นมัสการถามพระอาจารย์มั่นถึงเรื่อง “นโม” ว่า
เหตุใดการให้ทานหรือการรับศีลจึงต้องตั้ง “นโม” ก่อนทุกครั้ง
จะกล่าวคำถวายทาน และรับศีลเลยทีเดียวไม่ได้หรือ
พระอาจารย์มั่นได้เทศน์ชี้แจงเรื่อง “นโม” ให้ฟังว่า...
“เหตุใดหนอ นักปราชญ์ทั้งหลาย จะสวดก็ดี จะรับศีลก็ดี
หรือจะทำการกุศลใดๆ ก็ดี จึงต้องตั้งนโมก่อน จะทิ้งนโมไม่ได้เลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ นโม ก็ต้องเป็นสิ่งสำคัญ จะยกขึ้นพิจารณา
ได้ความปรากฏว่า น คือธาตุน้ำ โม คือธาตุดิน
พร้อมกับบทพระคาถาขึ้นมาว่า
มาตาเปตฺติกสมฺภโว โอทนกุมฺมาสุปจโย
สัมภวธาตุของมารดาบิดาผสมกันจึงเป็นตัวตนขึ้นมา
เมื่อคลอดจากครรภ์มารดาแล้ว ก็ได้รับข้าวสุกและขนมกุมมาส
เป็นเครื่องเลี้ยงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาได้
น เป็นธาตุของมารดา โม เป็นธาตุของบิดา
ฉะนั้น เมื่อธาตุทั้ง ๒ ผสมกันเข้าไป
ไฟธาตุของมารดาเคี่ยวเข้าจนได้นามว่า “กลละ”
คือ น้ำมันหยดเดียว ณ ที่นี้เอง
ปฏิสนธิวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิ ได้จิต
จึงได้ปฏิสนธิในธาตุ “นโม” นั้น
เมื่อจิตเข้าไปอาศัยแล้ว “กลละ” ก็ค่อยเจริญขึ้นเป็น “อัมพุชะ”
คือเป็นก้อนเลือด เจริญจากก้อนเลือดมาเป็น “ฆนะ” คือแท่ง
และเปสี คือชิ้นเนื้อ แล้วขยายตัวออกคล้ายรูปจิ้งเหลน
จึงเป็นปัญจสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑
ส่วนธาตุ “พ” คือ ลม “ธ” คือ ไฟ นั้น
เป็นธาตุเข้ามาอาศัยภายหลัง เพราะจิตไม่ถือ เมื่อละจาก “กลละ” นั้นแล้ว
กลละ ก็ต้องเข้ามาอาศัยภายหลัง เพราะจิตไม่ถือ เมื่อละจากกลละนั้นแล้ว
กลละ ก็ต้องทิ้งเปล่า หรือสูญเปล่า ลม และไฟก็ไม่มี
คนตายลมและไฟก็ดับหายสาบสูญไป จึงว่าเป็นธาตุอาศัย
ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ธาตุทั้ง ๒ คือ นโม เป็นดั้งเดิม
ในกาลต่อมาเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ต้องอาศัย “น” มารดา “โม” บิดา
เป็นผู้ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมา ด้วยการให้ข้าวสุกและขนมกุมมาสเป็นต้น
ตลอดจนการแนะนำสั่งสอนความดีทุกอย่าง
ท่านจึงเรียกมารดาบิดา ว่า “ปุพพาจารย์” เป็นผู้สอนก่อนใครๆ ทั้งสิ้น
มารดาบิดาเป็นผู้มีเมตตาจิตต่อบุตรธิดาจะนับจะประมาณมิได้
มรดกที่ท่านทำให้ กล่าวคือ รูปกายนี้แลเป็นมรดกดั้งเดิม
ทรัพย์สินเงินทองอันเป็นภายนอก ก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง
ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ชื่อว่าไม่มีอะไรเลย
เพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น “มูลมรดก” ของมารดาบิดาทั้งสิ้น
จึงว่าคุณของท่านจะนับจะประมาณมิได้เลย ปราชญ์ทั้งหลายจึงหาได้ละทิ้งไม่
เราต้องเอาตัวเราคือ นโม ตั้งขึ้นก่อน แล้วจึงทำกิริยา
หาได้แปลต้นกิริยาไม่ มูลมรดกนี้แลเป็นต้นทุนทำการฝึกหัดปฏิบัติตน
