สวัสดีครับนี่เป็นกระทู้แรกของผมผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยครับ
ไม่รู้จะเกริ่นนำอะไร = =" เอาเป็นว่าผมจะมาแชร์เรื่องราวที่ทำให้การเรียนผมดีขึ้นให้กับพี่ๆน้อง ที่กำลังศึกษาอยู่ไม่ว่าจะเรียนคณะอะไรนะครับ (ผมกำลังจะจบการศึกษา อีกไม่ถึง 2 เดือนครับ วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต หลักสูตร 4 ปีครับ)
เข้าเรื่องเลยนะครับ ก่อนที่จะมาศึกษาที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ผมจบสายอาชีพซึ่งไม่ได้เรียนพวก ฟิสิกส์ เคมี แคลคูลัส =o= เรียนแต่คณิตพื้นฐาน พื้นฐานคำนวณผมจึงค่อนข้างต่ำ ฮ่า า เรียนสายอาชีพก็เหมือนเรียนมหาวิทยาลัยนั่นแหละครับมาเรียนให้ครบ ส่งงาน ภาคปฏิบัติ ต่างกันตรงที่สายอาชีพเน้นปฏิบัติ มหาวิทยาลัยเน้นคิดวิเคราะห์ คำนวณ หลังจากที่ผมจบสายอาชีพ (ปวช.) ได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ เรียนๆไปก็ไม่ได้คิดไรมาก ยังติดนิสัยเดิมอยู่ เรียนๆเล่นๆเดี๋ยวมันก็คงผ่านไปได้ คืนก่อนสอบ แคลคูลัส 1 ผมยังนั่งตีดอดอยู่เลย ฮ่า (ช่วงนั้นติดเกมด้วย)
พอจบเทอมแรก ตายสิครับ เกรดออกมา 1.4 ตามภาพเลยครับ ติด F เคมี T_T ฟิสิกส์กับแคลคูลัสก็เรียนดีทั้ง 2 ตัว เอิ่มทำไรไม่ถูกครับเครียดมากตอนนั้นโทรบอกแม่เลยว่า ไม่อยากเรียนแล้วเรียนไม่ไหวแน่ๆ แม่ก็บอกว่าเรียนๆไปเถอะลูกจบกี่ปีช่างมัน ผมก็เลยเอาว่ะคนอื่นเขาจบได้ไมเราจะเรียนไม่ได้ เทอม 2 ก็เลยลงวิชานอกคณะที่มันง่ายๆเพื่อเอาตัวเองรอดไว้ก่อน แต่ไม่วายดรอป แคลคูลัส 2 อีก = =’ (แคลคูลัสเป็นปัญหาชีวิตผมมากตอนนั้น ลงเรียนทีเครียดที) ผมจำความรู้สึกตอนจะสอบแคลลูลัสได้แม่นเลย ผมนี่ต้องตระเวนขี่มอเตอร์ไซด์ไปหาเพื่อนคนนู้นทีคนนี้ทีเพื่อให้เขาสอนให้ บางคนเขาก็ต้องอ่านวิชาของเขา ไอ้เราก็เกรงใจ๋เกรงใจเอาเท่าที่ได้ละกัน สุดท้ายดรอปจ้า
ความตั้งใจแรก ต้องยกให้วิชานี้เลยครับ Engineering Materials (สำหรับคนไม่รู้นะครับ เป็นวิชาเกี่ยวกับวัสดุที่นำไปใช้ทางด้านวิศวกรรม) เรียนไปอาจารย์ก็เป่าหูไป นี่นะเป็นวิชาที่คนเรียนกันหลายรอบมาก สูงสุด 5 ไม้ ผมก็แบบเอิ่มไม่เอานะ = =’ ผมก็เลยเอาว่ะ คำนวณก็ไม่เก่งงั้นเอาวิชาจำก่อนละกัน ผมอดทนกับมันมาก เอาสีมาไฮไลท์ปฏิทินไว้เลยว่า (ระบุวันที่ต้องอ่านให้กับตัวเอง ฮ่า ) อ่านเสร็จก็พักไปเล่นเกมเหมือนเดิม ผมทำแบบนี้เป็นเวลาเดือนกว่าๆ สุดท้ายคะแนนสอบออกมาเป็นที่น่าพอใจถึงจะไม่ได้สูงสักเท่าไร แต่มันก็เป็นความพายามครั้งแรกที่ได้ทำด้วยตัวเอง และตอนไฟนอลผมก็ทำแบบเดียวกัน จนคะแนนไฟนอลออกผมได้เกือบเต็ม =0= ดีใจมากๆ และก็ได้ A วิชานี้มา
