พอดีได้ไปอ่าน
http://pantip.com/topic/33407140 มา ก็จึงอยากมาเล่าในมุมอีกมุมบ้าง
อย่างไรก็ตาม ต้องขอแสดงความยินดีกับ จขกท นั้นด้วยครับ ในที่สุดก็ได้รับรางวัลของความขยัน ซึ่ง ผมมั่นใจว่าในวัยนั้นของตัวเอง ไม่มีทางทำได้เท่าเขาเลย น่ายกย่องจริงๆครับ เรียนทั้งวัน ทำโจทย์ตลอด เหนื่อยจนร้องไห้ แต่ก็ไม่ท้อ ยังสู้ต่อจนผ่านมาได้ สุดยอดจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เสียดายที่คนขยันแบบนี้ ต้องขาดโอกาสหลายอย่าง ผมเชื่อว่า ในประเทศเรา มีคนเช่นนี้อยู่มากทีเดียว
จะขอเริ่มต้นอธิบายแบบนี้ครับ
ตามความเห็นของผมแล้ว ความรู้นั้น อาจจัดเป็น 3 ประเภทด้วยกัน ไล่จากระดับต่ำ ไปหาระดับสูง
.
.
ระดับ 1
ต่ำที่สุด หาง่ายที่สุด ใช้เวลาจดจำทำความเข้าใจมากที่สุด ได้แก่ Knowledge คือความรู้ตามตำราที่อยู่ในหนังสือ เป็นความรู้เชิงข้อมูล ที่ต้องอาศัยการท่องจำ ไล่เรียงตรรกะของผู้อื่น (ส่วนมากใช้จำเอา หรือไม่ก็เปิดหนังสือเอา) เช่น "ประเภทของสปีชีส์" "โน้ตเปียโน" "ตารางธาตุ" หรือ "ประวัติศาสตร์ชาติไทย(เชิงเนื้อหา)" เป็นต้น
#ความรู้เช่นนี้ เปรียบเหมือนวิธีการเดินให้ถูกวิธี การก้าวขา ทำอย่างไร#
.
.
ระดับ 2
ระดับกลาง ได้มาด้วยการฝึกฝน ใช้เวลานานพอควรในการได้มา นั่นคือ Skill คือทักษะ ที่ได้จากการฝึกฝน ซึ่งพวกนี้ จะหายากหน่อย เพราะถ้าไม่ฝึกเอง ก็จะต้องมีผู้รู้ แนะให้ เช่น รู้ Knowledge ว่าสูตรปลาท่องโก๋ทำยังไง แต่ขาด skill ในการทอดไม่ให้ติดกระทะ และออกมาอร่อยจริงๆ เป็นต้น
#ความรู้เช่นนี้ เปรียบเหมือนวิธีการเดินยังไงไม่ให้ชนหิน ไม่ให้เจ็บส้น และเดินได้เร็วขึ้น#
.
.
ระดับ 3
ระดับสูง ได้มาด้วยการฟัง ไล่เรียงตรรกะ วิเคราะห์ ทำความเข้าใจ ซึ่งใช้เวลาไม่นาน และหาได้ง่าย นั่นคือ Vision ที่มักจะเป็นข้อสรุปของข้อถกเถียงใหญ่ๆในประวัติศาสตร์ ปรัชญา ประสบการณ์ชีวิต หรือองค์ความรู้หลัก เช่น "ข้อคิดชีวิตของสตีฟจ็อบส์ในงานปาถักฐาที่ standford" "ความรู้ในช่อง ted talk ในยูทูบ" "เมื่อคุณย่าเรียกเราไปสอนสั่ง" "พุทธวัจนะ" "ปรัชญาต่างๆ" เป็นต้น
#ความรู้เช่นนี้ เปรียบเหมือนวิธีการมอง ว่าจะเดินไปทางไหน จึงเป็นที่หมายที่เราต้องการ#
.
.
.
