กู่เสี่ยวหลิน อายุ 29 ปี
เธอกับสามีกำลังเรียนอยู่ที่เยอรมัน
6 ธันวาคม 2550 เธอได้รับแจ้งจากคลีนิคสูตินรีแพทย์
"ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ คุณกำลังจะมีลูก" หมอไซเรนบอก
กู่เสี่ยวหลินแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ลืมกล่าวขอบคุณตามมารยาท
หลังจากวางหู เธอนั่งลง คิดถึงชีวิตที่จะดำเนินต่อไป
กู่แต่งงานกับสามีเมื่อปีที่แล้ว เขากำลังทำปริญญาเอกเศรษฐศาสตร์
ที่มหาวิทยาลัยฮุมโบลด์ท ส่วนเธอเรียนที่มหาวิทยาลัยเสรีแห่งเบอร์ลิน
เธอกับเขาตกลงกันว่าจะยังไม่มีลูกภายใน 3 ปีนี้
เธอโทรกลับไปหาหมอไซเรน ขอปรึกษาเรื่องทำแท้ง
"ขอโทษค่ะ คลีนิคเราไม่มีบริการแบบนี้" หมอไซเรนพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
"ถ้างั้น คุณหมอพอจะแนะนำยาที่จะช่วยให้แท้งลูกได้มั้ยคะ" เธอแปลกใจที่หมอ
มีท่าทีเปลี่ยนไป
"ไม่มีคะ ยาแบบนั้นถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายในเยอรมัน ทำไมคุณถึงไม่อยากให้เด็ก
เกิดมาละคะ" หมอไซเรนถามกลับ
เธอชี้แจงเหตุผลอย่างซีเรียส หมอนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะแนะนำเธออย่างไม่ค่อยเต็มใจ
"หากคุณต้องการทำแท้งจริง ๆ ก่อนอื่นคุณจะต้องไปหาคณะกรรมการของศูนย์ให้
ความช่วยเหลือสตรีเบอร์ลิน คุณต้องตอบคำถามจนกว่าจะได้รับคำรับรองเป็นลาย
ลักษณ์อักษร แล้วจึงจะสามารถไปทำแท้งที่คลีนิคทำแท้งโดยเฉพาะ"
3 วันหลังจากนั้น เธอกับสามีไปพบคณะกรรมการเพื่อตอบข้อซักถาม คนที่รับผิดชอบเรื่อง
นี้เป็นหญิงกลางคน อายุราว ๆ 45 ปี เป็นผู้ได้รับอนุญาติจากรัฐให้ทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ
คำถามที่เธอและสามีได้รับคือ ทำไมถึงไม่ต้องการเด็ก ?
ระหว่างอธิบาย เจ้าหน้าที่เขียนอะไรบางอย่างบนเอกสาร จากนั้นก็มีการเชิญสามีเธอออก
ไปรอข้างนอก
"คุณกู่คะ ดิฉันอยากแน่ใจว่าคุณได้ตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตนเอง ปราศจากการบังคับทั้งทางร่างกายหรือจิตใจ"
กู่เสี่ยวหลินทั้งโกรธและขำ มองเจ้าหน้าที่อย่างไม่เชื่อสายตา เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องง่าย ๆ
ในเมืองจีนถึงได้ดูยุ่งยากซับซ้อน ทำราวกับเธอเป็นผู้ต้องหา
"ดิฉันหมายความว่า การที่คุณตัดสินใจทำแท้ง มันต้องมาจากเจตจำนงของคุณอย่างแท้จริง