ความตั้งใจครั้งที่ 2 เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้กระบวนการคิดเปลี่ยนไป วิชานี้เลยครับ Statics (เกี่ยวกับการแตกแรง ของวัสดุในขณะหยุดนิ่ง) เป็นวิชาที่ชื่อเสียงเลื่องลือมาก ผมเลยอยากลองกับมันสักตั้งด้วยความตั้งใจที่เต็มเปี่ยม ผมตั้งใจมากเวลาเรียน ก็พยายามจด พยายามฟังให้เยอะที่สุด หลังเลิกเรียนผมก็จะมานั่งอ่านทบทวน อ่านๆๆจนกว่าจะเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจผมก็ใช้สูตรเดิม = =” ขี่มอเตอร์ไซด์ไปหาเพื่อนคนที่เก่งๆที่เรียนคนละภาควิชาให้เขาสอน และก็ขี่กลับมาบ้านมาอ่านต่อ พอเบื่อก็เล่นเกม ผมก็ทำอยู่อย่างนี้จนจบมิดเทอม สุดท้ายคะแนนออกผมก็ได้คะแนนสูงสุดใน section ผมได้มีโอกาสเข้าไปหาอาจารย์ที่ห้อง อาจารย์ท่านสีหน้าไม่ค่อยดีเลย เห็นนิสิตคะแนนน้อยๆ อาจารย์จึงถามผมกับเพื่อนอีกคนว่า “ผมสอนเป็นยังไงบ้างครับ ทำไมคะแนนถึงน้อย ทำไมคุณถึงเข้าใจ” (พูดประมาณนี้นะครับผมจำไม่ค่อยได้แล้ว) ผมเลยตอบอาจารย์ไปว่า อาจารย์สอนดีแล้วครับมีแต่นิสิตเขาไม่สนใจฟังเอง หลังจากนั้นเวลาผมเรียนผมจะสังเกตอาจารย์โดยตลอด อาจารย์เขาจะทุ่มเท่การสอนมาก ไม่เข้าใจถาม ไม่เคยว่า สอนยัน 4 ทุ่มประจำ (ผมลืมบอกผมเรียนภาคค่ำ) เวลาสอนแล้วนิสิตไม่สนใจฟัง อาจารย์ท่านก็จะพูดดีมากๆ ประมาณว่า นะนะฟังหน่อยนะ ใกล้จบแล้ว ผมยิ่งเห็นอาจารย์ตั้งใจสอน ตั้งใจทุ่มเท ผมเลยตั้งใจเรียนเต็มที่ ผลปรากฏว่าตอนสอบผมก็ทำได้แทบทุกข้อ แล้วก็ได้ A วิชานี้มา หลังจบวิชานี้ผมได้อะไรมากมาย ทำให้ผมเห็นมุมมองของอาจารย์ผู้สอน ทำให้ผมกล้าที่จะเขียนตัวเลขต่างๆลงกระดาษมากขึ้นโดยที่ไม่หันไปมองคนอื่น (เป็นไหมเวลาเรียนอะไรเกี่ยวกับตัวเลข หรือสมการเราจะไม่กล้าเขียน ไม่รู้ทำไม สงสัยกลัวผิด เขิน ประมาณนั้น)
