[CR] ญี่ปุ่น>>Nat's Story - ตะลุยเจแปนแดนปลาดิบ ครั้งแรก!! ด้วยตนเอง \*0*/

ภาค2ซัปโปโร http://pantip.com/topic/33486206

สวัสดีค่าาาา ชาวพันทิปทุกคนขอแนะนำตัวก่อนเลยนะคะ ชื่อแน๊ทค่ะ ก็กระทู้นี้ก็เป็นกระทู้แรกที่เขียน อาจจะมีผิดพลาดบ้าง ขออภัยมาณที่นี้เลยนะคะ จุ๊บๆ
งั้นเรามาเริ่มกันเลยยยยยยย!!!

วันนี้แน๊ทจะมาเล่าประสบการณ์สนุกๆ (หรือจะเรียกว่าขนหัวลุกก็ได้นะคะ555) เมื่อวันที่15 เวลา 23:40 น. โดยประมาณ แน๊ท,รีน่า(เพื่อนของแน๊ทเอง)และคุณแม่ได้เดินทางไปญี่ปุ่นกัน โดยแน๊ทยังไม่เคยไปเลยยย ส่วนแม่ก็ไปทำงานบ่อยๆแต่ก็ไม่ได้เดินทางเองแบบนี้ ส่วนรีน่านางเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นแต่นางไปอยู่ไทยตั้งแต่เด็กๆก็คงจำอะไรได้ไม่มาก โชคยังดีที่แม่พอพูดญี่ปุ่นได้เเบบเป็นคำๆ แน๊ทก็อ่านญี่ปุ่นออกแค่ฮิรางานะ คะตะคะนะ 5555 เรียนมาแค่นี้จริงๆ อาศัยอังกฤษอันน้อยนิดล้วนๆบอกเลย แล้วก็ของุ้บงิ้บไม่บอกนะคะว่าไปที่ไหนกันบ้าง5555แต่ทริปนี้ครบจริงๆนะ งั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา งั้นเริ่มวันแรกเลยน้าาาอมยิ้ม21

วันที่1 Say Hello "Otaru"

พวกเราเดินทางมาถึงสนามบิน New Citose ประมาณ 7:30 น. กว่าๆ หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยก็ออกเดินทางกันได้เลย

สนามบินที่นี้มีความทันสมัยมากๆๆๆๆ บอกเลยว่าสุดยอด เดินไปเรื่อยๆความรู้สึกเหมือน เห้ย!ฉันมาเดินห้างหรือเปล่า555 แถมมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเลยค่ะ มีแต่ของน่ารักๆ คนที่นี่ก็มีแต่น่ารักๆอมยิ้ม02

ด้วยความที่แม่เคยมีนายเป็นคนญี่ปุ่นเเละนัดจะเจอกันที่โตเกียวแม่ก็เลยหอบหิ้วของฝากมาเป็นจำนวนมาก แล้วสรุปคือ "หนักค่ะ!!" ลากกระเป๋าคงไม่ไหว แน๊ทเลยไปหาข้อมูลการส่งไปรษณีย์ที่ญี่ปุ่นแล้วก็เดินไปถามพี่คนสวยข้างบนว่าที่นี้มี Post office มั้ย เค้าก็บอกทางมาดิบดีเลย น่ารักมากๆ
เข้าสู่เรื่องตื่นเต้นเรื่องแรก "ส่งไปรษณีย์"

เอาตรงๆเลยนะคะ การส่งไปรษณีย์อาจจะฟังดูไม่ยาก แต่ส่งในญี่ปุ่นนี่สิ เอ้ะ!! มันจะเหมือนที่ไทยมั้ยน้าา 5555 เดินดุ่มๆเข้าไปถามเลยค่ะ ส่งอังกฤษไปเค้าก็พยายามตอบเรานะ คือก็พอเข้าใจบ้างอะไรบ้าง คุยไปคุยมาก็รู้เรื่องกันจนได้ อมยิ้ม16 เล่นเอาเหงื่อตกเบาๆ
หลังจากเขียนที่อยู่ ชื่อ +รายละเอียด อะไรเรียบร้อย พนักงานไปรษณีย์ที่นี่ก็จะจัดการทุกอย่างให้เรา (ใช้กล่องพัสดุไทยด้วยนะ 555) ราคาค่าส่งก็ตกประมาณ 200 กว่าบาทไทย ถือว่าไม่แพง หลังจากเอาของฝากออกไปกระเป๋าแม่นี่เบาเลยค่ะ