ไม่ใช่เพราะมีแรงกดดันจากที่อื่น เป็นต้นว่าคุณอาจถูกสามีคุณบังคับขู่เข็น"
เธอตอบทุกอย่างตามความเป็นจริง
ผ่านไปไม่ถึง 5 นาที เจ้าหน้าที่เชิญเธอและสามีเข้าไปข้างใน เธอได้รับแบบฟอร์มหนึ่งชุด
เจ้าหน้าที่บอกให้เธอและสามีกลับไปปรึกษากันให้รอบคอบอีกครั้ง หากยังคงยืนกราน
หนึ่งสัปดาห์ให้หลังให้คุณถือเอกสารนี้กลับมาให้ดิฉันเซ็นชื่อ แล้วก็ประทับตรา
"ดิฉันขอแจ้งให้ทราบ กฎหมายทำแท้งในเยอรมันกำหนดไว้ว่า ถ้าอายุครรภ์เกินสิบสัปดาห์
ไปแล้วจะไม่สามารถทำแท้งได้ ขอให้พวกคุณแน่ใจเรื่องอายุครรภ์ด้วย"
เธอกับสามีตกใจ รายงานจากคลีนิคสูตินรีบอกว่าเธอตั้งครรภ์มาแล้ว 8 สัปดาห์ ถ้ารวมกับ
การเสียเวลาเดินเรื่องทำแท้ง หมายความว่าเธอเหลือเวลาอีก 12 วันเท่านั้น แล้วนี่เธอยัง
ต้องรออีกหนึ่งสัปดาห์ถึงจะได้รับการรับรอง
เธอรู้ดีว่าประเทศนี้ไม่มีการอลุ่มอล่วยอย่างเด็ดขาด
โดยไม่รอช้า เธอกลับถึงบ้าน รีบเปิดสมุดหน้าเหลือง ค้นหาคลีนิคที่ได้รับทำแท้งอย่างถูก
กฎหมาย เธอควรจะนัดหมอไว้ก่อนล่วงหน้า
น้ำเสียงของพยาบาลในคลีนิคดูเป็นมิตร เข้าใจสถานการณ์ของเธอ และยินดีที่จะช่วยเหลือ
แต่ทั้งนี้ เธอจำเป็นต้องเดินทางไปคลีนิคเพื่อยื่นเอกสารของศูนย์ให้ความช่วยเหลือ ฯ และ
หนังสือรับรองจากสูตินรีแพทย์ด้วยตัวเอง
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เธอเฝ้ารออย่างกระวนกระวาย จนในที่สุด เมื่อหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง
เธอได้รับเอกสารรับรองจากศูนย์ ฯ จึงรีบตรงไปยังคลีนิคแห่งนั้นทันที
เธอกดกริ่งที่หน้าประตู ระหว่างรอ มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมายื่นใบปลิว
ใบปลิวมีข้อความที่ดูน่าตกใจ "อย่าทำลายชีวิตน้อย ๆ ที่ไม่มีความผิด" เธอสะดุดกับคำพูดนี้
แต่ต่อมาก็เข้าใจว่าคนพวกนี้เป็นสมาชิกกลุ่มต่อต้านการทำแท้ง
ทุกอย่างดูราบรื่น เธอเตรียมเอกสารมาพร้อม วันจันทร์หน้า 9 โมงเช้า เธอจะต้องมาที่นี่เพื่อทำแท้ง
แต่ก่อนถึงวันนั้น เธอยังต้องมาพบกับหมอวิสัญยีเพื่อตรวจร่างกาย
ตอนเดินออกจากคลีนิค มีหญิงกลางคนเดินมาหา พูดด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล
"คุณไม่ต้องการเด็กจริง ๆ หรือคะ ไม่ว่าจะยินดีหรือไม่ คุณก็ไม่ควรทำลายชีวิตนะคะ และถึงแม้คุณ
จะเป็นแม่ คุณก็ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น อย่าลืมว่าทุกชีวิตล้วนสำคัญและมีค่า"