เริ่มเห็นจุดเปลี่ยน ประมาณช่วงปี 2 เทอม 2 ผมเริ่มรู้สึกกระบวนการคิดผมมันไวขึ้น มันคงเป็นผลมาจากผมตั้งใจอยู่กับตัวเลขมาระยะหนึ่ง จนมันทำให้ผมเข้าใจสมการต่างๆได้ไวขึ้น ต่างจากแต่ก่อนที่เห็นสมการหรือตัวเลข แล้วร้อง โอ้ย ! หรือบางคนอาจจะคิดว่า ก็ผมบ้าเรียน บ้าอ่านหนังสือไง เลยทำให้เป็นแบบนี้ ผมต้องบอกเลยว่าผมเป็นคนเข้าสังคม ชอบสังสรรค์ ชอบเล่นดอดเอ แต่เวลาอยู่ในห้องผมก็จะตั้งใจเรียน ผมไม่ได้บ้าเรียนแน่นอน ผมเคยเอาเงินไปกินสังสรรค์เดือนเป็นหมื่นก็เคย เล่นเกมทั้งวันทั้งคืนก็เคย นอกเรื่องอีก ฮ่า เข้าเรื่องต่อ ผมก็ไม่รู้จะบอกออกมาเป็นความรู้สึกยังไงนะ ขอเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ เหมือนกับคนที่กำลังศึกษาภาษาอังกฤษมาระยะหนึ่ง มันจะเหมือนกับว่าอยู่มาวันหนึ่งคุณรู้สึกว่าเฮ้ย มันเรื่มฟังออกวะ มันก็ฟังไม่ยากนี่หว่า อารมณ์ประมาณนั้น ผมก็เช่นกัน มักจะพูดกับเพื่อนสนิทเสมอว่า เฮ้ยมันก็ไม่ยากนี่หว่า
แคลคูลัสที่เคยเป็นปัญหาชีวิตใช่ไหม ผมตัดสินใจรีเกรดแคลคูลัส 1 ด้วยคะแนนมิดเทอม 48/50 สะใจมาก ฮ่า จนสอบไฟนอลเสร็จก็ได้ A มาครอบครอง ชีวิตหลังจากการเรียนดีขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของอาจารย์ผู้สอนมากขึ้น เพราะอะไรล่ะ เพราะมีเพื่อนๆหลายคนที่ผมคอยติวให้อยู่เสมอ และบางครั้งเพื่อนมันก็ไม่สนใจที่เราพูด 555+ มันเหนื่อยนะที่ต้องพูดไรซ้ำๆหลายๆรอบ ผมแค่สอนแค่ติวอย่างน้อยก็ วิชาสองวิชา แต่คิดดูสิอาจารย์ท่านต้องสอนกี่วิชาและเวลามีคนไม่ฟังท่านจะเหนื่อยแค่ไหน ผมนี่เข้าใจดีเลยว่าทำไมตอนเรียนอาจารย์ท่านอยากให้เราฟังนักฟังหนาเป็นแบบนี้นี่เอง
ทุกวันนี้ผมไม่ก็ใช่คนเก่งอะไรแต่ผมแค่รู้สึกว่ามันดีกว่าแต่ก่อน ผมจึงอยากจะมาแชร์วิธีที่มันทำให้การเรียนของผมดีขึ้น แค่วิชา 2 วิชานี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การเรียนผมดีขึ้นเรื่อยๆ เวลาเรียนวิชาอื่นๆ ก็ทำให้กระบวนการคิดมันดีกว่าแต่ก่อน
อันนี้ล่าสุดครับรอเกรดออก
ผมขอสรุปไว้ 2 ข้อ สำหรับแนวทางการเรียนที่ดีขึ้น
1.เลือกวิชามา 1 หรือ 2 วิชา แค่นั้นอย่าเกินนี้นะถ้าหัวดีอยู่แล้วก็เพิ่มอีกหน่อยก็ได้ (วิชาอื่นๆ ก็เรียนตามปกติไม่ใช้ทิ้งไปหมดละ = =’)
2.ให้เวลากับวิชาที่เลือกมาเป็นพิเศษ
แค่นั้นแหละครับ มันจะช่วยให้คุณพบอะไรบางอย่างเหมือนที่ผมพบ
จริงแล้วๆยังมีรายละเอียดอีกมากมายที่ผมไม่ได้พูดถึง ขอขอบคุณอาจารย์หลายๆท่านที่ช่วยสั่งสอน สุดท้ายผมขอยกประโยค ประโยคหนึ่งของอาจารย์ท่านหนึ่งที่เคยพูดไว้กับผม เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆคน “ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าคุณฟังมากพอคุณจะเข้าใจ” ขอบคุณครับ
