เดินออกมา พร้อมหน้าเศร้าๆ เขาบอกผมว่า เขาปฏิเสธผม เพราะ อายุผมน้อยไป แค่ 23ปี และประสปการณ์ การทำงานแค่สองปี ซึ่งที่เขา

ต้องการคือ 5-10 ปีอ่ะครับ ผมเอง รู้สึกสงสารน้องเขาเหมือนกันครับ และ เมื่อถึงคิวของผม ผมก็ทำได้ดีเช่นเคย จนเขาชม แต่ก็พูดว่า เราเจ็บมาเยอะแล้วกับการรับคนที่ Present

ได้ดีอย่างนี้ แต่หากเราได้ร่วมงานกันจริงๆ เราอยากเห็น ศักยภาพ ของคุณเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่อง TPM ที่ทางเราเน้นที่สุด เพราะบริษัทเราเน้นเรื่องนี้จนถึงระดับ World Class

เชียวนะ ผมเองก็ยิ้มเลยครับ และ หลังจากนั้น พี่ HR ก็บอกว่า รู้ผลภายในสองวันนะครับ และผมก็กลับบ้านอย่างสบายใจ
  และแล้วก็ถึงเวลาต้องเลือกละครับ ว่าจะเลือกทำงานกับ บริษัทใหน ภรรยาผม เชียร์ บริษัท B ครับ เพราะเป็นบริษัทที่ มั่นคง มีชื่อเสียง แต่การตัดสินใจทั้งหมดก็คงอยู่ที่ผมอยู่ดี โดยผม

เปรีบยเทียบเรื่องต่างๆ ดังนี้ บริษัท B เริ่มทำงานที่เงินเดือน 13500 บาท และเมื่อ ผ่านโปรฯ จะปรับให้เป็น 15,000 บาท (เงินเดือนเก่าคือ 13,740 บาท) อืม...ก็พอจะได้ค่าประสบการณ์

และเขาบอกว่า ฐานเงินเดือนที่นี่ ปรับแต่ละปี ค่อนข้างสูง (ขอนุญาตไม่กล่าว เพราะผมว่ามันสูงมาก ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะจริงไหม แต่ไม่ได้สูงจนเหลือเชื่อนะครับ) แต่ สำหรับคนที่คิดว่า

ไม่มี OT คงอยู่ไม่ได้ สำหรับที่นี่คงจะไม่ใช่ที่ที่เหมาะสม การทำงานคือ ต้องทำงานกับเครื่องจักรที่มี Module ต่างๆค่อนข้างใหญ่ พูดนัยนึงว่าเป็นเครื่องจักรกลหนักล่ะครับ
  แต่แล้วผมก็เล
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่