หลังจากเสร็จภารกิจแรกไปอย่างง่ายดาย เราก็เดินทางต่อสิคะ 555 เป้าหมายคือ สถานี JR ซึ่งอยู่ชั้นล่าง เข็นรถกระเป๋าลงลิฟได้แบบสบายๆเลย 5555
พวกเราซื้อ JR Pass Hokkaido แบบ 5 วันจากไทยมานะคะ เราต้องลงไปยื่นเพื่อนำตัวจริงมาใช้ก่อน

หลังจากยื่นPassport กรอกรายละเอียด เรียบร้อย ก็เดินทางตามป้ายเลยค่ะทุกคน บอกเลยจากคนที่ไม่เคยใช้แผนที่มาก่อน มาใช้ที่นี่ซะชำนาญเลย มองป้ายไปเรื่อยๆ เจอป้ายไปกระพริบๆ ญี่ปุ่นสลับอังกฤษ เห็นคำว่า Otaru St. ก็รีบกระโดดขึ้นรถเลย (ก่อนขึ้นเพื่อความชัวร์ถามคนแถวนั้นนิดนึง พอแน่ใจว่าถูกคันก็โอเค) สายที่เรานั่งนี้เรียกว่า Jr Rapid Airport มันจะผ่านหลายสถานีเลยค่ะ เราจะไปลง Otaru ก็นั่งหลับยาวๆกันไปกว่า 45 นาที ที่นั่งที่นี้ก็สบายโอเคเลยค่ะ
พอรถไฟออกเท่านั้นแหละ โอ้แม่เจ้าตื่นเต้นสิคะ วิวก็สวย คือดี มีหิมะขาวๆเต็มเลย ตื่นเต้นมากๆ ได้เห็นหิมะเป็นครั้งแรกอะเนอะ5555

วิวสวยกินใจจริงๆเลยยย นั่งถ่ายรูปเล่นบ้าง เผลองีบบ้าง อ้าวว ถึงซะแหละ 555
(ไม่รู้ว่ารูปใหญ่ไปมั้ยคือย่อจนนิ้วจะงิกแย้วววร้องไห้) นี้ไงงงง ป้ายกระพริบๆที่บอกไว้55 ไปในญี่ปุ่นสิ่งที่เห็นบ่อยจนชินตาคือตู้กดน้ำนะคะ55555
จิงๆเดินทางมาฮอกไกโดเนี้ยน่าจะง่ายกว่าในโตเกียวเพราะคนไม่พลุกพล่านสักเท่าไร และด้วยความที่โอตารุเป็นเมืองเล็กๆแต่ก็น่ารักนะคะ แต่!!และแล้วเรื่องตื่นเต้นเรื่องที่2ก็ตามมาจนได้....

เรื่องตื่นเต้นเรื่องที่2 "สัญณานโทรศัพท์จ๋า เธอไปอยุ่ที่ไหน!!!"