คนส่วนใหญ่ มักจะใช้เวลาส่วนมากในชีวิต ไปกับการหาความรู้ระดับแรกสุด (Knowledge) โดยเฉพาะนักเรียน อย่างเจ้าของกระทู้
http://pantip.com/topic/33407140 ที่บรรยายว่าใช้เวลาเกือบทั้งหมดในช่วงนั้น รับ Knowledge (และฝึกฝน skill เยอะอยู่ แต่เยอะเทียบไม่ได้กับเวลาที่เอาไปรับ knowledge)
แต่บางคน เมื่อผ่านช่วงนั้นมา ได้ใช้ชีวิตแบบใหม่ จึงเเริ่มสะสม skill ในการทำงาน และมองเห็น vision มากขึ้น ทั้งจากประสบการตัวเอง และจากสื่อต่างๆ รับสารจากคนต่างๆกันไป บางคนที่ไม่มี vision มาก่อน แต่ดันมาเพิ่งมีเอาตอนทำงานแล้ว หรือเรียนปีสามเข้าไปแล้ว อาจเพิ่งรู้ตัวว่า Skill กับ Knowledge ที่เคยสะสมมา มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เหมือนเดินเป็น เดินเก่ง มาได้ไกลอยู่นะ... แต่ดันเดินผิดทางมาตลอด! เพราะขาด Vision ซึ่งเป็นเครื่องดูว่าตัวเราเองควรไปทางไหน บางทีทางที่เดินมา โลกเขาไม่ใช้แล้ว หรือบางทีทางที่เดินมาได้ไกลๆนั้น เพิ่งมารู้ตัวว่า ไม่ใช่สิ่งที่ชอบเล้ยย เป็นต้น
ก็มีอยู่มาก ที่ไม่สามารถทำใจเปิดรับได้ ยอมไม่มี vision ดีกว่า ดีกว่าต้องรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรอยู่มาตั้งหลายปี มันสูญเปล่าหรือนี่ ไม่หรอก ต้องไม่ใช่แน่ๆ ...บางคนคิดแบบนี้จริงๆ เพราะทำใจไม่ได้
ส่วนบางคน ก็โชคดีครับ ถึงไม่มี vision แต่ก็โชคดีเลือกถูก ส่วนบางคนที่ใจกว้าง รู้ตัวว่ามาผิดทาง จะผิดมามากแค่ไหน ก็ยอมย้อนกลับไปเริ่มใหม่ จึงมีอยู่มาก ที่ลาออกจากงาน หรือกลับไปเรียนในสายใหม่ๆที่ตัวเองเพิ่งรู้ว่าชอบ คนพวกนี้ถือว่าน่านับถือ
ส่วนคนที่น่ายกย่องกว่านั้น คือคนที่โชคดีมองออกว่า "Vision ต่างหาก ที่สำคัญ ไม่ใช่มัวดูวิธีการเดิน หรือเทคนิกการเดิน ฉันต้องรู้ก่อนต่างหาก ว่าอยากจะเดินไปทางไหน ถ้าทางที่อยากไปมีแม่น้ำ ฉันก็จะได้เรียนว่ายน้ำด้วย ถ้าทางที่อยากไปมีภูเขา ฉันก็จะได้เรียนปีนเขา ไม่ใช่เอาแต่เรียนไอ้ที่อยู่ตรงหน้า แล้วคิดว่า หน้าที่ของเราคือเรียนนะ เรียนดีก็คือเราทำดี โดยไม่ได้สนใจเลยว่าชีวิตมีเวลาจำกัด ไม่มีเวลาที่จะมาเสียไปกับสิ่งที่ไม่ใช่เป้าหมายชีวิตหรอกนะ"
คนเรา ควรค้นหาเป้าหมายชีวิต สิ่งที่อยากทำ สิ่งที่ทำเก่ง สิ่งที่ชอบ ทำแล้วมีความสุข ให้เจอเสียก่อน แล้วค่อยทุ่มไปทางนั้น ถ้าหาไม่เจอ ให้หา vision เมื่อมี vision ก้จะหาเจอเองนั่นแหละครับ เพราะ vision (วิสัยทัศน์) ทำให้เรามองกว้าง มองไกล มองได้ทั่วถึง เหมือนได้กางแผนที่ดูน่ะครับ เห็นแผนที่แล้ว ย่อมเลือกทางเดินได้ดีกว่าคนที่มองจากพื้นดินธรรมดาจริงไหม
เชื่อว่าหลายคนที่เคยอ่าน
http://pantip.com/topic/33407140 ชื่นชมในความขยันของ จขกท
http://pantip.com/topic/33407140 มากๆ ผมจึงมาให้ข้อมูลในอีกมุมนะครับ เพราะส่วนตัวคิดว่า จขกท
http://pantip.com/topic/33407140 ใช้ชีวิตในกรอบมากๆ(ซึ่งก็ไม่มีใครบอกได้หรอกว่านั่นดีหรือไม่ ดีของแต่ละคนยังต่างกันเลย) เด็กไทย ถูกบังคับให้เรียน โดยคนที่ไม่ได้มีวิสัยทัศน์อะไร ซึ่งส่วนมากก็จบมาจากระบบการศึกษาห่วยๆ(ความเห็นของผม)เดียวกับที่เรากำลังเรียน
ในวิชาเรียนไม่สอนวิชาที่เป็น vision เลย เช่นปรัชญา วิทยาศาสตร์ขั้นสูง ตรรกะศาสตร์ การคิดเชิงสร้างสรรค์ หรือศิลปะ (แน่นอนวิชาศิลปะน่ะมี แต่ทุกคนก็รู้ว่าส่วนมาก มันคือคาบว่าง มันไม่ได้สำคัญ มันหนีไม่พ้นวาดรูปซะมาก เราไม่ได้ศึกษาศิลปะอย่างแท้จริงกันในโรงเรียนมัธยมหรอกครับ มีน้อยนักแหละ) ฟิสิกส์ก้สอนกันแบบตื้นๆ ทั้งๆที่วิชาทั่งหมดนี้ สำคัญมากๆ
พวกเขาบังคับให้เราเรียนไม่กี่วิชา (นับเอาดิ ตึกวรรณสรมีกี่ชั้น พวกเราได้เรียนไม่ถึงด้วยซ้ำ) แล้วก็บังคับให้เราเลือก "เลือกพร้อมๆกันเดี๋ยวนี้" ใครไม่เลือก อาจถูกกดดัน โดยหลายฝ่ายมาก พ่อแม่ เพื่อน สังคม ภาพลักษณ์นี่แย่เลยด้วย ซิ่วหรอ เอ็นไม่ติดหรอ ขี้เกียจหรอ ไม่สนใจอนาคตหรอ อะไรก็ว่าไป ใครมันจะไปกล้าขัดขืน ต้องก้มหัวเลือกไปนั่นแหละครับ
โลกนี้มีวิชาความรู้ว่าพันกว่าหมื่นอย่าง เราเรียนไปไม่ถึงยี่สิบอย่าง เค้าจะให้เราเลือกเอาซักอันนึงจากไอพวกนั้น แล้วอยู่กับมันไปตลอดชีวิต! สิ่งที่เราชอบอาจจะอยู่อันดับที่สองร้อยสามสิบเอ็ดก็ได้ ไม่เพียงเค้าไม่สอนเราให้มากๆ เค้ายังไม่เหลือเวลาให้เราไปหาความรู้เองเลยด้วย
มิหนำซ้ำ แย่ที่สุดคือ เค้าไม่ให้ Vision แก่เรา ซึ่งมันป็นเครื่องมือสำคัญในการเสาะแสวงหาสิ่งที่เรารัก
