เทศกาลคริสต์มาสและอีสเตอร์กลายเป็นหนึ่งในเทศกาลที่มีความสำคัญในประเทศไทย แม้จะไม่ถูกประกาศให้เป็นวันสำคัญก็ตาม จากงานพิธีทางศาสนาที่มีให้เห็นเฉพาะแต่ในศาสนสถาน กลายเป็นเทศกาลให้ของขวัญและเทศกาลเก็บลูกอมที่มีพุทธศาสนิกชนชาวไทยร่วมเฉลิมฉลอง นอกจากในส่วนของความเชื่อแล้ว การตลาดก็มีส่วนที่ทำให้เทศกาลดังกล่าวเป็นที่แพร่หลายในประเทศไทย ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ การตกแต่งห้างร้านต้อนรับเทศกาล
เมื่อเช้าวันนี้ ล่ามชาวเกาหลีใต้ที่เจ้าของกระทู้รู้จักนั่งรถสองแถวมาหาที่ทำงาน เขาให้แผ่นพับ "พระผู้ช่วยจากสวรรค์" แก่เจ้าของกระทู้และเพื่อนร่วมงาน เขาอยากให้ชาวไทยเข้าใจจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเทศกาลคริสต์มาสและอีสเตอร์ที่เป็นมากกว่ากิจกรรมรื่นเริง ส่วนตัวเจ้าของกระทู้เคยมีประสบการณ์ที่ไม่น่าประทับใจกับชาวเกาหลีใต้ถึงขั้นปฏิเสธรับงานที่ต้องพบปะกับชาวเกาหลีใต้มาแล้วหลายครั้ง เนื่องจากเจ้าของกระทู้กับเพื่อนร่วมงานต้องแบกรับความกดดันจากนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ที่เดินทางมากับฮานะทัวร์ซึ่งไม่ให้เกียรตินักท่องเที่ยวชาติอื่น รวมถึงคนในพื้นที่ จนกระทั่งเจ้าของกระทู้ได้รู้จักล่ามชาวเกาหลีใต้รายนี้เมื่อปลายปีที่แล้ว ล่ามชาวเกาหลีใต้รายนี้บอกว่าพระเยซูสอนเขาให้รู้จักให้เกียรติคนอื่นและเขายังฝากเจ้าของกระทู้ช่วยแบ่งปันเรื่องราวในแผ่นพับแก่ชาวพันทิปด้วย
วันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันเกิดของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิโรมันกำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย แต่สิ่งแรกที่คนทั่วไปจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส คือซานตาคลอส ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง
สิ่งแรกที่คนทั่วไปจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันอีสเตอร์แทนการคืนชีพของพระเยซู คือกระต่าย มันถูกยกเป็นสัญลักษณ์แห่งวันอีสเตอร์เนื่องจากมันเป็นสัตว์ที่สามารถตกลูกได้เร็ว และตกลูกทีหลายๆ ตัว จึงอาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่คริสตศาสนิกชนนำกระต่ายมาเป็นสัญลักษณ์ของการให้กำเนิดชีวิตใหม่อีกหลายๆ ชีวิตก็เป็นได้ อย่างไรก็ดี ไม่ว่ากระต่ายจะเกี่ยวอะไรกับอีสเตอร์ก็ตาม คงไม่สำคัญเท่ากับหลักการเบื้องหลังที่คริสตศาสนิกชนเข้ามาร่วมเฉลิมฉลองอีสเตอร์นี้ โดยเข้าใจความหมายและความสำคัญของการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์หรือไม่ต่างหาก เพราะหากเรามาเฉลิมฉลองอีสเตอร์เพียงแค่ได้รับความสนุกสนานจากประเพณีการหาไข่เพียงเท่านั้น การมาเฉลิมฉลองของเราคงเป็นแค่เพียงการมาร่วมเล่นเกมสนุกสนานไปวันหนึ่ง แต่หากเรามาร่วมเฉลิมฉลองด้วยใจคาดหวังที่จะมีชัยชนะร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราจะพบว่า ชีวิตของเราจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจากเดิม มีชีวิตใหม่ที่หลุดพ้นจากความบาปเดิมๆ ในชีวิตเก่า รวมทั้งเราจะคาดหวังที่จะเห็นการเกิดผลในชีวิตที่มากกว่าเดิมอย่างแน่นอน