หลังจากเดินลงรถไฟมาได้ไม่นานแม่ควักโทรศัพท์ออกมาดู คือแน๊ทก็จะเอามาหาแผนที่ โอ้มายก้อดดดด!! ใช้ไม่ได้เลย ขึ้น No Service กรี๊ดดดดใจจะขาดเลยค่ะ แม่ก็จะโทรไปยืนยันโรงแรมคิโรโระว่าเราเข้าพักแน่นะ จะสอบถามว่าจะมีรถที่จะเข้าโรงแรมเนี้ยกี่โมง เอาแล้วไง พอไม่มีสัญณานก็เหมือนชีวิตไรซึ่งลมหายใจ555 แม่ตัดสินใจหยอดตู้กันดีกว่า พอจะโทรเอ้า ซวยแล้วโทรไม่ได้อีก ไปขอร้องคนญี่ปุ่นให้ช่วยเค้าก็ช่วยหาเบอร์ให้ น่ารักมากๆ กดตู้กันมือเป็นระวิงกันเลยทีเดียว พอโทรคุยกับทางคิโรโระ (คือแทบไม่รู้เรื่องก็บอกอยู่ว่าได้อังกฤษนิดหน่อย55 นี่นางล่อแรปรัวๆ1000คำ2วิมา อิฉันจะรู้เรื่องมั้ย กว่าจะจับประเด็นได้ เหงื่อนี่ไหลเป็นสายธารา) เค้าก็บอกมีรถรอบ 14:05 น. กับ 19:00น. คือรอบสุดท้าย (Receptionเน้นหลายรอบมากว่าถ้าหมดรอบสุดท้ายไปแล้วต้องขึ้นแท็กซี่นะ เพราะฉะนั้นรถรอบนี้ สำคัญมากๆนะ!!) แหงนหน้ามองนาฬิกา 5555(ขำแบบโลกมืดมนเม่าเหม่อ) ตอนนั้น14:00น. ถ้าจะไปขึ้นรถของคิโรโระ ก็ต้องขึ้นรถไฟไปสถานี Otaru Chikko ซึ่งไม่ทันแน่ๆ ด้วยความไม่รอบคอบของแน๊ทเองไม่เช็คเวลาให้เรียบร้อย วันนั้นเราเลยต้องขึ้นรถรอบสุดท้าย และท้ายสุดอมยิ้ม20  เลยต้องทำใจยอมรับกันไป พอเคลียร์เรื่องนี้จบก็ลากสัมภาระออกมาจากสถานีเพื่อจะนำไปฝากซึ่งดูแล้วเวลาก็ยังเหลืออยู่เลยกะว่าจะหาอะไรทานกันก่อนเนอะ หาตู้ล็อกเกอร์หยอดเหรียญในสถานีอ้าวววเต็มจ้าาา เดินลากออกมานอกสถานี เห็นสัญลักษณ์ว่าตรงนี้มีตูล็อกเกอร์ ถ้าเดินหันหลังให้สถานีมันจะอยู่ทางขวามือของเราก็เดินไปเลยจ้าาา
           **สิ่งที่ควรระวังในการใช้ตู้ล็อกเกอร์ คือ ล็อกเกอร์ที่นี่มี2แบบหลักนะคะ คือแบบกดจิ้มๆทำรายการที่หน้าจอ กับ แบบอัตโนมือ
และด้วยความโง่ของแน๊ทเองค่ะ(เธออีกแล้วนะแน๊ทเต่าเอือม) คือว่าถ้าเราเห็นตู้ไหนมีกุญแจคาอยู่และเปิดฝาตู้ออกมาได้เลย นั้นแหละคือใส่ได้เลย ใส่ของเข้าไปก่อนแล้วค่อยหยอดเหรียญและหมุนกุญแจ หรือจิ้มทำรายการ แล้วเก็บรหัสPINมา  มันก็จะล็อค แต่!!ด้วยความโง่นี้ไงคะ 55 หยอดปุ้บเเน๊ทบิดลูกกุญแจปั้บมันก็ล็อกอ่ะสิคะคุณผู้โช้มมมม พอดึงลูกกุญแจออกมาได้เราก็งงอะไรว้ะยังไม่ได้ใส่ของเลย อ่ะๆเสียบเข้าไปลองอีกที พอบิดลูกกุญแจให้ตู้เปิดใส่ของเสร็จเสียบไปใหม่ เอ้าาาล็อคไม่ได้แม่เจ้าต้องหยอดใหม่555 ตกตู้นึงก็500เยน ตีซะ140บาทได้ วันนั้นโดนกันไปหลายร้อยเลย โดนโกงบ้างล่ะ หยอดไปก็ยังใช่ไม่ได้บ้าง ตู้เสียบ้าง 55555 มันส์จริงๆ ดังนั้นจำให้ขึ้นใจเลยนะคะ ตามเสต็ปบิดเปิดบิดปิดได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นเลยยย ไม่งั้นจะเสียเงินเหมือนแน๊ทนะ 555เม่าบาดเจ็บ