สมมุตินะครับคุณเรียนวิชาคณิตศาสตร์อยู่แปดชั่วโมงต่อสัปดาห์ อาจจะได้อะไรบ้าง แล้วลืมหมดในเจ็ดปีข้างหน้า(ถือว่าจำได้นานแล้วนะ) สุดท้ายคุณดันได้คะแนนวิชาภาษาไทยดีกว่า ก็เลยเลือกๆสายนั้นไป เพราะไม่รู้ว่าชอบอะไร คุณไม่ใช้คณิตศาสตร์อีกเลย
แต่คุณฟัง Warren Buffet พูด vision แค่ประโยคเดียว คุณอาจจะรู้เลยก็ได้ว่าตัวเองอยากใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิตเป็นนักลงทุน เพื่อสร้างคุณค่าให้สังคม นี่คือแรงบันดาลใจแห่งชีวิต คุณจะรู้เลยว่าคณิตศาสตร์เป็นหนึ่งในศาสตร์ที่จำเป็น คุณจะไปหามาอ่านก่อนครูสอนซะอีก แล้วที่ฮาคือ คุณจะอ่านไปถึงจุดที่เกินกว่าเนื้อหาออกสอบด้วยซ้ำ ซึ่งคุณอาจไม่ได้แคร์คะแนนสอบอีกแล้วด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็คะแนนในห้องเรียนน่ะ เพราะคุณตระหนักแล้วว่ามันแทบไม่มีผลกับชีวิตนักลงทุนเลยถ้าจะได้คะแนนวิชาสังคม ม.หก น้อยลงไปซัก 15 คะแนน... คิดดูสิว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณไม่ได้ฟัง Vision นั้น ...หลงไปเป็นอาจารย์ภาษาไทยอยู่ครึ่งค่อนชีวิต ไม่มีความสุข แทนที่จะเป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของประเทศ น่าเสียดายตายเลย (ไม่ใช่ครูภาษาไทยไม่ดีนะ แต่คนในตัวอย่างนี้ เขาไม่ได้อยากเป็นเลย เขามาเป็นเพราะแค่คะแนนภาษาไทยตอน ม. ปลาย ดีกว่าคะแนนคณิตศาสตร์ TT เรื่องโง่ๆมั้ยล่ะ) นึกดูสิทุกวันนี้มีเด็กกี่คนที่พยายามทำให้ดีทุกๆวิชาที่เขากำหนดมา แทนที่จะหาความรู้ให้กว้างขึ้น หรือโฟกัสแค่วิชาที่ชอบ มันไม่น่าเสียดายรึที่เด็กพวกนี้ต้องเหน็ดเหนื่อย เสียสุขภาพจิต และเสียโอกาสในชีวิตหลายอย่างไปกับระบบที่ไม่สอนให้เด็กหูตากว้างไกล
เมื่อรู้เช่นนี้ เด็กไทยก็อย่าอะไรกะระบบเลยครับ ใช้เวลาหา Vision ใส่ตัวกันดีกว่า เกรดไม่กี่ตัว คะแนนไม่กี่คะแนน เวลาเรียนไม่กี่คาบ อย่าไปหวงครับ สิ่งมีชีวิตอื่นๆจะวิจารณ์ชีวิตเราอย่างไรก็ช่างเถอะ เราไม่มีเวลาไปสนใจ เพราะถ้าเราไม่ใส่ใจความฝันของตัวเองและยอมให้คนอื่นมาบงการ เราเองจะเป็นคนที่เสียใจที่สุด คนอื่นไม่ได้มาเป็นทุกข์ด้วยนะครับเวลาเราเลือกทางผิด คนส่วนมากในสังคม "ชอบ" ที่จะให้มีคนเหมือนกับตัวเองมากๆ แค่นั้นเอง เพราะพวกเขาจะได้รู้สึกปลอดภัย และสบายใจ เวลาชีวิตเรามันจำกัดมากจริงๆ อย่าไปเสียเวลากับกระแสสังคมเลยครับ
