อาสวะละด้วยการเห็น
เราควรจะไม่พูดอ้างว่า สมมุติ ปรมัติ
เราจะพูดแต่สัญญาที่ถูกต้อง ใช้ภาษาธรรมที่ไม่ขัดแย้งกับโลกและธรรม
ไม่พูดภาษาธรรมผิดตามโลกที่ขัดแย้งกับธรรม ครับ
ไม่พูด สัญญาวิปราศ
สัญญาวิปลาส คือ สัญญาผิดเพี้ยน
เพราะ พระพุทธเจ้าสอนว่า
เราย่อมกล่าวสัญญาว่ามีคำพูดเป็นผล (เพราะว่า) บุคคลย่อมรู้สึก
โดยประการใดๆ ก็ย่อมพูดโดยประการนั้นๆ ว่า เราเป็นผู้มีความรู้สึกอย่างนั้น
นี้เรียกว่าวิบากแห่งสัญญา
.................
อยากถามเพื่อนๆว่า
พระพุทธเจ้าสอนว่า
ภิกษุ
น้อมใจไปอย่างนี้ว่า ถ้าว่าเราไม่พึงมี ขันธปัญจกของเราก็ไม่พึงมี
กรรมสังขารจักไม่มี(มโนสัญญเจตนาอาหาร) การ
ปฏิสนธิก็จักไม่มีแก่เรา ดังนี้ พึงตัดโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้.
รู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น
เมื่อใด เธอเมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อรับรู้อารมณ์
ที่ได้รับรู้ก็สักแต่ว่ารับรู้ เมื่อรู้แจ้งธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งก็สักแต่ว่ารู้แจ้ง เมื่อนั้น เธอ
ก็จะไม่มี เมื่อใด เธอไม่มี เมื่อนั้น เธอก็จะไม่ยึดติดในสิ่งนั้น๒- เมื่อใด เธอไม่
ยึดติดในสิ่งนั้น เมื่อนั้น เธอจักไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างโลก
ทั้งสอง นี้เป็นที่สุดแห่งทุกข์
..........................
แตกต่างจาก นัตถิกทิฏฐิ อุทเฉททิฐิ อย่างไร
ครับ
..............
ส่วนตัวคิดว่าน้อยคนจะรู้
น้อยคนจะมาศึกษาธรรมะ
มาฟังธรรมะกันครับ
ข้อดีของการฟังธรรม คือข้อแตกต่าง ระหว่างคนหลงทางและไม่หลงทาง พระอรหันต์ไม่มีทุกข์ใดๆทั้งสิ้น
เราควรจะไม่พูดอ้างว่า สมมุติ ปรมัติ
เราจะพูดแต่สัญญาที่ถูกต้อง ใช้ภาษาธรรมที่ไม่ขัดแย้งกับโลกและธรรม
ไม่พูดภาษาธรรมผิดตามโลกที่ขัดแย้งกับธรรม ครับ
ไม่พูด สัญญาวิปราศ
สัญญาวิปลาส คือ สัญญาผิดเพี้ยน
เพราะ พระพุทธเจ้าสอนว่า
โดยประการใดๆ ก็ย่อมพูดโดยประการนั้นๆ ว่า เราเป็นผู้มีความรู้สึกอย่างนั้น
นี้เรียกว่าวิบากแห่งสัญญา
.................
อยากถามเพื่อนๆว่า
พระพุทธเจ้าสอนว่า
ภิกษุ
น้อมใจไปอย่างนี้ว่า ถ้าว่าเราไม่พึงมี ขันธปัญจกของเราก็ไม่พึงมี
กรรมสังขารจักไม่มี(มโนสัญญเจตนาอาหาร) การ
ปฏิสนธิก็จักไม่มีแก่เรา ดังนี้ พึงตัดโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้.
รู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น
เมื่อใด เธอเมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อรับรู้อารมณ์
ที่ได้รับรู้ก็สักแต่ว่ารับรู้ เมื่อรู้แจ้งธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งก็สักแต่ว่ารู้แจ้ง เมื่อนั้น เธอ
ก็จะไม่มี เมื่อใด เธอไม่มี เมื่อนั้น เธอก็จะไม่ยึดติดในสิ่งนั้น๒- เมื่อใด เธอไม่
ยึดติดในสิ่งนั้น เมื่อนั้น เธอจักไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างโลก
ทั้งสอง นี้เป็นที่สุดแห่งทุกข์
..........................
แตกต่างจาก นัตถิกทิฏฐิ อุทเฉททิฐิ อย่างไร
ครับ
..............
ส่วนตัวคิดว่าน้อยคนจะรู้
น้อยคนจะมาศึกษาธรรมะ
มาฟังธรรมะกันครับ