เจ้าของกระทู้จึงขออนุญาตใช้พื้นที่เล็กๆ เพื่อแบ่งปันเรื่องราวที่หลายคนอาจเคยผ่านหูผ่านตามาแล้วบ้าง ในแผ่นพับดังกล่าวระบุว่า พระเยซูเข้ามาในโลกโดยมีวัตถุประสงค์ 4 อย่างดังนี้
1. เพื่อให้ชีวิตเป็นค่าไถ่
คัมภีร์ของศาสนาคริสต์ชี้ให้เห็นว่า ชีวิตของคนไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง แต่มาจากพระเจ้าสร้าง ดังนั้นทุกชีวิตจึงมีคุณค่าเท่าเที่ยมกัน ซึ่งคุณค่าของชีวิตแต่ละคนมีค่ามากกว่าสมบัติทั้งโลกรวมกัน ถ้าจะถามว่าอะไรทำให้ชีวิตคนมีค่ามากขนาดนั้น คำตอบก็คือเพราะคนเราถูกสร้างตามลักษณะของพระเจ้า แต่เมื่อคนทำบาป ผลของบาปทำให้คนต้องตาย แต่ความตายไม่ใช่จุดจบของชีวิต เพราะคนตายจะต้องถูกพิพากษา และตกนรก แต่พระเจ้ารักทุกคน ไม่อยากให้ทุกคนพบจุดจบอย่างนั้น พระเจ้าจึงให้หนทางที่จะช่วยคนให้พ้นโทษ คนจะพ้นโทษได้ก็ต่อเมื่อมีคนที่ไม่เคยทำบาปเลยมารับโทษแทน คนนั้นคือพระเยซู แท้จริงแล้วการตายของพระเยซูสามารถไถ่ความผิดให้คนทั้งโลก แต่คนที่ยอมให้พระเยซูไถ่บาปแทนเท่านั้น จะได้รับการช่วยเหลือจากพระเยซู
2. เพื่อมาเรียกคนบาปให้กลับใจ
คัมภีร์ของศาสนาคริสต์บอกว่าคนเราทุกคนเป็นคนบาป คนบาปแยกออกเป็น 2 ประเภทคือ คนบาปที่ยอมรับว่าตนเองมีบาปกับคนบาปที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี การที่พระเยซูเข้ามาในโลกเพื่อช่วยคนบาปประเภทแรกให้หลุดพ้นจากบาป
3. เพื่อมาตามหาคนที่หลงหาย
แท้จริงแล้ว เป้าหมายที่พระเจ้าให้คนอยู่ในโลกนี้ก็เพื่อให้คนมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า และดำเนินชีวิตตามมาตรฐานที่พระเจ้ากำหนดให้ แต่คนเรากลับปฏิเสธพระเจ้า และต้องพบจุดจบที่น่าเศร้าใจ ดังนั้นพระเยซูจึงเข้ามาในโลกนี้เพื่อช่วยคนที่หลงให้กลับมาหาพระเจ้า
4. เพื่อให้ชีวิตที่ครบบริบูรณ์
จุดประสงค์สุดท้ายที่พระเยซูเข้ามาในโลกนี้ก็เพื่อให้ชีวิตแก่มนุษย์ทุกคน ดังนั้นหากผู้ใดที่ถ่อมใจยอมรับความช่วยเหลือจากพระเยซู พระเยซูก็จะขจัดความผิดบาปที่อยู่ในชีวิตของเขาจนหมดสิ้น เขาจึงสามารถกลับไปมีสัมพันธภาพกับพระผู้สร้างอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าวันหนึ่งเขาจะจากโลกนี้ไป แต่วิญญาณของเขาก้จะรอดจากการพิพากษาและไม่ต้องอยู่ในนรกอีกต่อไป
จากแผ่นพับ "พระผู้ช่วยจากสวรรค์"
จัดทำโดย ศูนย์ส่งเสริมการประกาศในกลุ่มคริสตจักร CCMA
ผู้เขียน นิกร สิทธิจริยาภรณ์