ขยันเรียนรู้สิ่งที่มีค่า และสำคัญเถิดนะครับ ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จครับ ถ้าคุณคิดว่าไปให้ไกล ไปให้เร็ว แค่นั้นก็พอ ก็เรียนๆไปเถอะครับ แต่ถ้าคุณเห็นว่า ไปแล้วต้องถึงที่หมายที่ต้องการ ในเส้นทางที่ต้องการด้วย ก็จงเลือกความรู้ระดับสูงให้มากกว่าแบบอื่นเถอะครับ แล้วมันจะตามมาเองครับ
ปล. ที่ผมใช้คำว่าระดับต่ำ เพราะมันเป็นความรู้ที่เติมเต็มเชิงกายภาพได้ แต่ไม่สามารถเติมเต็มทางจิตวิญญาณได้ครับ เช่นคุณมีความรู้ในการแกะสลักไม้ คุณใช้มันหากินได้นะ ดีกว่ามารู้หลักการใช้ชีวิตของสตีฟจ็อบส์ เอาไปหาตังไม่ได้ ...แต่แน่นอน สตีฟจ็อบส์บอกเราว่าเราควรค้นหาสิ่งที่รักก่อน (ความรู้นี้เอาไปหากินยังไม่ได้ 555) ถ้าคุณซึมซับแนวคิดมา รักที่จะเป็นจิตรกร คุณอาจจะเป็นจิตรกรใส้แห้ง ที่กินข้าวไม่อิ่ม แต่มีความสุขกว่าเป็นช่างไม้ (ที่ไม่ได้อยากเป็นเลย) นี่แหละ คือความรู้ที่เติมเต็มทางจิตวิญญาณได้ จึงเป็นความรู้ระดับสูงครับ
ทั้งชีวิตของเรา "ศึกษา" ความรู้ระดับต่ำ !?! (รึเปล่านะ?)
อย่างไรก็ตาม ต้องขอแสดงความยินดีกับ จขกท นั้นด้วยครับ ในที่สุดก็ได้รับรางวัลของความขยัน ซึ่ง ผมมั่นใจว่าในวัยนั้นของตัวเอง ไม่มีทางทำได้เท่าเขาเลย น่ายกย่องจริงๆครับ เรียนทั้งวัน ทำโจทย์ตลอด เหนื่อยจนร้องไห้ แต่ก็ไม่ท้อ ยังสู้ต่อจนผ่านมาได้ สุดยอดจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เสียดายที่คนขยันแบบนี้ ต้องขาดโอกาสหลายอย่าง ผมเชื่อว่า ในประเทศเรา มีคนเช่นนี้อยู่มากทีเดียว
จะขอเริ่มต้นอธิบายแบบนี้ครับ
ตามความเห็นของผมแล้ว ความรู้นั้น อาจจัดเป็น 3 ประเภทด้วยกัน ไล่จากระดับต่ำ ไปหาระดับสูง
.
.
ระดับ 1
ต่ำที่สุด หาง่ายที่สุด ใช้เวลาจดจำทำความเข้าใจมากที่สุด ได้แก่ Knowledge คือความรู้ตามตำราที่อยู่ในหนังสือ เป็นความรู้เชิงข้อมูล ที่ต้องอาศัยการท่องจำ ไล่เรียงตรรกะของผู้อื่น (ส่วนมากใช้จำเอา หรือไม่ก็เปิดหนังสือเอา) เช่น "ประเภทของสปีชีส์" "โน้ตเปียโน" "ตารางธาตุ" หรือ "ประวัติศาสตร์ชาติไทย(เชิงเนื้อหา)" เป็นต้น
#ความรู้เช่นนี้ เปรียบเหมือนวิธีการเดินให้ถูกวิธี การก้าวขา ทำอย่างไร#
.
.