        เม่าบัลเล่ต์หลังจากวิ่งวุ่นอยู่กับตู้ล็อคเกอร์สักพัก.. ก็เลยเดินออกมาเรื่อยๆ เพื่อจะไปคลองโอตารุอันเลื่องชื่อ  แม่เจอร้านสะดวกซื้อเลยตัดสินใจแวะเข้าไปซื้อบัตรโทรศัพท์ติดไว้ดีกว่า เพราะแม่จะพยายามติดต่อมาที่ศูนย์ทรูมูฟที่ไทยเพื่อจะให้เค้าแก้ไขเรื่องสัญณานให้ เดินไปยังไม่ทันถึงคลองเลยค่ะ เอาจริงๆนะ คืออีกนิดเดียวก็ถึงล้ะ แต่ด้วยความที่วันนั้นมีปัญหาเรื่องโทรศัพท์เข้ามากวนใจเลยแม่แน๊ทไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเลย ทำยังไงให้ติดต่อคนที่ไทยได้เนี้ยย เดินไปสักพักไปเจอคนไทย (ซึ่งคิดว่าน่าจะใช่) เลยเข้าไปถามว่า สวัสดีค่ะ โทรศัพท์ใช้งานได้มั้ยคะ โชคยังเข้าข้างค่ะ พี่เค้าเช่าไวไฟไปจากไทย เลยยังใช้ไลน์ได้เค้าก็ให้ยืม เลยไลน์ไปหาพี่ที่ไทยว่าดูให้หน่อย ส่งไปก็ยังไม่รู้ว่าเค้าจะตอบหรือเปล่า แต่ด้วยความเกรงใจพี่คนไทยคนนั้นเลยปล่อยเลยตามเลย ขอบคุณกันยกใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเดินไปหาข้าวทานกัน คือหิวมากมาย เดินไปเจ้อะร้านๆ นึง ดูหน้าตาหน้าทานมาก ดูตามกระทู้ที่เค้าไปกันเค้าแนะนำว่ามาถึงฮอกไกโดแล้ว ต้องทานข้าวหน้าทะเลอันเลื่องชื่อ!! เห็นรูปตามกระทู้ก็น้ำลายไหล อยากกินกันมากก อ่ะๆไปๆ ไปลองกัน
                หลังจากนั่งแล้วเค้าก็จะนำเมนูมาให้ที่นี่ดีนะเค้ามีภาษาอังกฤษให้ด้วย อิ้อิ้ สั่งกันไปคนละชาม แน๊ทสั่งข้าวหน้าทะเลใส่3อย่าง มี อูนิ,ปู,แล้วก็หอยเซลล์ ส่วนแม่กับรีน่าก็สั่ง กุ้ง,ปูแล้วก็อูนิ..
มาแล้ววว ตามเสต็ปคนไทยเนอะก็ต้อง แชะๆ กันสักหน่อยย

ถ่ายรูปเสร็จสรรพ รีบเลยค่ะรีบ คือจินตนาการไว้ว่าไอ้ไข่เหลืองเนี้ยมันคงหวาน ละลายในลิ้น แค่คิดก็ฟินแล้วค่ะ ซัดอูนิกันไปคนล่ะคำ (ขอให้ทุกคนนึกภาพตามนะคะ55อมยิ้ม15) สภาพที่ได้คือ...
สามสาวที่เหนื่อยล้าบนโต๊ะอาหารที่มีจานข้าวที่แสนอลังการ ตกจานล้ะ900บาทไทย เงยหน้ามองกันโดยมิได้นัดหมายค่ะ!!! บรรยากาศรอบข้างเงียบงัน เหมือนทุกอย่างหยุดการเคลื่อนไหวไป5นาที ก่อนที่ทุกคนจะลนลานคว้าแก้วชาร้อนมาซดแบบไม่ยั้ง 5555