ไม่ต้องเป็นคนจนทรัพย์สำหรับทำทุนปฏิบัติ
นโม เมื่อกล่าวเพียง ๒ ธาตุเท่านั้นยังไม่สมประกอบ หรือยังไม่เต็มส่วน
ต้องพลิกสระพยัญชนะดังนี้ คือ เอาสระอะ จากตัว “น” มาใส่ตัว “ม”
เอาสระโอจากตัว “ม” มาใส่ตัว “น”
แล้วกลับตัวมะ มาไว้หน้าตัว โน เป็น มโน แปลว่า ใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงได้ทั้งกายทั้งใจ
เต็มตามสมควรแก่การใช้เป็นมูลฐานแห่งการปฏิบัติได้
มโน คือ ใจ นี้เป็นดั้งเดิมเป็นมหาฐานใหญ่
จะทำจะพูดอะไรก็ย่อมเป็นไปจากใจนี้ทั้งหมดได้ในพระพุทธพจน์ว่า
มโนปุพฺพงฺ คมา ธมฺมา มโนเสฎฐา มโมยา
ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ
พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย
ก็ทรงบัญญัติออกไปจากใจ คือ มหาฐานนี้ทั้งสิ้น
เหตุนี้เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตามจนถึงรู้สึก นโมแจ่มแจ้งแล้ว
มโน ก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น
สมบัติทั้งหลาย ในโลกนี้ต้องออกไปจากนโมทั้งสิ้น
ของใครก็ก้อนของใคร ต่างคนต่างถือเอาก้อนอันนี้ ถือเอาเป็นสมบัติ
บัญญัติตามกระแสแห่งน้ำโอฆะ
จนเป็นอวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า
ด้วยการหลงถือว่าตัวเป็นเราเป็นของเราไปหมด”
ที่มา...บ้านจอมยุทธ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=28&t=32274
นะโม = นอบน้อมพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เหรอ ทำไมหลวงปู่มั่น ถึงหมายถึงธาตุ น้ำ กับ ดิน
เหตุใดการให้ทานหรือการรับศีลจึงต้องตั้ง “นโม” ก่อนทุกครั้ง
จะกล่าวคำถวายทาน และรับศีลเลยทีเดียวไม่ได้หรือ
พระอาจารย์มั่นได้เทศน์ชี้แจงเรื่อง “นโม” ให้ฟังว่า...
“เหตุใดหนอ นักปราชญ์ทั้งหลาย จะสวดก็ดี จะรับศีลก็ดี
หรือจะทำการกุศลใดๆ ก็ดี จึงต้องตั้งนโมก่อน จะทิ้งนโมไม่ได้เลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ นโม ก็ต้องเป็นสิ่งสำคัญ จะยกขึ้นพิจารณา
ได้ความปรากฏว่า น คือธาตุน้ำ โม คือธาตุดิน
พร้อมกับบทพระคาถาขึ้นมาว่า
มาตาเปตฺติกสมฺภโว โอทนกุมฺมาสุปจโย
สัมภวธาตุของมารดาบิดาผสมกันจึงเป็นตัวตนขึ้นมา
เมื่อคลอดจากครรภ์มารดาแล้ว ก็ได้รับข้าวสุกและขนมกุมมาส
เป็นเครื่องเลี้ยงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาได้
น เป็นธาตุของมารดา โม เป็นธาตุของบิดา
ฉะนั้น เมื่อธาตุทั้ง ๒ ผสมกันเข้าไป
ไฟธาตุของมารดาเคี่ยวเข้าจนได้นามว่า “กลละ”
คือ น้ำมันหยดเดียว ณ ที่นี้เอง
ปฏิสนธิวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิ ได้จิต
จึงได้ปฏิสนธิในธาตุ “นโม” นั้น
เมื่อจิตเข้าไปอาศัยแล้ว “กลละ” ก็ค่อยเจริญขึ้นเป็น “อัมพุชะ”
คือเป็นก้อนเลือด เจริญจากก้อนเลือดมาเป็น “ฆนะ” คือแท่ง
และเปสี คือชิ้นเนื้อ แล้วขยายตัวออกคล้ายรูปจิ้งเหลน
จึงเป็นปัญจสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑
ส่วนธาตุ “พ” คือ ลม “ธ” คือ ไฟ นั้น
เป็นธาตุเข้ามาอาศัยภายหลัง เพราะจิตไม่ถือ เมื่อละจาก “กลละ” นั้นแล้ว
กลละ ก็ต้องเข้ามาอาศัยภายหลัง เพราะจิตไม่ถือ เมื่อละจากกลละนั้นแล้ว
กลละ ก็ต้องทิ้งเปล่า หรือสูญเปล่า ลม และไฟก็ไม่มี
คนตายลมและไฟก็ดับหายสาบสูญไป จึงว่าเป็นธาตุอาศัย
ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ธาตุทั้ง ๒ คือ นโม เป็นดั้งเดิม
ในกาลต่อมาเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ต้องอาศัย “น” มารดา “โม” บิดา
เป็นผู้ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมา ด้วยการให้ข้าวสุกและขนมกุมมาสเป็นต้น
ตลอดจนการแนะนำสั่งสอนความดีทุกอย่าง
ท่านจึงเรียกมารดาบิดา ว่า “ปุพพาจารย์” เป็นผู้สอนก่อนใครๆ ทั้งสิ้น
มารดาบิดาเป็นผู้มีเมตตาจิตต่อบุตรธิดาจะนับจะประมาณมิได้
มรดกที่ท่านทำให้ กล่าวคือ รูปกายนี้แลเป็นมรดกดั้งเดิม
ทรัพย์สินเงินทองอันเป็นภายนอก ก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง
ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ชื่อว่าไม่มีอะไรเลย
เพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น “มูลมรดก” ของมารดาบิดาทั้งสิ้น
จึงว่าคุณของท่านจะนับจะประมาณมิได้เลย ปราชญ์ทั้งหลายจึงหาได้ละทิ้งไม่
เราต้องเอาตัวเราคือ นโม ตั้งขึ้นก่อน แล้วจึงทำกิริยา
หาได้แปลต้นกิริยาไม่ มูลมรดกนี้แลเป็นต้นทุนทำการฝึกหัดปฏิบัติตน
ไม่ต้องเป็นคนจนทรัพย์สำหรับทำทุนปฏิบัติ
นโม เมื่อกล่าวเพียง ๒ ธาตุเท่านั้นยังไม่สมประกอบ หรือยังไม่เต็มส่วน
ต้องพลิกสระพยัญชนะดังนี้ คือ เอาสระอะ จากตัว “น” มาใส่ตัว “ม”
เอาสระโอจากตัว “ม” มาใส่ตัว “น”
แล้วกลับตัวมะ มาไว้หน้าตัว โน เป็น มโน แปลว่า ใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงได้ทั้งกายทั้งใจ
เต็มตามสมควรแก่การใช้เป็นมูลฐานแห่งการปฏิบัติได้
มโน คือ ใจ นี้เป็นดั้งเดิมเป็นมหาฐานใหญ่
จะทำจะพูดอะไรก็ย่อมเป็นไปจากใจนี้ทั้งหมดได้ในพระพุทธพจน์ว่า
มโนปุพฺพงฺ คมา ธมฺมา มโนเสฎฐา มโมยา
ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ
พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย
ก็ทรงบัญญัติออกไปจากใจ คือ มหาฐานนี้ทั้งสิ้น
เหตุนี้เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตามจนถึงรู้สึก นโมแจ่มแจ้งแล้ว
มโน ก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น
สมบัติทั้งหลาย ในโลกนี้ต้องออกไปจากนโมทั้งสิ้น
ของใครก็ก้อนของใคร ต่างคนต่างถือเอาก้อนอันนี้ ถือเอาเป็นสมบัติ
บัญญัติตามกระแสแห่งน้ำโอฆะ
จนเป็นอวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า
ด้วยการหลงถือว่าตัวเป็นเราเป็นของเราไปหมด”
ที่มา...บ้านจอมยุทธ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=28&t=32274