สวัสดีคะ นี่เป็นกระทู้แรกในพันทิปเลยคะ ปกติได้แต่อ่านกระทู้ของคนอื่น ตัดสินใจอยู่นานคะว่าจะตั้งกระทู้นี้ดีไหม วันนี้เลยรวบรวมความกล้าตั้งกระทู้เพื่อแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง
ขอแทนตัวเองว่า ทรายนะคะ ทรายกับแฟนรู้จักเพราะทำงานที่เดียวกัน เราทำงานสายงานเดียวกันคะ แฟนทรายอายุมากกว่าทราย 9 ปีคะ แฟนทรายเป็นหัวหน้าส่วนทรายเป็นลูกน้องคะ ทรายกับแฟนก็อยู่คนละทีมกันนะคะ ทรายกับแฟนก็ครบกันมาเรื่อยๆคะ เดือนสิงหาคม ปี 56 เราออกจากที่ทำงานเก่า แฟนได้มาเปิดบริษัทกับเพื่อนๆที่รู้จักในสายงานนี้ ส่วนทรายก็มาทำงานที่ใหม่ ทรายกับแฟนก็ยังคบกันนะคะ ทรายกับแฟนมาทะเลาะกันแล้วเลิกกันตอนเดือน มกราคม ปี 57 แต่ทรายกับแฟนก็ยังคุยกัน ยังไปไหนมาไหนด้วยกัน ยังปรึกษาอะไรกันเหมือนเดิมคะ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นคะ ทรายรู้ตัวว่าท้องตอนเดือนเมษาแล้วคะ ตอนนั้นทรายท้องได้ 5 weeks แล้วคะ ทรายเลยตัดสินใจบอกแฟนทรายคะ สิ่งแรกที่ผู้ชายคนนี้พูดออกมา
“ เอาเด็กออกเถอะ ผมไม่พร้อมจะมีลูกตอนนี้ แล้วเด็กในท้องลูกผมหรือป่าวก็ไม่รู้” ทรายฟังแค่นั้น ทรายอึ้งไปเลยคะ ทำอะไรไม่ถูก มันเหมือนในละครอะไรอย่างนั้นเลยคะ ทรายเลยก็พูดกับผู้ชายคนนี้ว่า
“คุณจะฆ่าลูกตัวเองได้ลงคอเลยหรอ” ทรายตัดสินใจอยู่แล้วคะว่าจะไม่เอาเด็กออกแน่นอนคะ มันบาปมากคะ เหมือนศีล 5 คะ ถ้าเราทำเราก็ผิดศีลข้อ 1 เลยคะ ผู้ชายคนนั้นขอเวลาทรายไปคิดก่อนว่าจะทำอย่างไงดี ทรายก็บอกกับผู้ชายคนนั้นว่าอย่าใช้เวลานาน เพราะเราต้องไปฝากครรภ์ ผู้ชายก็ได้แต่รับปากไป ทรายก็ให้เวลาผู้ชาย 1 อาทิตย์ เพื่อไม่เป็นการบีบบังคับ ช่วงนั้นเป็นช่วงสงกรานต์พอดีคะ แฟนทรายกับบ้าน ทรายเลยถามผู้ชายไปว่าเราจะเอาอย่างไง ผู้ชายคนนั้นพูดแบบเดิม “ให้เอาเด็กออก ผมยังยืนยันคำเดิม ผมยอมจ่าย 5หมื่น ไปทำแท้ง รพ ดีๆ แบบปลอดภัยเลย” ตอนนั้นเสียใจมากคะ ทรายรู้จักลูกพี่ลูกน้องเค้า ซึ่งเป็นผู้หญิง อายุเท่ากับทรายคะ ทรายเลยบอกน้องสาวเค้าไป น้องเค้าคงไปปรึกษาแม่เค้า แม่ของน้องสาวให้มาพี่ว่าอย่าทำแท้ง เพราะคนรู้จะบาปไปด้วย คนให้เงินก็บาปด้วยนะ เพราะว่าส่งเสริมให้ไปทำแท้ง พอจากที่น้องสาวคุยกับผู้ชายคนนั้นๆ ก็ไลน์มาหาทรายว่า
