เงาอลวน - บทที่ 11 - รักษ์คำ

กระทู้สนทนา
http://pantip.com/topic/33386677


บทที่ 11

    นงคราญลดโทรศัพท์มือถือลงจากหูอย่างสับสน หล่อนทิ้งมือค้างไว้บนตัก แววตาครุ่นคิดว้าวุ่น บิดาโทรมาบอกว่าน้องสาวรู้สึกตัวแล้ว แต่ความทรงจำยังกลับไม่หมดเต็มร้อย

    "น้องจำพวกเราทุกคนได้ ยกเว้นคนใหม่ๆ ที่เข้ามาหลังเกิดอุบัติเหตุ น้องไม่รู้จัก"

    "หมายถึงไม่รู้จักพยาบาลและหมอที่รักษาน้องหรือคะ"

    "ใช่ แม้แต่ยามชมทองก็เหมือนกัน อีท่าไหนก็ไม่รู้นะ ตอนนี้กลายเป็นหมอในสายตาน้องไปเสียแล้ว"

    เรื่องนี้ไม่แปลกหรอก เพราะตอนหล่อนสัมภาษณ์ยามรูปหล่อชื่อชมทอง เจ้าตัวก็เคยเล่าเสียงหม่นๆ ว่าใจจริงอยากเป็นหมอ แต่ด้วยฐานะทางบ้านขลุกขลักกระทั่งสะดุดอย่างจริงจัง การเรียนหมอจึงต้องชะงักลง และหยุดไปเลยอย่างไม่มีกำหนด ทว่า เขาก็ประกาศความมุ่งมั่นให้หล่อนฟังอย่างชื่นชมว่าถ้ามีโอกาสก็จะกลับไปเรียนต่อให้จบ

    ดังนั้น ก็ไม่แน่ว่าตอนไปอยู่ยามบนบ้านภูไหม อาจเผยภูมิรู้ที่ร่ำเรียนมาอย่างละเล็กละน้อยจนน้องสาวพานเข้าใจผิดไป และพลอยเชื่อไขว้เขวไปด้วยว่าเจ้าตัวเป็นหมอ แต่ที่หล่อนประหลาดใจก็ตรงที่ทำไมจู่ๆ พิมพ์เช้าถึงได้ฟื้นจากสติหลับนี่สิ แปลกจัง อะไรหรือที่ไปกระตุ้นประสาทส่วนนั้นให้ตื่น แล้วใครกันที่ส่งอะไรที่ว่าไปกระทบกระทั่งได้

    "แล้วเรื่องหมอมาโนชละคะ คุณพ่อจะให้นงตามตื๊อเขาต่อไปไหม"

    "โอ้โฮ นี่ลูกใช้คำว่าตามตื๊อเชียวหรือ ฟังดูอนาถใจจัง"

    ประโยคสัพยอกฝืดๆ ของบิดายังน้อยไปด้วยซ้ำถ้าท่านได้มาเห็นว่าหล่อนต้องบากหน้างอนง้อคุณหมอชาวไทยหัวใจอเมริกันแทบจะเต็มร้อยคนนั้นยังไงบ้าง หล่อนน่ะเกลียดเขาลึกๆ เสียด้วยซ้ำ เล่นตัวก็เท่านั้น ยักท่าก็เท่านั้น ปากก็ร้าย ใจก็ดำ เกลียดที่สุด

    ภวังค์ทั้งหมดหยุดกึกลงทันทีเพราะถูกเสียงเคาะประตูดังๆ รบกวน หล่อนทิ้งโทรศัพท์คู่ใจไว้บนหมอน รีบลุกไปเปิดว่องไว ครั้นเห็นว่าใครมาเคาะ ตอนแรกก็ตาโตกับเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ตอนนี้ปั้นมาดหน้าตึงใส่เสียแล้ว ก็จะใครเสียอีก คุณหมอมาโนชที่หล่อนกำลังนึกถึงอย่างเกลียดๆ นั่นยังไง