สำหรับชาวพันทิปที่สนใจ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://www.thaibible.or.th/index.php
อัพเดทข้อมูล
อ่านกระทู้ต่อเนื่องได้ที่
https://pantip.com/topic/42192759
อยากให้ชาวไทยเข้าใจจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเทศกาลคริสต์มาสและอีสเตอร์
เมื่อเช้าวันนี้ ล่ามชาวเกาหลีใต้ที่เจ้าของกระทู้รู้จักนั่งรถสองแถวมาหาที่ทำงาน เขาให้แผ่นพับ "พระผู้ช่วยจากสวรรค์" แก่เจ้าของกระทู้และเพื่อนร่วมงาน เขาอยากให้ชาวไทยเข้าใจจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเทศกาลคริสต์มาสและอีสเตอร์ที่เป็นมากกว่ากิจกรรมรื่นเริง ส่วนตัวเจ้าของกระทู้เคยมีประสบการณ์ที่ไม่น่าประทับใจกับชาวเกาหลีใต้ถึงขั้นปฏิเสธรับงานที่ต้องพบปะกับชาวเกาหลีใต้มาแล้วหลายครั้ง เนื่องจากเจ้าของกระทู้กับเพื่อนร่วมงานต้องแบกรับความกดดันจากนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ที่เดินทางมากับฮานะทัวร์ซึ่งไม่ให้เกียรตินักท่องเที่ยวชาติอื่น รวมถึงคนในพื้นที่ จนกระทั่งเจ้าของกระทู้ได้รู้จักล่ามชาวเกาหลีใต้รายนี้เมื่อปลายปีที่แล้ว ล่ามชาวเกาหลีใต้รายนี้บอกว่าพระเยซูสอนเขาให้รู้จักให้เกียรติคนอื่นและเขายังฝากเจ้าของกระทู้ช่วยแบ่งปันเรื่องราวในแผ่นพับแก่ชาวพันทิปด้วย
วันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันเกิดของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิโรมันกำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย แต่สิ่งแรกที่คนทั่วไปจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส คือซานตาคลอส ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง
สิ่งแรกที่คนทั่วไปจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันอีสเตอร์แทนการคืนชีพของพระเยซู คือกระต่าย มันถูกยกเป็นสัญลักษณ์แห่งวันอีสเตอร์เนื่องจากมันเป็นสัตว์ที่สามารถตกลูกได้เร็ว และตกลูกทีหลายๆ ตัว จึงอาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่คริสตศาสนิกชนนำกระต่ายมาเป็นสัญลักษณ์ของการให้กำเนิดชีวิตใหม่อีกหลายๆ ชีวิตก็เป็นได้ อย่างไรก็ดี ไม่ว่ากระต่ายจะเกี่ยวอะไรกับอีสเตอร์ก็ตาม คงไม่สำคัญเท่ากับหลักการเบื้องหลังที่คริสตศาสนิกชนเข้ามาร่วมเฉลิมฉลองอีสเตอร์นี้ โดยเข้าใจความหมายและความสำคัญของการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์หรือไม่ต่างหาก เพราะหากเรามาเฉลิมฉลองอีสเตอร์เพียงแค่ได้รับความสนุกสนานจากประเพณีการหาไข่เพียงเท่านั้น การมาเฉลิมฉลองของเราคงเป็นแค่เพียงการมาร่วมเล่นเกมสนุกสนานไปวันหนึ่ง แต่หากเรามาร่วมเฉลิมฉลองด้วยใจคาดหวังที่จะมีชัยชนะร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราจะพบว่า ชีวิตของเราจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจากเดิม มีชีวิตใหม่ที่หลุดพ้นจากความบาปเดิมๆ ในชีวิตเก่า รวมทั้งเราจะคาดหวังที่จะเห็นการเกิดผลในชีวิตที่มากกว่าเดิมอย่างแน่นอน