"ฉันยังเป็นนักเรียนอยู่เลยคะ " เธอพยายามอธิบาย
เมื่อไปถึงรถ เธอรีบเปิดประตูแล้วหันไปโบกมือ เธอขับรถออกไป แต่ภาพหญิงคนนั้นยังคงติดตา
ค่ำวันนั้นเธอไปกินอาหารเย็นที่บ้านเพื่อน ระหว่างสนทนา เธอเล่าให้ฟังเรื่องเจอกับกลุ่มต่อ
ต้านการทำแท้ง เพื่อนเตือนเธอว่าอย่าไปใส่ใจคนพวกนั้น การตัดสินใจเป็นสิทธิ์ของเธอ และ
ทุกอย่างได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว
เธอรู้สึกใจชื้น
ก่อนจากลา ภรรยาของเพื่อนถามเธอว่า
"คุณกู่คะ พรุ่งนี้ฉันกับสามีจะต้องไปทำธุระที่เดรสเดน คุณพอจะมีเวลาช่วยดูแลลูกสาวของเรามั้ยคะ"
ลูกสาวของเพื่อนอายุ 4 ขวบ หน้าตาน่ารัก เธอรับปากในทันที
วันต่อมา ครอบครัวเพื่อนพาลูกสาวมาฝากถึงที่ ตอนเช้าเธอต้องเตรียมร่างวิทยานิพนธ์
เลยหาดินสอสีกับสมุดวาดรูปให้เจ้าตัวเล็ก ปล่อยให้ละเลงอย่างเต็มที่ ส่วนเธอก็ทำงาน
ของเธอไป
พอเสร็จงานแล้วเธอเข้าไปดู เห็นเจ้าตัวเล็กเอาสีเขียนหน้าตัวเอง หันมาทำท่าทะเล้นใส่
หลังอาหารเธอพาเจ้าตัวเล็กไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ เธอนั่งมองเจ้าตัวเล็กเล่นชิงช้า
กับเด็ก ๆ วัยเดียวกัน วิ่งยิ้มไม่หุบ พอหันมาที่เธอ ๆ ก็ยิ้มตอบ
ก่อนถึงวันนัด เธอไปพบวิสัญยีแพทย์ที่คลีนิค แล้ววันอาทิตย์ก็ได้รับแจ้งว่าผลตรวจร่าง
กายเธอสมบูรณ์ดี พร้อมที่จะทำแท้งโดยไม่เกิดอันตราย
เช้าวันจันทร์มาถึง หิมะโปรยปราย อากาศเย็นเยือก
สามีสวมเสื้อคลุมให้เธอแล้วพาไปคลีนิก เป็นครั้งที่สามแล้วที่เธอมาที่แห่งนี้
พวกต่อต้านทำแท้งยังคงยืนอยู่ที่เดิม คอยยื่นใบปลิวพร้อมกับพยายามโน้มน้าวทุกคนที่ก้าวออกมา
เธอนั่งรออยู่เงียบ ๆ ดวงตาเหม่อลอย นึกถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น จนกระทั่งหมอมาเรียก ถึงสะดุ้ง
เธอลุกขึ้นยืน เดินไปได้สองก้าวแล้วหยุดลง หันมาดึงแขนสามี และพูดกับหมอด้วยเสียงดังฟังชัด
"ไม่คะ"
เธอขอโทษหมอวิสัญยีและหมอคลีนิคแล้วเดินออกมา
หิมะยังคงโปรยปราย ร่วงใส่ผู้คนที่เดินไปมา
คนกลุ่มนั้นกรูกันเข้ามาแสดงความยินดี หลายคนสวมกอดเธอ
หญิงคนหนึ่งล้วงกระเป๋าเสื้อ หยิบดาวดวงเล็ก ๆ ที่ทำจากผ้าแพรออกมา
"คุณคะ นี่คือของขวัญสำหรับลูกน้อยคะ ทราบมั้ยคะ คุณเป็นคุณแม่คนที่ 1247 ที่เราทำได้สำเร็จ"
กู่เสี่ยวหลินสัมผัสมือที่เย็นเยียบ เงยหน้ามองหิมะที่ติดตามใบหน้าหญิงคนนั้น ดวงตาเปียกชื้น
(เรียบเรียงจากเรื่องเล่าในเน็ตจีน)