    "คนข้างล่างบอกว่าคุณไม่สบาย ผมก็เลยฉวยกระเช้าดอกไม้ของใครก็ไม่ทราบวางอยู่บนเคาน์เตอร์มาเยี่ยม"

    นงคราญย่นคิ้วพลางปรายตาจับกระเช้าดอกไม้ในมือใหญ่แวบหนึ่ง นอกจากปากร้ายใจดำแล้ว อีกอิริยาบถหนึ่งของเขาก็คือ 'ยียวนกวนบาทา' เป็นที่สุด

    "ให้ผมเข้าไปได้หรือยัง เป็นคนป่วยแต่ยืนหน้าหงิกเหมือนต่อต้านหมอแบบนี้ อีกเมื่อไหร่ถึงจะหายเล่า เปิดให้กว้างหน่อย ตัวผมใหญ่ออก แง้มเท่าแมวเบียดเสียขนาดนี้ จะให้ผมแทรกเข้าไปได้ยังไง"

    "ก็ฉันไม่ได้เรียกหมอ ไม่ได้เชิญ และไม่ต้องการ.. "

    "ต้องการสิ ถ้าไม่ต้องการจะแวะไปกวนประสาทผมทุกวี่ทุกวันถึงโรงพยาบาลได้ยังไง เอ้า เปิด"

    นงคราญอ้าปากหวอตอนเขาถือวิสาสะผลักเบาๆ เข้ามาเอง แถมยังแกล้งเหวี่ยงกระเช้าดอกไม้เกือบชนหน้าเอ๋อๆ กึ่งโกรธๆ ของหล่อนเข้าอีก ตอนได้ยินเขาหัวเราะ ในร่างกายใต้เสื้อคลุมอาบน้ำเนื้อหนาสีฟ้าเข้มก็พลันระอุอ้าวเหมือนมีประกายไฟปะทุขึ้น แล้วดูซิ ตัวเป็นแขกแท้ๆ มาถึงแทนที่จะสำรวมกิริยาสักหน่อย กลับผ่าเผยน่าเกลียด นั่งเก้าอี้ยาวพาดขาบนโต๊ะกระจกสบายอารมณ์เชียว

    "แขกมาเยือนถึงห้อง น้ำท่าสักแก้วสิครับ มีไหม เดินไปเปิดประตูเองได้ แสดงว่าไข้ไม่เยอะนี่ อาการก็ไม่หนัก รินน้ำมาเสิร์ฟสักแก้ว เร็วๆ "

    "คุณหมอ" นงคราญชักเดือดแล้วนะ หล่อนเท้าสะเอวไม่พอใจ ขึงหน้าดุตาวาวให้เห็น

    "อย่าขึ้นเสียง ท่าทางนางผีแบบนั้นก็อย่าทำ ไม่อย่างนั้นผมจะไม่เล่าอะไรๆ ดีๆ ที่รู้มาให้คุณฟัง"

    "คำสำคัญมาก่อนสิ" นงคราญต่อรอง

    "น้องสาว"

    ประกายตาของคนตอบผ่านเสียงยียวนนั้นกระชากใจของพี่สาวคนนี้ได้เด็ดดวงนัก นงคราญเกิดอาการเย็นยะเยือกตลอดแนวสันหลังไปเองยามจับกระแสของประกายนั้นได้ว่า 'สำคัญจริงๆ '

    ใช่ สำคัญจริงๆ ไม่อย่างนั้นคุณหมอมาโนชอย่างเขาก็คงไม่กรายโฉมหล่อมาถึงห้องพักของสาวไทยจอมตื๊อให้เปลืองเวลาหรอก การตื๊อเช้าตื๊อเย็นที่นงคราญทำนั่นแหละจุดประกายสงสัยขึ้นในใจของเขาจนต้องโทรไปหา 'คุณหมอมัตติกา' เพื่อนสนิทที่เมืองไทย รบกวนให้ทางโน้นสืบเสาะประวัติของคนไข้อย่างละเอียดส่งมาทางอีเมล