ระดับ 2
ระดับกลาง ได้มาด้วยการฝึกฝน ใช้เวลานานพอควรในการได้มา นั่นคือ Skill คือทักษะ ที่ได้จากการฝึกฝน ซึ่งพวกนี้ จะหายากหน่อย เพราะถ้าไม่ฝึกเอง ก็จะต้องมีผู้รู้ แนะให้ เช่น รู้ Knowledge ว่าสูตรปลาท่องโก๋ทำยังไง แต่ขาด skill ในการทอดไม่ให้ติดกระทะ และออกมาอร่อยจริงๆ เป็นต้น
#ความรู้เช่นนี้ เปรียบเหมือนวิธีการเดินยังไงไม่ให้ชนหิน ไม่ให้เจ็บส้น และเดินได้เร็วขึ้น#
.
.
ระดับ 3
ระดับสูง ได้มาด้วยการฟัง ไล่เรียงตรรกะ วิเคราะห์ ทำความเข้าใจ ซึ่งใช้เวลาไม่นาน และหาได้ง่าย นั่นคือ Vision ที่มักจะเป็นข้อสรุปของข้อถกเถียงใหญ่ๆในประวัติศาสตร์ ปรัชญา ประสบการณ์ชีวิต หรือองค์ความรู้หลัก เช่น "ข้อคิดชีวิตของสตีฟจ็อบส์ในงานปาถักฐาที่ standford" "ความรู้ในช่อง ted talk ในยูทูบ" "เมื่อคุณย่าเรียกเราไปสอนสั่ง" "พุทธวัจนะ" "ปรัชญาต่างๆ" เป็นต้น
#ความรู้เช่นนี้ เปรียบเหมือนวิธีการมอง ว่าจะเดินไปทางไหน จึงเป็นที่หมายที่เราต้องการ#
.
.
.
คนส่วนใหญ่ มักจะใช้เวลาส่วนมากในชีวิต ไปกับการหาความรู้ระดับแรกสุด (Knowledge) โดยเฉพาะนักเรียน อย่างเจ้าของกระทู้ http://pantip.com/topic/33407140 ที่บรรยายว่าใช้เวลาเกือบทั้งหมดในช่วงนั้น รับ Knowledge (และฝึกฝน skill เยอะอยู่ แต่เยอะเทียบไม่ได้กับเวลาที่เอาไปรับ knowledge)
แต่บางคน เมื่อผ่านช่วงนั้นมา ได้ใช้ชีวิตแบบใหม่ จึงเเริ่มสะสม skill ในการทำงาน และมองเห็น vision มากขึ้น ทั้งจากประสบการตัวเอง และจากสื่อต่างๆ รับสารจากคนต่างๆกันไป บางคนที่ไม่มี vision มาก่อน แต่ดันมาเพิ่งมีเอาตอนทำงานแล้ว หรือเรียนปีสามเข้าไปแล้ว อาจเพิ่งรู้ตัวว่า Skill กับ Knowledge ที่เคยสะสมมา มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เหมือนเดินเป็น เดินเก่ง มาได้ไกลอยู่นะ... แต่ดันเดินผิดทางมาตลอด! เพราะขาด Vision ซึ่งเป็นเครื่องดูว่าตัวเราเองควรไปทางไหน บางทีทางที่เดินมา โลกเขาไม่ใช้แล้ว หรือบางทีทางที่เดินมาได้ไกลๆนั้น เพิ่งมารู้ตัวว่า ไม่ใช่สิ่งที่ชอบเล้ยย เป็นต้น
ก็มีอยู่มาก ที่ไม่สามารถทำใจเปิดรับได้ ยอมไม่มี vision ดีกว่า ดีกว่าต้องรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรอยู่มาตั้งหลายปี มันสูญเปล่าหรือนี่ ไม่หรอก ต้องไม่ใช่แน่ๆ ...บางคนคิดแบบนี้จริงๆ เพราะทำใจไม่ได้