แชร์ประสบการณ์เรียนวิศวะ จากเกรด 1.4 กลายป็น 3.0
ไม่รู้จะเกริ่นนำอะไร = =" เอาเป็นว่าผมจะมาแชร์เรื่องราวที่ทำให้การเรียนผมดีขึ้นให้กับพี่ๆน้อง ที่กำลังศึกษาอยู่ไม่ว่าจะเรียนคณะอะไรนะครับ (ผมกำลังจะจบการศึกษา อีกไม่ถึง 2 เดือนครับ วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต หลักสูตร 4 ปีครับ)
เข้าเรื่องเลยนะครับ ก่อนที่จะมาศึกษาที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ผมจบสายอาชีพซึ่งไม่ได้เรียนพวก ฟิสิกส์ เคมี แคลคูลัส =o= เรียนแต่คณิตพื้นฐาน พื้นฐานคำนวณผมจึงค่อนข้างต่ำ ฮ่า า เรียนสายอาชีพก็เหมือนเรียนมหาวิทยาลัยนั่นแหละครับมาเรียนให้ครบ ส่งงาน ภาคปฏิบัติ ต่างกันตรงที่สายอาชีพเน้นปฏิบัติ มหาวิทยาลัยเน้นคิดวิเคราะห์ คำนวณ หลังจากที่ผมจบสายอาชีพ (ปวช.) ได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ เรียนๆไปก็ไม่ได้คิดไรมาก ยังติดนิสัยเดิมอยู่ เรียนๆเล่นๆเดี๋ยวมันก็คงผ่านไปได้ คืนก่อนสอบ แคลคูลัส 1 ผมยังนั่งตีดอดอยู่เลย ฮ่า (ช่วงนั้นติดเกมด้วย)
พอจบเทอมแรก ตายสิครับ เกรดออกมา 1.4 ตามภาพเลยครับ ติด F เคมี T_T ฟิสิกส์กับแคลคูลัสก็เรียนดีทั้ง 2 ตัว เอิ่มทำไรไม่ถูกครับเครียดมากตอนนั้นโทรบอกแม่เลยว่า ไม่อยากเรียนแล้วเรียนไม่ไหวแน่ๆ แม่ก็บอกว่าเรียนๆไปเถอะลูกจบกี่ปีช่างมัน ผมก็เลยเอาว่ะคนอื่นเขาจบได้ไมเราจะเรียนไม่ได้ เทอม 2 ก็เลยลงวิชานอกคณะที่มันง่ายๆเพื่อเอาตัวเองรอดไว้ก่อน แต่ไม่วายดรอป แคลคูลัส 2 อีก = =’ (แคลคูลัสเป็นปัญหาชีวิตผมมากตอนนั้น ลงเรียนทีเครียดที) ผมจำความรู้สึกตอนจะสอบแคลลูลัสได้แม่นเลย ผมนี่ต้องตระเวนขี่มอเตอร์ไซด์ไปหาเพื่อนคนนู้นทีคนนี้ทีเพื่อให้เขาสอนให้ บางคนเขาก็ต้องอ่านวิชาของเขา ไอ้เราก็เกรงใจ๋เกรงใจเอาเท่าที่ได้ละกัน สุดท้ายดรอปจ้า
ความตั้งใจแรก ต้องยกให้วิชานี้เลยครับ Engineering Materials (สำหรับคนไม่รู้นะครับ เป็นวิชาเกี่ยวกับวัสดุที่นำไปใช้ทางด้านวิศวกรรม) เรียนไปอาจารย์ก็เป่าหูไป นี่นะเป็นวิชาที่คนเรียนกันหลายรอบมาก สูงสุด 5 ไม้ ผมก็แบบเอิ่มไม่เอานะ = =’ ผมก็เลยเอาว่ะ คำนวณก็ไม่เก่งงั้นเอาวิชาจำก่อนละกัน ผมอดทนกับมันมาก เอาสีมาไฮไลท์ปฏิทินไว้เลยว่า (ระบุวันที่ต้องอ่านให้กับตัวเอง ฮ่า ) อ่านเสร็จก็พักไปเล่นเกมเหมือนเดิม ผมทำแบบนี้เป็นเวลาเดือนกว่าๆ สุดท้ายคะแนนสอบออกมาเป็นที่น่าพอใจถึงจะไม่ได้สูงสักเท่าไร แต่มันก็เป็นความพายามครั้งแรกที่ได้ทำด้วยตัวเอง และตอนไฟนอลผมก็ทำแบบเดียวกัน จนคะแนนไฟนอลออกผมได้เกือบเต็ม =0= ดีใจมากๆ และก็ได้ A วิชานี้มา