แล้วเขาก็พบว่าคนไข้รายนี้โดนวางยาให้ค่อยๆ ตายอย่างช้าๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป วันไหนที่เจ้าตัวหมดแรงต้านทานพิษร้ายที่สะสมพอกพูนจนล้นพิกัดแล้ว เจ้าตัวก็ตายสนิทอย่างเนียนๆ ท่ามกลางความพึงพอใจของ 'ฆาตกร'

ก่อนหน้านี้ก็ไม่สนใจหรอก แถมยังคิดไปว่าอาการทางประสาทเพียงเล็กน้อยด้วยว่าผู้ป่วยช็อกเพราะอุบัติเหตุส่งความกลัวสุดขีดเข้าจู่โจมกระทั่งขวัญบิน เป็นเพียงอาการชั่วครู่ชั่วยาม หมอเก่งๆ ที่เมืองไทยก็มีเพียบ ไม่จำเป็นต้องให้พี่สาวถ่อสังขารมาตามตื๊อหมอที่งานล้นมืออย่างเขาไกลถึงอเมริกาก็ได้ แต่ตอนนี้ไม่แล้วละ เขาเปลี่ยนใจแล้ว เขาจะเล่าเรื่องนี้ให้นงคราญฟังอย่างละเอียด จากนั้นก็จะหารืออย่างจริงจัง เสร็จสรรพก็จะตบท้ายด้วยการชักชวนกันเดินทางกลับ 'เมืองไทย'   




    ก่อนกลับเมืองไทย นงคราญนัดเจอกับ 'คุณขจี' นักธุรกิจสาวใหญ่ซึ่งมีชื่อเสียงมากในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ อันที่จริงน่าจะบอกว่าเป็นชื่อเสียงของสามีชาวอเมริกันของหล่อนเสียมากกว่า ส่วนตัวหล่อนเองก็อาศัยใบบุญจากสามีผู้ล่วงลับมาเก็บเกี่ยวต่อยอด ซึ่งหล่อนก็บริหารชื่อเสียงนั้นได้ดีน่าชื่นชมทีเดียว

    "สีหน้าไม่ค่อยสดชื่นเลยนะคะคุณขจี" นงคราญดื่มกาแฟพอเป็นพิธี หล่อนยิ้มเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าแทนคำตอบ

    "ได้ข่าวไม่สู้ดีที่เมืองไทยค่ะ ดิฉันรีบสะสางงานทางนี้เพื่อเดินทางไปดูให้เห็นกับตา"

    "เรื่องอะไรคะ"

    "น้องชายดิฉันค่ะ ญาติทางโน้นโทรมาบอกว่าป่วยหนักอยู่โรงพยาบาล แอบหนีออกมาสองสามครั้ง ซักไซ้เหตุผลเท่าไหร่ก็ไม่ยอมบอกว่าทำไมต้องหนีออกมา ครั้งสุดท้ายก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง"

    "ตายจริง เรื่องอะไรกันคะ ทำไมเขาต้องทำอย่างนั้น"

    "ก็นั่นน่ะสิคะ ดิฉันถึงบอกว่าต้องไปดูเองให้เห็นกับตาไง"

    แล้วคู่สนทนาก็ร้องกลุ้มๆ ออกมาดัง 'เฮ้อ' จิบกาแฟไปหนึ่งอึก สีหน้าแววตาหม่นหมองระคนกลัดกลุ้มมากมาย นงคราญละเหี่ยใจมากเมื่อพบว่ารายรอบตัวช่างเต็มไปด้วยปัญหาแท้ ไม่ว่าจะของหล่อนเองหรือของเพื่อนร่วมโลกก็ตาม