"อย่าตามเค้า ขออิสระถึงสิ้นเดือนนี้ เค้าสัญญาไม่เอาเด็กออกแล้ว" เหมือนทุกอย่างจะดีขึ้น เพราะสิ้นเดือนเมษายน 57 เค้าพาทรายไปฝากครรภ์ที่ รพ เอกชล ทรายก็ถามเค้าว่าจะไม่บอกพ่อแม่พี่หรอ เค้าบอกว่าให้เค้าเป็นคนบอกเอง ทรายก็เฉยๆคะ ทรายท้อง 3 เดือนก็แล้ว ก็ไม่เห็นเค้าจะบอกพ่อแม่เค้า ท้องทรายเองก็โตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตอนนั้นทรายอยู่บ้านกับพ่อแม่ทรายปกติคะ ทรายคิดว่าพ่อแม่ทรายน่าจะสังเกตได้แต่เพียงเค้าไม่พูดคะ ทรายถามเค้าว่าพี่ไม่บอกพ่อแม่พี่สักที ท้องมันใหญ่มากแล้ว พ่อแม่ทรายเริ่มสงสัยแล้วนะ เค้าก็บอกกับทรายว่า หนีออกจากบ้านไปอยู่กับเค้าได้ไหม บอกพ่อแม่ทรายว่ามาทำงานต่างจังหวัดก็ได้ พอคลอดลูกแล้วค่อยอุ้มกับมาขอขมา แต่ทรายบอกว่าทรายหายไปเป็นปีๆ แล้วทรายไม่กลับบ้าน คิดว่าพ่อแม่ทรายไม่สงสัยหรอ เค้าไม่มีเงินมาจัดงานแต่งงานหรอก ทรายบอกว่ามันมาถึงขนาดนี้แล้ว คงไม่ต้องแต่งงานหรอก แค่ขอขมาผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายก็พอ เค้าก็มีข้ออ้างเพพิ่มมาอีกว่า "ถ้าแต่งงาน เค้าเลิกเลย ไม่รู้ไม่สนอ่ะ เพราะเค้าจะรับผิดชอบลูก เค้าเอาลูก แต่เค้าไม่เอาทราย" ทรายฟังแล้วมันเจ็บอ่ะ ทรายเลยตัดสินใจบอกพ่อแม่ตัวเองดีกว่าให้ผู้ใหญ่เป็นคนตัดสิน เพราะยิ่งคุยกับผู้ชายคนนี้ มักจะมีเงื่อนไขเพิ่มขึ้น ทรายเองเลยตัดสินใจบอกพ่อแม่ทรายตรงๆ พ่อแม่ทรายเค้าโกรธคะ เราก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้ว พอหลังจากที่ทรายบอกพ่อแม่ทรายเรียบร้อยแล้ว 2 วัน ผู้ชายคนนั้นก็เข้ามาคุยกับพ่อแม่ทรายคะ เรื่องสินสอดที่จะขอขมา พ่อแม่ทรายก็บอกให้พ่อแม่ผู้ชายมาคุยกันในฐานะผู้ใหญ่ของฝ่ายชาย แต่ผู้ชายคนนั้นกับพูดว่าไม่ต้องถึงพ่อแม่ผมหลอก ผมโตแล้ว คุยกับผมก็ได้ หลังจากที่ผู้ชายคุยกับพ่อแม่ทรายแล้ว ผู้ชายไลน์มาบอกทรายว่า "ขอขมาเสร็จแล้วก็ตามที่เคยตกลงกันไว้ ต่างคนต่างอยู่ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่างหารกันคนละครึ่ง" ทรายรู้ดีว่าผลจะเป็นอย่างไง เพราะผู้ชายคนนี้แสดงท่าทางแบบนี้อยู่ตลอกเวลา ตั้งแต่ทรายตั้งท้องมา ทรายพยายามคิดว่าอย่าคิดมาก เพราะคิดมากก็ส่งผลกับลูก แต่สุดท้ายทรายก็เสียใจอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้น 1 week ก็จัดงานขอขมาที่บ้านของฝ่ายชายที่ กทม