ส่วนบางคน ก็โชคดีครับ ถึงไม่มี vision แต่ก็โชคดีเลือกถูก ส่วนบางคนที่ใจกว้าง รู้ตัวว่ามาผิดทาง จะผิดมามากแค่ไหน ก็ยอมย้อนกลับไปเริ่มใหม่ จึงมีอยู่มาก ที่ลาออกจากงาน หรือกลับไปเรียนในสายใหม่ๆที่ตัวเองเพิ่งรู้ว่าชอบ คนพวกนี้ถือว่าน่านับถือ
ส่วนคนที่น่ายกย่องกว่านั้น คือคนที่โชคดีมองออกว่า "Vision ต่างหาก ที่สำคัญ ไม่ใช่มัวดูวิธีการเดิน หรือเทคนิกการเดิน ฉันต้องรู้ก่อนต่างหาก ว่าอยากจะเดินไปทางไหน ถ้าทางที่อยากไปมีแม่น้ำ ฉันก็จะได้เรียนว่ายน้ำด้วย ถ้าทางที่อยากไปมีภูเขา ฉันก็จะได้เรียนปีนเขา ไม่ใช่เอาแต่เรียนไอ้ที่อยู่ตรงหน้า แล้วคิดว่า หน้าที่ของเราคือเรียนนะ เรียนดีก็คือเราทำดี โดยไม่ได้สนใจเลยว่าชีวิตมีเวลาจำกัด ไม่มีเวลาที่จะมาเสียไปกับสิ่งที่ไม่ใช่เป้าหมายชีวิตหรอกนะ"
คนเรา ควรค้นหาเป้าหมายชีวิต สิ่งที่อยากทำ สิ่งที่ทำเก่ง สิ่งที่ชอบ ทำแล้วมีความสุข ให้เจอเสียก่อน แล้วค่อยทุ่มไปทางนั้น ถ้าหาไม่เจอ ให้หา vision เมื่อมี vision ก้จะหาเจอเองนั่นแหละครับ เพราะ vision (วิสัยทัศน์) ทำให้เรามองกว้าง มองไกล มองได้ทั่วถึง เหมือนได้กางแผนที่ดูน่ะครับ เห็นแผนที่แล้ว ย่อมเลือกทางเดินได้ดีกว่าคนที่มองจากพื้นดินธรรมดาจริงไหม
เชื่อว่าหลายคนที่เคยอ่าน http://pantip.com/topic/33407140 ชื่นชมในความขยันของ จขกท http://pantip.com/topic/33407140 มากๆ ผมจึงมาให้ข้อมูลในอีกมุมนะครับ เพราะส่วนตัวคิดว่า จขกท http://pantip.com/topic/33407140 ใช้ชีวิตในกรอบมากๆ(ซึ่งก็ไม่มีใครบอกได้หรอกว่านั่นดีหรือไม่ ดีของแต่ละคนยังต่างกันเลย) เด็กไทย ถูกบังคับให้เรียน โดยคนที่ไม่ได้มีวิสัยทัศน์อะไร ซึ่งส่วนมากก็จบมาจากระบบการศึกษาห่วยๆ(ความเห็นของผม)เดียวกับที่เรากำลังเรียน
ในวิชาเรียนไม่สอนวิชาที่เป็น vision เลย เช่นปรัชญา วิทยาศาสตร์ขั้นสูง ตรรกะศาสตร์ การคิดเชิงสร้างสรรค์ หรือศิลปะ (แน่นอนวิชาศิลปะน่ะมี แต่ทุกคนก็รู้ว่าส่วนมาก มันคือคาบว่าง มันไม่ได้สำคัญ มันหนีไม่พ้นวาดรูปซะมาก เราไม่ได้ศึกษาศิลปะอย่างแท้จริงกันในโรงเรียนมัธยมหรอกครับ มีน้อยนักแหละ) ฟิสิกส์ก้สอนกันแบบตื้นๆ ทั้งๆที่วิชาทั่งหมดนี้ สำคัญมากๆ