เรื่องเล่าจากเน็ต.....เมื่อเธอคิดทำแท้ง
เธอกับสามีกำลังเรียนอยู่ที่เยอรมัน
6 ธันวาคม 2550 เธอได้รับแจ้งจากคลีนิคสูตินรีแพทย์
"ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ คุณกำลังจะมีลูก" หมอไซเรนบอก
กู่เสี่ยวหลินแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ลืมกล่าวขอบคุณตามมารยาท
หลังจากวางหู เธอนั่งลง คิดถึงชีวิตที่จะดำเนินต่อไป
กู่แต่งงานกับสามีเมื่อปีที่แล้ว เขากำลังทำปริญญาเอกเศรษฐศาสตร์
ที่มหาวิทยาลัยฮุมโบลด์ท ส่วนเธอเรียนที่มหาวิทยาลัยเสรีแห่งเบอร์ลิน
เธอกับเขาตกลงกันว่าจะยังไม่มีลูกภายใน 3 ปีนี้
เธอโทรกลับไปหาหมอไซเรน ขอปรึกษาเรื่องทำแท้ง
"ขอโทษค่ะ คลีนิคเราไม่มีบริการแบบนี้" หมอไซเรนพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
"ถ้างั้น คุณหมอพอจะแนะนำยาที่จะช่วยให้แท้งลูกได้มั้ยคะ" เธอแปลกใจที่หมอ
มีท่าทีเปลี่ยนไป
"ไม่มีคะ ยาแบบนั้นถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายในเยอรมัน ทำไมคุณถึงไม่อยากให้เด็ก
เกิดมาละคะ" หมอไซเรนถามกลับ
เธอชี้แจงเหตุผลอย่างซีเรียส หมอนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะแนะนำเธออย่างไม่ค่อยเต็มใจ
"หากคุณต้องการทำแท้งจริง ๆ ก่อนอื่นคุณจะต้องไปหาคณะกรรมการของศูนย์ให้
ความช่วยเหลือสตรีเบอร์ลิน คุณต้องตอบคำถามจนกว่าจะได้รับคำรับรองเป็นลาย
ลักษณ์อักษร แล้วจึงจะสามารถไปทำแท้งที่คลีนิคทำแท้งโดยเฉพาะ"
3 วันหลังจากนั้น เธอกับสามีไปพบคณะกรรมการเพื่อตอบข้อซักถาม คนที่รับผิดชอบเรื่อง
นี้เป็นหญิงกลางคน อายุราว ๆ 45 ปี เป็นผู้ได้รับอนุญาติจากรัฐให้ทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ
คำถามที่เธอและสามีได้รับคือ ทำไมถึงไม่ต้องการเด็ก ?
ระหว่างอธิบาย เจ้าหน้าที่เขียนอะไรบางอย่างบนเอกสาร จากนั้นก็มีการเชิญสามีเธอออก
ไปรอข้างนอก
"คุณกู่คะ ดิฉันอยากแน่ใจว่าคุณได้ตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตนเอง ปราศจากการบังคับทั้งทางร่างกายหรือจิตใจ"
กู่เสี่ยวหลินทั้งโกรธและขำ มองเจ้าหน้าที่อย่างไม่เชื่อสายตา เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องง่าย ๆ
ในเมืองจีนถึงได้ดูยุ่งยากซับซ้อน ทำราวกับเธอเป็นผู้ต้องหา
"ดิฉันหมายความว่า การที่คุณตัดสินใจทำแท้ง มันต้องมาจากเจตจำนงของคุณอย่างแท้จริง