บ้านที่ผู้ชายซื้อ หลังจากทำพิธีขอขมา ทรายก็ไม่ได้เจอผู้ชายคนนั้นอีกเลย ทรายไป รพ คนเดียวทุกครั้งที่มีนัดกับหมอ การฝากครรภ์เป็นไปได้ด้วยดี weeks ที่32 หมอนัดอุตร้าซาวด์ ก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดอีก เด็กในท้องไม่โตตามอายุครรภ์ น้ำหนักเด็กแค่ 1100 กรัม ตอนนั้นหมอบอกว่าสาเหตอาจเกิดได้ 3 กรณี 1.รกเสื่อม 2.โครโมโซมผิดปกติ 3.ติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ ตอนนั้นทรายคิดแค่ว่าทำไมคนเราจะโชคร้ายอะไรขนาดนี้ หมอฉีคยาเพื่อเข้าไปกระตุ้นปอดเด็ก เพื่อตอนคลอดมาให้เด็กสามารถหายใจเองได้ ทรายคิดว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว อุ้มท้องมาขนาดนี้แล้ว อีกไม่กี่ weeks ก็คลอดแล้ว ฉีคไป 4 เข็มเจ็บมากแต่ก็ต้องอดทนเพื่อลูก หลังจากฉีคยากระตุ้นปอดไป หมอก็นัดสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อมาอุตร้าซาวด์ ดูการเจิรญเติบโตของเด็ก ทรายเลยบอกผู้ชายให้เค้าได้รับรู้ ผู้ชายเค้าก็บอกให้ทรายทำใจดีๆ เค้ามากับทรายทุกครั้งที่หมอนัด เพื่อมาเช็คเด็กในท้อง ดูเหมือนทุกอย่างจะดีคะ แต่หลังจากนั้นอีก 3 weeks ทรายก็ต้องผ่าคลอดฉุกเฉิน เพราะเด็กไม่โตขึ้นจากเดิม แถมปริมาณน้ำคร่ำน้องลงอย่างรวดเร็ว วันนั้นผู้ชายคนนั้นมานอนเฝ้าทรายนะคะ ในห้องรอคลอด เค้าก็ดูแลทรายดี เค้าพูดมาว่า "เค้าดูแล เพราะว่าเค้าสงสาร" ทรายได้ยินแบบนั้นน้ำตาทรายไหลออกมาเลย ที่ทำดีกับเราเพราะคำว่าสงสารหรอ เช้าวันรุ่งขึ้นทรายเข้าห้องผ่าคลอด วินาทีที่ทรายได้ยินเสียงลูกร้อง น้ำตาแห่งความตื้นตันมันไหลออกมาเลยทรายคิดแค่ว่าอย่างน้อยลูกก็ไม่ตาย แต่ทรายไม่เห็นหน้าลูกนะคะ เพราะลูกทรายต้องเข้าตู้อบทันที ที่ออกมาจากท้อง ลูกทรายน้ำหนักแรกคลอด 1450 กรัมเองคะ ตอนนั้นคิดว่าถึงหมอแล้วมันจะดีขึ้นเอง ทรายขึ้นมานอนห้องพักฟื้น เพราะหมอห้ามขยับตัว ทรายนอนนิ่งๆ 2 วันคะ อดข้าวอดน้ำ ใจทรายอยากเห็นหน้าลูกคะ พอหมออนุญาตให้เดินได้ ทรายรีบไปหาลูกที่ห้องฉุกเฉิน สำหรับทารก ภาพแรกที่เห็นตกใจมาก ลูกเราต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ สายต่างๆเต็มตัวไปหมดเลย ไม่เห็นหน้าลูกเลยคะ ทรายทำได้แค่ยืนร้องไห้ แล้วบอกลูกว่าแม่ยืนอยู่ข้างๆลูกแล้วนะสู้ๆนะคะ หลังจากนอนพักฟื้นที่ รพ 4 วัน ทรายก็กลับบ้านคะ แต่ลูกทรายต้องอยู่ตู้อบแบบนั้นคะ ทรายมาอยู่บ้านผู้ชายคะ เพราะต้องปั๊มนมมาส่ง รพ ลูกทรายนอน รพ ค่าใช้จ่ายวันละ 15000 บาทคะ แพงมากคะ ผู้ชายคนนั้นไม่มีเงินต้องทำเรื่องขอย้าย รพ คะ ลูกทรายอยู่ รพ เอกชล 9 วัน หมดไป 150,000 บาทคะ ผุ้ชายเป็นคนทำเรื่องย้าย รพ เพราะผู้ชายไม่มีเงินจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลในส่วนนี้ พอทำเรื่องย้าย รพ เสร็จ ลูกก็ยังคงอยู่ตู้อบใน รพ อีก 41 วัน โวคดีที่ใช้สิทธิบัตรทองสำหรับเด็ก ไม่งั้นคงไม่มีเงินจ่ายอีกคะ หลังจากลูกออกจาก รพ ทรายก็เอาลูกมาเลี้ยงที่บ้าน โดยพ่อแม่ของทรายเป็นคนช่วยเลี้ยงคะ แต่ที่เหลวร้าย คือ ผู้ชายคนนั้นไม่ยอมช่วยในค่าใช้จ่าย บอกว่าเดือนละ 4,000 บาท มันเยอะไป ซึ่งถ้าคนที่มีลูกแล้ว จะรู้เลยว่าค่าใช้จ่ายพวกค่านม วัคซีนแพงมาก ผู้ชายคนนั้นเห็นว่าเกิน 4,000 บาท ก็ไม่จ่าย สิ่งเดียวที่ทรายจะทำคือ ฟ้องร้องค่าเลี้ยงดูกับรับรองบุตรคะ เพราะผู้ชายคนนั้นไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับทราย ผู้ชายแบบนี้เห็นแก่ตัวที่สุด ชาตินี้เข็ดแล้วคะ ไม่รู้ไปทำเวร ทำกรรมอะไรไว้ ถึงต้องมาเจอผู้ชายแบบนี้ด้วยคะ อยากให้เรื่องนี้เป็นอุธาหรณ์สำหรับใครหลายๆคน
ความรับผิดชอบ ความไร้สำนึกของคนที่เรียกว่า "ผู้ชาย"
ขอแทนตัวเองว่า ทรายนะคะ ทรายกับแฟนรู้จักเพราะทำงานที่เดียวกัน เราทำงานสายงานเดียวกันคะ แฟนทรายอายุมากกว่าทราย 9 ปีคะ แฟนทรายเป็นหัวหน้าส่วนทรายเป็นลูกน้องคะ ทรายกับแฟนก็อยู่คนละทีมกันนะคะ ทรายกับแฟนก็ครบกันมาเรื่อยๆคะ เดือนสิงหาคม ปี 56 เราออกจากที่ทำงานเก่า แฟนได้มาเปิดบริษัทกับเพื่อนๆที่รู้จักในสายงานนี้ ส่วนทรายก็มาทำงานที่ใหม่ ทรายกับแฟนก็ยังคบกันนะคะ ทรายกับแฟนมาทะเลาะกันแล้วเลิกกันตอนเดือน มกราคม ปี 57 แต่ทรายกับแฟนก็ยังคุยกัน ยังไปไหนมาไหนด้วยกัน ยังปรึกษาอะไรกันเหมือนเดิมคะ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นคะ ทรายรู้ตัวว่าท้องตอนเดือนเมษาแล้วคะ ตอนนั้นทรายท้องได้ 5 weeks แล้วคะ ทรายเลยตัดสินใจบอกแฟนทรายคะ สิ่งแรกที่ผู้ชายคนนี้พูดออกมา “ เอาเด็กออกเถอะ ผมไม่พร้อมจะมีลูกตอนนี้ แล้วเด็กในท้องลูกผมหรือป่าวก็ไม่รู้” ทรายฟังแค่นั้น ทรายอึ้งไปเลยคะ ทำอะไรไม่ถูก มันเหมือนในละครอะไรอย่างนั้นเลยคะ ทรายเลยก็พูดกับผู้ชายคนนี้ว่า “คุณจะฆ่าลูกตัวเองได้ลงคอเลยหรอ” ทรายตัดสินใจอยู่แล้วคะว่าจะไม่เอาเด็กออกแน่นอนคะ มันบาปมากคะ เหมือนศีล 5 คะ ถ้าเราทำเราก็ผิดศีลข้อ 1 เลยคะ ผู้ชายคนนั้นขอเวลาทรายไปคิดก่อนว่าจะทำอย่างไงดี ทรายก็บอกกับผู้ชายคนนั้นว่าอย่าใช้เวลานาน เพราะเราต้องไปฝากครรภ์ ผู้ชายก็ได้แต่รับปากไป ทรายก็ให้เวลาผู้ชาย 1 อาทิตย์ เพื่อไม่เป็นการบีบบังคับ ช่วงนั้นเป็นช่วงสงกรานต์พอดีคะ แฟนทรายกับบ้าน ทรายเลยถามผู้ชายไปว่าเราจะเอาอย่างไง ผู้ชายคนนั้นพูดแบบเดิม “ให้เอาเด็กออก ผมยังยืนยันคำเดิม ผมยอมจ่าย 5หมื่น ไปทำแท้ง รพ ดีๆ แบบปลอดภัยเลย” ตอนนั้นเสียใจมากคะ ทรายรู้จักลูกพี่ลูกน้องเค้า ซึ่งเป็นผู้หญิง อายุเท่ากับทรายคะ ทรายเลยบอกน้องสาวเค้าไป น้องเค้าคงไปปรึกษาแม่เค้า แม่ของน้องสาวให้มาพี่ว่าอย่าทำแท้ง เพราะคนรู้จะบาปไปด้วย คนให้เงินก็บาปด้วยนะ เพราะว่าส่งเสริมให้ไปทำแท้ง พอจากที่น้องสาวคุยกับผู้ชายคนนั้นๆ ก็ไลน์มาหาทรายว่า "อย่าตามเค้า ขออิสระถึงสิ้นเดือนนี้ เค้าสัญญาไม่เอาเด็กออกแล้ว" เหมือนทุกอย่างจะดีขึ้น เพราะสิ้นเดือนเมษายน 57 เค้าพาทรายไปฝากครรภ์ที่ รพ เอกชล ทรายก็ถามเค้าว่าจะไม่บอกพ่อแม่พี่หรอ เค้าบอกว่าให้เค้าเป็นคนบอกเอง ทรายก็เฉยๆคะ ทรายท้อง 3 เดือนก็แล้ว ก็ไม่เห็นเค้าจะบอกพ่อแม่เค้า ท้องทรายเองก็โตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตอนนั้นทรายอยู่บ้านกับพ่อแม่ทรายปกติคะ ทรายคิดว่าพ่อแม่ทรายน่าจะสังเกตได้แต่เพียงเค้าไม่พูดคะ ทรายถามเค้าว่าพี่ไม่บอกพ่อแม่พี่สักที ท้องมันใหญ่มากแล้ว พ่อแม่ทรายเริ่มสงสัยแล้วนะ เค้าก็บอกกับทรายว่า หนีออกจากบ้านไปอยู่กับเค้าได้ไหม บอกพ่อแม่ทรายว่ามาทำงานต่างจังหวัดก็ได้ พอคลอดลูกแล้วค่อยอุ้มกับมาขอขมา แต่ทรายบอกว่าทรายหายไปเป็นปีๆ แล้วทรายไม่กลับบ้าน คิดว่าพ่อแม่ทรายไม่สงสัยหรอ เค้าไม่มีเงินมาจัดงานแต่งงานหรอก ทรายบอกว่ามันมาถึงขนาดนี้แล้ว คงไม่ต้องแต่งงานหรอก แค่ขอขมาผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายก็พอ เค้าก็มีข้ออ้างเพพิ่มมาอีกว่า "ถ้าแต่งงาน เค้าเลิกเลย ไม่รู้ไม่สนอ่ะ เพราะเค้าจะรับผิดชอบลูก เค้าเอาลูก แต่เค้าไม่เอาทราย" ทรายฟังแล้วมันเจ็บอ่ะ ทรายเลยตัดสินใจบอกพ่อแม่ตัวเองดีกว่าให้ผู้ใหญ่เป็นคนตัดสิน