    อย่าว่าแต่คู่สนทนาสาวใหญ่เลยที่ครางเพลียๆ ตัวหล่อนเองก็เช่นกันเมื่อนึกไปว่าจู่ๆ น้องสาวก็มาโดนเคราะห์ร้ายซ้ำเติม ใครก็ไม่รู้จงเกลียดจงชังถึงขั้นลอบเอาชีวิตอย่างเงียบเชียบผ่านวิธีทางการแพทย์ ซึ่งก็หมายความว่าฆาตกรต้องมีความรู้ เชี่ยวชาญเฉพาะทาง หรือดีไม่ดีก็เป็นหมอเสียเอง แต่นั่นละที่หล่อนกลุ้มจัด เพราะเดาไม่ถูกว่าเป็นหมอคนไหน แล้วไปก่อปัญหาบาดหมางอะไรกับพิมพ์เช้าตอนไหนถึงได้เคียดแค้นแรงกล้าจนถึงขั้นอยากให้ตายเช่นนี้

    "อ้อ โน่นแน่ะ คุณเมธีมาแล้วค่ะ รายนี้ร่ำรวยมากเลยนะ นิสัยเจ้าบุญทุ่มด้วย คุณนงจับให้มั่นนะคะ อย่าให้หลุดไปเป็นของคู่แข่งเชียวละ เสียดายตายเลย"
    "ค่ะ ต้องขอบคุณคุณขจีนั่นละค่ะที่ช่วยประสานไมตรีให้เราสองฝ่าย เสร็จงานคราวนี้แล้ว ฉันขอเลี้ยงข้าวตอบแทนสักสามมื้อนะคะ"

    "อุ๊ย อย่าคิดมากค่ะ เราอยู่แวดวงธุรกิจเดียวกัน เป็นคนไทยเหมือนกัน ก็ต้องช่วยเหลือกันเป็นคราวๆ ไปละค่ะ"

    คู่สนทนารีบลุกขึ้นต้อนรับ 'คุณเมธี' ลูกค้าชาวไทยที่มาตั้งรกรากอยู่บนแผ่นดินอเมริกาตั้งแต่รุ่นผู้ใหญ่ เขาเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว อายุอานามก็ห้าสิบเศษๆ พูดไทยได้ แต่ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่หรอก บางคำก็เงอะงะน่าตลก นงคราญเกือบหลุดหัวเราะตั้งหลายครั้ง หรือบางครั้งก็ต้องช่วยแก้ปัญหาด้วยการให้เขาพูดภาษาอังกฤษไปเลย เข้าใจได้ง่ายกว่า

    แต่ก็เอาเป็นว่าธุระของวันนี้ผ่านไปอย่างราบรื่นอีกราย คุณเมธีก็ไม่ยื้อเวลาสนทนานานนัก เพราะต้องไปทำธุระที่อื่นอีกสองสามแห่ง คู่ค้าสองฝ่ายจึงจากลากันด้วยไมตรี

    "เรียบร้อยนะคะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันคงต้องขอตัวก่อน มีนัดกับทนายความค่ะ เรื่องนี้ก็วุ่นวายไม่จบเสียทีเหมือนกัน"

    "เอ๊ะ มีเรื่องอะไรอีกหรือคะ" นงคราญถามอย่างสงสัย

    "ก็เรื่องฟ้องแบ่งสมบัตินั่นละค่ะ ยืดเยื้อน่าเบื่อ ภรรยาเก่าโผล่มาเรียกร้องขอส่วนแบ่ง อ้างลูกเต้าที่มีด้วยกัน แต่ก่อนแต่ไรก็ไม่เคยปรากฏตัว พอเจ้าตัวตายจากแล้วนั่นแหละ โผล่มาทีละรายสองราย เฮ้อ"

    "คุณขจีไม่ยอมให้แบ่งใช่ไหมคะ"