เจ้าของกระทู้จึงขออนุญาตใช้พื้นที่เล็กๆ เพื่อแบ่งปันเรื่องราวที่หลายคนอาจเคยผ่านหูผ่านตามาแล้วบ้าง ในแผ่นพับดังกล่าวระบุว่า พระเยซูเข้ามาในโลกโดยมีวัตถุประสงค์ 4 อย่างดังนี้
1. เพื่อให้ชีวิตเป็นค่าไถ่
คัมภีร์ของศาสนาคริสต์ชี้ให้เห็นว่า ชีวิตของคนไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง แต่มาจากพระเจ้าสร้าง ดังนั้นทุกชีวิตจึงมีคุณค่าเท่าเที่ยมกัน ซึ่งคุณค่าของชีวิตแต่ละคนมีค่ามากกว่าสมบัติทั้งโลกรวมกัน ถ้าจะถามว่าอะไรทำให้ชีวิตคนมีค่ามากขนาดนั้น คำตอบก็คือเพราะคนเราถูกสร้างตามลักษณะของพระเจ้า แต่เมื่อคนทำบาป ผลของบาปทำให้คนต้องตาย แต่ความตายไม่ใช่จุดจบของชีวิต เพราะคนตายจะต้องถูกพิพากษา และตกนรก แต่พระเจ้ารักทุกคน ไม่อยากให้ทุกคนพบจุดจบอย่างนั้น พระเจ้าจึงให้หนทางที่จะช่วยคนให้พ้นโทษ คนจะพ้นโทษได้ก็ต่อเมื่อมีคนที่ไม่เคยทำบาปเลยมารับโทษแทน คนนั้นคือพระเยซู แท้จริงแล้วการตายของพระเยซูสามารถไถ่ความผิดให้คนทั้งโลก แต่คนที่ยอมให้พระเยซูไถ่บาปแทนเท่านั้น จะได้รับการช่วยเหลือจากพระเยซู
2. เพื่อมาเรียกคนบาปให้กลับใจ
คัมภีร์ของศาสนาคริสต์บอกว่าคนเราทุกคนเป็นคนบาป คนบาปแยกออกเป็น 2 ประเภทคือ คนบาปที่ยอมรับว่าตนเองมีบาปกับคนบาปที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี การที่พระเยซูเข้ามาในโลกเพื่อช่วยคนบาปประเภทแรกให้หลุดพ้นจากบาป
3. เพื่อมาตามหาคนที่หลงหาย
แท้จริงแล้ว เป้าหมายที่พระเจ้าให้คนอยู่ในโลกนี้ก็เพื่อให้คนมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า และดำเนินชีวิตตามมาตรฐานที่พระเจ้ากำหนดให้ แต่คนเรากลับปฏิเสธพระเจ้า และต้องพบจุดจบที่น่าเศร้าใจ ดังนั้นพระเยซูจึงเข้ามาในโลกนี้เพื่อช่วยคนที่หลงให้กลับมาหาพระเจ้า
4. เพื่อให้ชีวิตที่ครบบริบูรณ์
จุดประสงค์สุดท้ายที่พระเยซูเข้ามาในโลกนี้ก็เพื่อให้ชีวิตแก่มนุษย์ทุกคน ดังนั้นหากผู้ใดที่ถ่อมใจยอมรับความช่วยเหลือจากพระเยซู พระเยซูก็จะขจัดความผิดบาปที่อยู่ในชีวิตของเขาจนหมดสิ้น เขาจึงสามารถกลับไปมีสัมพันธภาพกับพระผู้สร้างอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าวันหนึ่งเขาจะจากโลกนี้ไป แต่วิญญาณของเขาก้จะรอดจากการพิพากษาและไม่ต้องอยู่ในนรกอีกต่อไป
จากแผ่นพับ "พระผู้ช่วยจากสวรรค์"
จัดทำโดย ศูนย์ส่งเสริมการประกาศในกลุ่มคริสตจักร CCMA
ผู้เขียน นิกร สิทธิจริยาภรณ์
สำหรับชาวพันทิปที่สนใจ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibible.or.th/index.php
อัพเดทข้อมูล
อ่านกระทู้ต่อเนื่องได้ที่ https://pantip.com/topic/42192759