เพราะยิ่งคุยกับผู้ชายคนนี้ มักจะมีเงื่อนไขเพิ่มขึ้น ทรายเองเลยตัดสินใจบอกพ่อแม่ทรายตรงๆ พ่อแม่ทรายเค้าโกรธคะ เราก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้ว พอหลังจากที่ทรายบอกพ่อแม่ทรายเรียบร้อยแล้ว 2 วัน ผู้ชายคนนั้นก็เข้ามาคุยกับพ่อแม่ทรายคะ เรื่องสินสอดที่จะขอขมา พ่อแม่ทรายก็บอกให้พ่อแม่ผู้ชายมาคุยกันในฐานะผู้ใหญ่ของฝ่ายชาย แต่ผู้ชายคนนั้นกับพูดว่าไม่ต้องถึงพ่อแม่ผมหลอก ผมโตแล้ว คุยกับผมก็ได้ หลังจากที่ผู้ชายคุยกับพ่อแม่ทรายแล้ว ผู้ชายไลน์มาบอกทรายว่า "ขอขมาเสร็จแล้วก็ตามที่เคยตกลงกันไว้ ต่างคนต่างอยู่ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่างหารกันคนละครึ่ง" ทรายรู้ดีว่าผลจะเป็นอย่างไง เพราะผู้ชายคนนี้แสดงท่าทางแบบนี้อยู่ตลอกเวลา ตั้งแต่ทรายตั้งท้องมา ทรายพยายามคิดว่าอย่าคิดมาก เพราะคิดมากก็ส่งผลกับลูก แต่สุดท้ายทรายก็เสียใจอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้น 1 week ก็จัดงานขอขมาที่บ้านของฝ่ายชายที่ กทม บ้านที่ผู้ชายซื้อ หลังจากทำพิธีขอขมา ทรายก็ไม่ได้เจอผู้ชายคนนั้นอีกเลย ทรายไป รพ คนเดียวทุกครั้งที่มีนัดกับหมอ การฝากครรภ์เป็นไปได้ด้วยดี weeks ที่32 หมอนัดอุตร้าซาวด์ ก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดอีก เด็กในท้องไม่โตตามอายุครรภ์ น้ำหนักเด็กแค่ 1100 กรัม ตอนนั้นหมอบอกว่าสาเหตอาจเกิดได้ 3 กรณี 1.รกเสื่อม 2.โครโมโซมผิดปกติ 3.ติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ ตอนนั้นทรายคิดแค่ว่าทำไมคนเราจะโชคร้ายอะไรขนาดนี้ หมอฉีคยาเพื่อเข้าไปกระตุ้นปอดเด็ก เพื่อตอนคลอดมาให้เด็กสามารถหายใจเองได้ ทรายคิดว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว อุ้มท้องมาขนาดนี้แล้ว อีกไม่กี่ weeks ก็คลอดแล้ว ฉีคไป 4 เข็มเจ็บมากแต่ก็ต้องอดทนเพื่อลูก หลังจากฉีคยากระตุ้นปอดไป หมอก็นัดสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อมาอุตร้าซาวด์ ดูการเจิรญเติบโตของเด็ก ทรายเลยบอกผู้ชายให้เค้าได้รับรู้ ผู้ชายเค้าก็บอกให้ทรายทำใจดีๆ เค้ามากับทรายทุกครั้งที่หมอนัด เพื่อมาเช็คเด็กในท้อง ดูเหมือนทุกอย่างจะดีคะ แต่หลังจากนั้นอีก 3 weeks ทรายก็ต้องผ่าคลอดฉุกเฉิน เพราะเด็กไม่โตขึ้นจากเดิม