    "ยอมค่ะ เฉพาะในส่วนของดิฉันเองเท่านั้นที่ดิฉันก็ไม่ให้ แต่พวกเขาก็เรียกร้องอ้างว่าเป็นของสามี พวกเขามีสิทธิ์ในฐานะเป็นแม่ของลูก โอ๊ย จิปาถะข้ออ้างของคนอยากได้ เอ้อ ขอตัวดีกว่าค่ะ โทรศัพท์เข้ามาพอดีเลย ไว้ค่อยเจอกันใหม่นะคะ"

    ทุกย่างก้าวบนเส้นทางสายธุรกิจมีแต่ความเร่งรีบ เรื่องนั้นก็ด่วน เรื่องนี้ก็รุกกระชั้น นงคราญถอนใจเฮือกก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง หล่อนเหนื่อยมาก เวลาพักผ่อนแทบจะหาไม่ได้ แต่เมื่อนึกว่าตนเป็นบุตรสาวคนโต เป็นเสาหลักต้นใหม่ให้คนในปกครองยึดเหนี่ยวหากวันหนึ่งเสาหลักต้นเดิมต้องล้มลงตามสังชารอันชรา หล่อนก็จำต้องสลัดความเหน็ดเหนื่อยที่ว่าทิ้งไป

    แล้วยิ่งตอนนี้ อาการของพิมพ์เช้าก็คาบลูกคาบดอก เดาไม่ถูกว่าวันไหนตอนไหนน้องสาวจะหลับๆ แล้วตายเลย เพราะโดนแทรกแซงด้วยยาพิษชนิดแนบเนียน คุณหมอมาโนชอธิบายว่า

    "ก็ผ่านสายน้ำเกลือ ผ่านอาหารเหลว ยาบางชนิดถ้าใช้แยกกันก็ไม่เป็นอันตราย แต่ถ้านำมาใช้รวมกันในสถานการณ์ที่เหมาะสม มันก็ไม่ต่างจากยาพิษหรอกครับ ในทางการแพทย์ ถ้าหมอคนไหนทำอย่างนี้ก็ให้เชื่อไว้ก่อนเบื้องต้นว่าจงใจ"

    "บ้าจัง แล้วนายฤกษ์อยู่ยังไงให้ภรรยาตัวโดนวางยาเอาได้ เขาไม่เอะใจที่เช้าแน่นิ่งไม่รู้สึกตัวบ้างเลยหรือ"

    "เขาไม่ใช่หมอนี่ จะไปโยนความผิดให้เขาได้ยังไง"

"ฉันไม่ได้ว่าอะไร ฉันก็แค่.. "

"เท่าที่เขาสาละวนติดต่อหมอเก่งๆ แทบไม่ได้หลับได้นอน ผมว่าเขาก็ทุ่มเทสุดตัวแล้วนะ คุณน่ะโชคดีได้น้องเขยประเสริฐ ยังจะมาบ่น ท่าทางแบบคุณนี่คล้ายคนที่ทำบุญทำคุญด้วยแล้วไม่ขึ้นชอบกลนะ"

'คนบ้า' นงคราญเผลอด่ากระฟัดกระเฟียดในใจ หล่อนระอานักกับปากเปราะของคุณหมอหนุ่มไทยหัวใจอเมริกันเกือบเต็มร้อย คุยกับเขาทีไร ตะกอนขุ่นแกมชังก็ยิ่งเพิ่มพูนทับถมเป็นชั้นๆ จนหล่อนแทบจะมองไม่เห็นก้นบึ้งใจของตนอยู่แล้ว หนำซ้ำอีกไม่กี่วันก็ต้องเดินทางกลับเมืองไทยพร้อมกับเขาอีก เฮ้อ สงสารหูเป็นบ้าเลย เพราะมันต้องทนฟังเขาพ่นเสียงเปราะๆ ใส่นานนมกว่าสิบชั่วโมงเชียว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่