ไม่ใช่เพราะมีแรงกดดันจากที่อื่น เป็นต้นว่าคุณอาจถูกสามีคุณบังคับขู่เข็น"
เธอตอบทุกอย่างตามความเป็นจริง
ผ่านไปไม่ถึง 5 นาที เจ้าหน้าที่เชิญเธอและสามีเข้าไปข้างใน เธอได้รับแบบฟอร์มหนึ่งชุด
เจ้าหน้าที่บอกให้เธอและสามีกลับไปปรึกษากันให้รอบคอบอีกครั้ง หากยังคงยืนกราน
หนึ่งสัปดาห์ให้หลังให้คุณถือเอกสารนี้กลับมาให้ดิฉันเซ็นชื่อ แล้วก็ประทับตรา
"ดิฉันขอแจ้งให้ทราบ กฎหมายทำแท้งในเยอรมันกำหนดไว้ว่า ถ้าอายุครรภ์เกินสิบสัปดาห์
ไปแล้วจะไม่สามารถทำแท้งได้ ขอให้พวกคุณแน่ใจเรื่องอายุครรภ์ด้วย"
เธอกับสามีตกใจ รายงานจากคลีนิคสูตินรีบอกว่าเธอตั้งครรภ์มาแล้ว 8 สัปดาห์ ถ้ารวมกับ
การเสียเวลาเดินเรื่องทำแท้ง หมายความว่าเธอเหลือเวลาอีก 12 วันเท่านั้น แล้วนี่เธอยัง
ต้องรออีกหนึ่งสัปดาห์ถึงจะได้รับการรับรอง
เธอรู้ดีว่าประเทศนี้ไม่มีการอลุ่มอล่วยอย่างเด็ดขาด
โดยไม่รอช้า เธอกลับถึงบ้าน รีบเปิดสมุดหน้าเหลือง ค้นหาคลีนิคที่ได้รับทำแท้งอย่างถูก
กฎหมาย เธอควรจะนัดหมอไว้ก่อนล่วงหน้า
น้ำเสียงของพยาบาลในคลีนิคดูเป็นมิตร เข้าใจสถานการณ์ของเธอ และยินดีที่จะช่วยเหลือ
แต่ทั้งนี้ เธอจำเป็นต้องเดินทางไปคลีนิคเพื่อยื่นเอกสารของศูนย์ให้ความช่วยเหลือ ฯ และ
หนังสือรับรองจากสูตินรีแพทย์ด้วยตัวเอง
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เธอเฝ้ารออย่างกระวนกระวาย จนในที่สุด เมื่อหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง
เธอได้รับเอกสารรับรองจากศูนย์ ฯ จึงรีบตรงไปยังคลีนิคแห่งนั้นทันที
เธอกดกริ่งที่หน้าประตู ระหว่างรอ มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมายื่นใบปลิว
ใบปลิวมีข้อความที่ดูน่าตกใจ "อย่าทำลายชีวิตน้อย ๆ ที่ไม่มีความผิด" เธอสะดุดกับคำพูดนี้
แต่ต่อมาก็เข้าใจว่าคนพวกนี้เป็นสมาชิกกลุ่มต่อต้านการทำแท้ง
ทุกอย่างดูราบรื่น เธอเตรียมเอกสารมาพร้อม วันจันทร์หน้า 9 โมงเช้า เธอจะต้องมาที่นี่เพื่อทำแท้ง
แต่ก่อนถึงวันนั้น เธอยังต้องมาพบกับหมอวิสัญยีเพื่อตรวจร่างกาย
ตอนเดินออกจากคลีนิค มีหญิงกลางคนเดินมาหา พูดด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล
"คุณไม่ต้องการเด็กจริง ๆ หรือคะ ไม่ว่าจะยินดีหรือไม่ คุณก็ไม่ควรทำลายชีวิตนะคะ และถึงแม้คุณ
จะเป็นแม่ คุณก็ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น อย่าลืมว่าทุกชีวิตล้วนสำคัญและมีค่า"