       คือจริงๆแล้ว มันอร่อยสำหรับคนที่ค่อนข้างทานของดิบเก่งๆ แต่พวกเราสามคนไม่ค่อยชอบทานของดิบสักเท่าไร เลยทำให้รู้สึกแปลกๆกับอูนิ ของเค้าออกจะสด ไม่น่าเลยยย แน๊ทเริ่มเปลี่ยนใจมาทานอย่างอื่น เนื้อหอยเซลล์ดิบค่ะ กัดไปปุ้บ เห้ยยยย!! อันนี้ไม่เลวร้ายหวานมากก อร่อยดี กินได้ๆ แม่กับรีน่าลองกินกุ้งสด 5555 สภาพเหมือนReplayตอนกินอูนิอีกรอบ แม่กับรีน่าบอกมันลื่นๆมีเมือกๆในปากอ่ะ กินไม่ได้อ่ะ เริ่มหาวิธีการเอาตัวรอดคือเอากุ้งสดไปจุ่มในถ้วยซุ้ปที่เค้าเสริฟมาให้ด้วยหวังว่ามันจะดีขึ้นแต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย 555 ตลกอ่ะ แต่ทีเด็ดสุดคือปูค่ะ เนื้อแน่นอร่อย หวาน และประเด็นหลักๆคือมันสุก!! ก็เลยติดใจปูที่สุด
           หลังจากกินแบบกล้ำกลืนด้วยความเสียดายก็กินกันไม่หมดค่ะ เพราะเค้าให้ข้าวและเนื้อเยอะมากๆ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย เดินไปจ่ายเงินที่เคาวน์เตอร์ ตอนแรกออกมาคุยกันว่าทานข้าวเสร็จจะเดินไปคลองแต่ด้วยความที่กลัวจะพลาดอีก เลยไม่เอาล้ะ กลับไปสถานี Otaru Chikko ดีกว่าก็ออกเดินทางกลับกันเลยค่ะ
            
            ถึงสถานีตอนนั้นก็ประมาณ สามโมงกว่าๆ รถมาทุ่มนึงเหลือเวลาอีก3ชั่วโมง เลยตกลงกันว่าเอาไงเอากันแม่ต้องทำให้โทรศัพท์ใช้ให้ได้!! ญี่ปุ่นดีอยู่อย่างคือทุกสถานีมีตู้ล็อคเกอร์ มันจึงทำให้เราสะดวกไงค่ะ 555 เดินออกมาจากสถานี Otaru Chikko ก็เจอเลยค่ะตุ้ล็อกเกอร์ เอาของไปฝากกัน (ก่อนฝากพูดกะมันในใจว่า แกจะไม่มีทางได้กินตังฉันอีก เพี้ยนไฟลุก) ยังไงๆ งองูก็มาก่อนฉอฉิ่ง ฝากของคราวนี้เซียนเหมือนเรียนมาเลย ง่ายดาย สบายสุดๆเลยค่ะ
            หลังจากฝากของแล้วก็เดินไปถามคนญี่ปุ่น2คนแถวๆนั้นว่าแถวไหนFree WIFI บ้างเค้าก็บอกว่ามีที่ Mc Donald ในห้างที่ติดกับสถานี ที่เค้าเรียกกันว่า Wing Bay มั้งคะถ้าจำไม่ผิด เลยเดินกันไปเลยค่ะ
ทางอยู่กับปากจะกลัวอะไร กว่าจะถึงMc เล่นเอาเหนื่อยเลย พอมาถึงค่ะ ....ที่นี่ไม่มีFree wifi 5555 โดนหยุ่นหลอกเต็มๆ ไม่เป็นไรไม่หมดหวังเดินต่อไปเรื่อยๆ ห้างที่นี่ใหญ่โตอลังการมาก คนก็ไม่ค่อยเยอะสักเท่าไร ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กนักเรียนค่ะ  เดี๋ยวมาต่อ
ชื่อสินค้า:   ญี่ปุ่น
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่