แถมปริมาณน้ำคร่ำน้องลงอย่างรวดเร็ว วันนั้นผู้ชายคนนั้นมานอนเฝ้าทรายนะคะ ในห้องรอคลอด เค้าก็ดูแลทรายดี เค้าพูดมาว่า "เค้าดูแล เพราะว่าเค้าสงสาร" ทรายได้ยินแบบนั้นน้ำตาทรายไหลออกมาเลย ที่ทำดีกับเราเพราะคำว่าสงสารหรอ เช้าวันรุ่งขึ้นทรายเข้าห้องผ่าคลอด วินาทีที่ทรายได้ยินเสียงลูกร้อง น้ำตาแห่งความตื้นตันมันไหลออกมาเลยทรายคิดแค่ว่าอย่างน้อยลูกก็ไม่ตาย แต่ทรายไม่เห็นหน้าลูกนะคะ เพราะลูกทรายต้องเข้าตู้อบทันที ที่ออกมาจากท้อง ลูกทรายน้ำหนักแรกคลอด 1450 กรัมเองคะ ตอนนั้นคิดว่าถึงหมอแล้วมันจะดีขึ้นเอง ทรายขึ้นมานอนห้องพักฟื้น เพราะหมอห้ามขยับตัว ทรายนอนนิ่งๆ 2 วันคะ อดข้าวอดน้ำ ใจทรายอยากเห็นหน้าลูกคะ พอหมออนุญาตให้เดินได้ ทรายรีบไปหาลูกที่ห้องฉุกเฉิน สำหรับทารก ภาพแรกที่เห็นตกใจมาก ลูกเราต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ สายต่างๆเต็มตัวไปหมดเลย ไม่เห็นหน้าลูกเลยคะ ทรายทำได้แค่ยืนร้องไห้ แล้วบอกลูกว่าแม่ยืนอยู่ข้างๆลูกแล้วนะสู้ๆนะคะ หลังจากนอนพักฟื้นที่ รพ 4 วัน ทรายก็กลับบ้านคะ แต่ลูกทรายต้องอยู่ตู้อบแบบนั้นคะ ทรายมาอยู่บ้านผู้ชายคะ เพราะต้องปั๊มนมมาส่ง รพ ลูกทรายนอน รพ ค่าใช้จ่ายวันละ 15000 บาทคะ แพงมากคะ ผู้ชายคนนั้นไม่มีเงินต้องทำเรื่องขอย้าย รพ คะ ลูกทรายอยู่ รพ เอกชล 9 วัน หมดไป 150,000 บาทคะ ผุ้ชายเป็นคนทำเรื่องย้าย รพ เพราะผู้ชายไม่มีเงินจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลในส่วนนี้ พอทำเรื่องย้าย รพ เสร็จ ลูกก็ยังคงอยู่ตู้อบใน รพ อีก 41 วัน โวคดีที่ใช้สิทธิบัตรทองสำหรับเด็ก ไม่งั้นคงไม่มีเงินจ่ายอีกคะ หลังจากลูกออกจาก รพ ทรายก็เอาลูกมาเลี้ยงที่บ้าน โดยพ่อแม่ของทรายเป็นคนช่วยเลี้ยงคะ แต่ที่เหลวร้าย คือ ผู้ชายคนนั้นไม่ยอมช่วยในค่าใช้จ่าย บอกว่าเดือนละ 4,000 บาท มันเยอะไป ซึ่งถ้าคนที่มีลูกแล้ว จะรู้เลยว่าค่าใช้จ่ายพวกค่านม วัคซีนแพงมาก ผู้ชายคนนั้นเห็นว่าเกิน 4,000 บาท ก็ไม่จ่าย สิ่งเดียวที่ทรายจะทำคือ ฟ้องร้องค่าเลี้ยงดูกับรับรองบุตรคะ เพราะผู้ชายคนนั้นไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับทราย ผู้ชายแบบนี้เห็นแก่ตัวที่สุด ชาตินี้เข็ดแล้วคะ ไม่รู้ไปทำเวร ทำกรรมอะไรไว้ ถึงต้องมาเจอผู้ชายแบบนี้ด้วยคะ อยากให้เรื่องนี้เป็นอุธาหรณ์สำหรับใครหลายๆคน