ความตั้งใจครั้งที่ 2 เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้กระบวนการคิดเปลี่ยนไป วิชานี้เลยครับ Statics (เกี่ยวกับการแตกแรง ของวัสดุในขณะหยุดนิ่ง) เป็นวิชาที่ชื่อเสียงเลื่องลือมาก ผมเลยอยากลองกับมันสักตั้งด้วยความตั้งใจที่เต็มเปี่ยม ผมตั้งใจมากเวลาเรียน ก็พยายามจด พยายามฟังให้เยอะที่สุด หลังเลิกเรียนผมก็จะมานั่งอ่านทบทวน อ่านๆๆจนกว่าจะเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจผมก็ใช้สูตรเดิม = =” ขี่มอเตอร์ไซด์ไปหาเพื่อนคนที่เก่งๆที่เรียนคนละภาควิชาให้เขาสอน และก็ขี่กลับมาบ้านมาอ่านต่อ พอเบื่อก็เล่นเกม ผมก็ทำอยู่อย่างนี้จนจบมิดเทอม สุดท้ายคะแนนออกผมก็ได้คะแนนสูงสุดใน section ผมได้มีโอกาสเข้าไปหาอาจารย์ที่ห้อง อาจารย์ท่านสีหน้าไม่ค่อยดีเลย เห็นนิสิตคะแนนน้อยๆ อาจารย์จึงถามผมกับเพื่อนอีกคนว่า “ผมสอนเป็นยังไงบ้างครับ ทำไมคะแนนถึงน้อย ทำไมคุณถึงเข้าใจ” (พูดประมาณนี้นะครับผมจำไม่ค่อยได้แล้ว) ผมเลยตอบอาจารย์ไปว่า อาจารย์สอนดีแล้วครับมีแต่นิสิตเขาไม่สนใจฟังเอง หลังจากนั้นเวลาผมเรียนผมจะสังเกตอาจารย์โดยตลอด อาจารย์เขาจะทุ่มเท่การสอนมาก ไม่เข้าใจถาม ไม่เคยว่า สอนยัน 4 ทุ่มประจำ (ผมลืมบอกผมเรียนภาคค่ำ) เวลาสอนแล้วนิสิตไม่สนใจฟัง อาจารย์ท่านก็จะพูดดีมากๆ ประมาณว่า นะนะฟังหน่อยนะ ใกล้จบแล้ว ผมยิ่งเห็นอาจารย์ตั้งใจสอน ตั้งใจทุ่มเท ผมเลยตั้งใจเรียนเต็มที่ ผลปรากฏว่าตอนสอบผมก็ทำได้แทบทุกข้อ แล้วก็ได้ A วิชานี้มา หลังจบวิชานี้ผมได้อะไรมากมาย ทำให้ผมเห็นมุมมองของอาจารย์ผู้สอน ทำให้ผมกล้าที่จะเขียนตัวเลขต่างๆลงกระดาษมากขึ้นโดยที่ไม่หันไปมองคนอื่น (เป็นไหมเวลาเรียนอะไรเกี่ยวกับตัวเลข หรือสมการเราจะไม่กล้าเขียน ไม่รู้ทำไม สงสัยกลัวผิด เขิน ประมาณนั้น)