"ฉันยังเป็นนักเรียนอยู่เลยคะ " เธอพยายามอธิบาย
เมื่อไปถึงรถ เธอรีบเปิดประตูแล้วหันไปโบกมือ เธอขับรถออกไป แต่ภาพหญิงคนนั้นยังคงติดตา
ค่ำวันนั้นเธอไปกินอาหารเย็นที่บ้านเพื่อน ระหว่างสนทนา เธอเล่าให้ฟังเรื่องเจอกับกลุ่มต่อ
ต้านการทำแท้ง เพื่อนเตือนเธอว่าอย่าไปใส่ใจคนพวกนั้น การตัดสินใจเป็นสิทธิ์ของเธอ และ
ทุกอย่างได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว
เธอรู้สึกใจชื้น
ก่อนจากลา ภรรยาของเพื่อนถามเธอว่า
"คุณกู่คะ พรุ่งนี้ฉันกับสามีจะต้องไปทำธุระที่เดรสเดน คุณพอจะมีเวลาช่วยดูแลลูกสาวของเรามั้ยคะ"
ลูกสาวของเพื่อนอายุ 4 ขวบ หน้าตาน่ารัก เธอรับปากในทันที
วันต่อมา ครอบครัวเพื่อนพาลูกสาวมาฝากถึงที่ ตอนเช้าเธอต้องเตรียมร่างวิทยานิพนธ์
เลยหาดินสอสีกับสมุดวาดรูปให้เจ้าตัวเล็ก ปล่อยให้ละเลงอย่างเต็มที่ ส่วนเธอก็ทำงาน
ของเธอไป
พอเสร็จงานแล้วเธอเข้าไปดู เห็นเจ้าตัวเล็กเอาสีเขียนหน้าตัวเอง หันมาทำท่าทะเล้นใส่
หลังอาหารเธอพาเจ้าตัวเล็กไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ เธอนั่งมองเจ้าตัวเล็กเล่นชิงช้า
กับเด็ก ๆ วัยเดียวกัน วิ่งยิ้มไม่หุบ พอหันมาที่เธอ ๆ ก็ยิ้มตอบ
ก่อนถึงวันนัด เธอไปพบวิสัญยีแพทย์ที่คลีนิค แล้ววันอาทิตย์ก็ได้รับแจ้งว่าผลตรวจร่าง
กายเธอสมบูรณ์ดี พร้อมที่จะทำแท้งโดยไม่เกิดอันตราย
เช้าวันจันทร์มาถึง หิมะโปรยปราย อากาศเย็นเยือก
สามีสวมเสื้อคลุมให้เธอแล้วพาไปคลีนิก เป็นครั้งที่สามแล้วที่เธอมาที่แห่งนี้
พวกต่อต้านทำแท้งยังคงยืนอยู่ที่เดิม คอยยื่นใบปลิวพร้อมกับพยายามโน้มน้าวทุกคนที่ก้าวออกมา
เธอนั่งรออยู่เงียบ ๆ ดวงตาเหม่อลอย นึกถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น จนกระทั่งหมอมาเรียก ถึงสะดุ้ง
เธอลุกขึ้นยืน เดินไปได้สองก้าวแล้วหยุดลง หันมาดึงแขนสามี และพูดกับหมอด้วยเสียงดังฟังชัด
"ไม่คะ"
เธอขอโทษหมอวิสัญยีและหมอคลีนิคแล้วเดินออกมา
หิมะยังคงโปรยปราย ร่วงใส่ผู้คนที่เดินไปมา
คนกลุ่มนั้นกรูกันเข้ามาแสดงความยินดี หลายคนสวมกอดเธอ
หญิงคนหนึ่งล้วงกระเป๋าเสื้อ หยิบดาวดวงเล็ก ๆ ที่ทำจากผ้าแพรออกมา
"คุณคะ นี่คือของขวัญสำหรับลูกน้อยคะ ทราบมั้ยคะ คุณเป็นคุณแม่คนที่ 1247 ที่เราทำได้สำเร็จ"
กู่เสี่ยวหลินสัมผัสมือที่เย็นเยียบ เงยหน้ามองหิมะที่ติดตามใบหน้าหญิงคนนั้น ดวงตาเปียกชื้น
(เรียบเรียงจากเรื่องเล่าในเน็ตจีน)