เริ่มเห็นจุดเปลี่ยน ประมาณช่วงปี 2 เทอม 2 ผมเริ่มรู้สึกกระบวนการคิดผมมันไวขึ้น มันคงเป็นผลมาจากผมตั้งใจอยู่กับตัวเลขมาระยะหนึ่ง จนมันทำให้ผมเข้าใจสมการต่างๆได้ไวขึ้น ต่างจากแต่ก่อนที่เห็นสมการหรือตัวเลข แล้วร้อง โอ้ย ! หรือบางคนอาจจะคิดว่า ก็ผมบ้าเรียน บ้าอ่านหนังสือไง เลยทำให้เป็นแบบนี้ ผมต้องบอกเลยว่าผมเป็นคนเข้าสังคม ชอบสังสรรค์ ชอบเล่นดอดเอ แต่เวลาอยู่ในห้องผมก็จะตั้งใจเรียน ผมไม่ได้บ้าเรียนแน่นอน ผมเคยเอาเงินไปกินสังสรรค์เดือนเป็นหมื่นก็เคย เล่นเกมทั้งวันทั้งคืนก็เคย นอกเรื่องอีก ฮ่า เข้าเรื่องต่อ ผมก็ไม่รู้จะบอกออกมาเป็นความรู้สึกยังไงนะ ขอเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ เหมือนกับคนที่กำลังศึกษาภาษาอังกฤษมาระยะหนึ่ง มันจะเหมือนกับว่าอยู่มาวันหนึ่งคุณรู้สึกว่าเฮ้ย มันเรื่มฟังออกวะ มันก็ฟังไม่ยากนี่หว่า อารมณ์ประมาณนั้น ผมก็เช่นกัน มักจะพูดกับเพื่อนสนิทเสมอว่า เฮ้ยมันก็ไม่ยากนี่หว่า
แคลคูลัสที่เคยเป็นปัญหาชีวิตใช่ไหม ผมตัดสินใจรีเกรดแคลคูลัส 1 ด้วยคะแนนมิดเทอม 48/50 สะใจมาก ฮ่า จนสอบไฟนอลเสร็จก็ได้ A มาครอบครอง ชีวิตหลังจากการเรียนดีขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของอาจารย์ผู้สอนมากขึ้น เพราะอะไรล่ะ เพราะมีเพื่อนๆหลายคนที่ผมคอยติวให้อยู่เสมอ และบางครั้งเพื่อนมันก็ไม่สนใจที่เราพูด 555+ มันเหนื่อยนะที่ต้องพูดไรซ้ำๆหลายๆรอบ ผมแค่สอนแค่ติวอย่างน้อยก็ วิชาสองวิชา แต่คิดดูสิอาจารย์ท่านต้องสอนกี่วิชาและเวลามีคนไม่ฟังท่านจะเหนื่อยแค่ไหน ผมนี่เข้าใจดีเลยว่าทำไมตอนเรียนอาจารย์ท่านอยากให้เราฟังนักฟังหนาเป็นแบบนี้นี่เอง
ทุกวันนี้ผมไม่ก็ใช่คนเก่งอะไรแต่ผมแค่รู้สึกว่ามันดีกว่าแต่ก่อน ผมจึงอยากจะมาแชร์วิธีที่มันทำให้การเรียนของผมดีขึ้น แค่วิชา 2 วิชานี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การเรียนผมดีขึ้นเรื่อยๆ เวลาเรียนวิชาอื่นๆ ก็ทำให้กระบวนการคิดมันดีกว่าแต่ก่อน
อันนี้ล่าสุดครับรอเกรดออก
ผมขอสรุปไว้ 2 ข้อ สำหรับแนวทางการเรียนที่ดีขึ้น
1.เลือกวิชามา 1 หรือ 2 วิชา แค่นั้นอย่าเกินนี้นะถ้าหัวดีอยู่แล้วก็เพิ่มอีกหน่อยก็ได้ (วิชาอื่นๆ ก็เรียนตามปกติไม่ใช้ทิ้งไปหมดละ = =’)
2.ให้เวลากับวิชาที่เลือกมาเป็นพิเศษ
แค่นั้นแหละครับ มันจะช่วยให้คุณพบอะไรบางอย่างเหมือนที่ผมพบ
จริงแล้วๆยังมีรายละเอียดอีกมากมายที่ผมไม่ได้พูดถึง ขอขอบคุณอาจารย์หลายๆท่านที่ช่วยสั่งสอน สุดท้ายผมขอยกประโยค ประโยคหนึ่งของอาจารย์ท่านหนึ่งที่เคยพูดไว้กับผม เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆคน “ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าคุณฟังมากพอคุณจะเข้าใจ” ขอบคุณครับ