พวกเขาบังคับให้เราเรียนไม่กี่วิชา (นับเอาดิ ตึกวรรณสรมีกี่ชั้น พวกเราได้เรียนไม่ถึงด้วยซ้ำ) แล้วก็บังคับให้เราเลือก "เลือกพร้อมๆกันเดี๋ยวนี้" ใครไม่เลือก อาจถูกกดดัน โดยหลายฝ่ายมาก พ่อแม่ เพื่อน สังคม ภาพลักษณ์นี่แย่เลยด้วย ซิ่วหรอ เอ็นไม่ติดหรอ ขี้เกียจหรอ ไม่สนใจอนาคตหรอ อะไรก็ว่าไป ใครมันจะไปกล้าขัดขืน ต้องก้มหัวเลือกไปนั่นแหละครับ
โลกนี้มีวิชาความรู้ว่าพันกว่าหมื่นอย่าง เราเรียนไปไม่ถึงยี่สิบอย่าง เค้าจะให้เราเลือกเอาซักอันนึงจากไอพวกนั้น แล้วอยู่กับมันไปตลอดชีวิต! สิ่งที่เราชอบอาจจะอยู่อันดับที่สองร้อยสามสิบเอ็ดก็ได้ ไม่เพียงเค้าไม่สอนเราให้มากๆ เค้ายังไม่เหลือเวลาให้เราไปหาความรู้เองเลยด้วย
มิหนำซ้ำ แย่ที่สุดคือ เค้าไม่ให้ Vision แก่เรา ซึ่งมันป็นเครื่องมือสำคัญในการเสาะแสวงหาสิ่งที่เรารัก
สมมุตินะครับคุณเรียนวิชาคณิตศาสตร์อยู่แปดชั่วโมงต่อสัปดาห์ อาจจะได้อะไรบ้าง แล้วลืมหมดในเจ็ดปีข้างหน้า(ถือว่าจำได้นานแล้วนะ) สุดท้ายคุณดันได้คะแนนวิชาภาษาไทยดีกว่า ก็เลยเลือกๆสายนั้นไป เพราะไม่รู้ว่าชอบอะไร คุณไม่ใช้คณิตศาสตร์อีกเลย
แต่คุณฟัง Warren Buffet พูด vision แค่ประโยคเดียว คุณอาจจะรู้เลยก็ได้ว่าตัวเองอยากใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิตเป็นนักลงทุน เพื่อสร้างคุณค่าให้สังคม นี่คือแรงบันดาลใจแห่งชีวิต คุณจะรู้เลยว่าคณิตศาสตร์เป็นหนึ่งในศาสตร์ที่จำเป็น คุณจะไปหามาอ่านก่อนครูสอนซะอีก แล้วที่ฮาคือ คุณจะอ่านไปถึงจุดที่เกินกว่าเนื้อหาออกสอบด้วยซ้ำ ซึ่งคุณอาจไม่ได้แคร์คะแนนสอบอีกแล้วด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็คะแนนในห้องเรียนน่ะ เพราะคุณตระหนักแล้วว่ามันแทบไม่มีผลกับชีวิตนักลงทุนเลยถ้าจะได้คะแนนวิชาสังคม ม.หก น้อยลงไปซัก 15 คะแนน... คิดดูสิว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณไม่ได้ฟัง Vision นั้น ...หลงไปเป็นอาจารย์ภาษาไทยอยู่ครึ่งค่อนชีวิต ไม่มีความสุข แทนที่จะเป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของประเทศ น่าเสียดายตายเลย (ไม่ใช่ครูภาษาไทยไม่ดีนะ แต่คนในตัวอย่างนี้ เขาไม่ได้อยากเป็นเลย เขามาเป็นเพราะแค่คะแนนภาษาไทยตอน ม. ปลาย ดีกว่าคะแนนคณิตศาสตร์ TT เรื่องโง่ๆมั้ยล่ะ) นึกดูสิทุกวันนี้มีเด็กกี่คนที่พยายามทำให้ดีทุกๆวิชาที่เขากำหนดมา แทนที่จะหาความรู้ให้กว้างขึ้น หรือโฟกัสแค่วิชาที่ชอบ มันไม่น่าเสียดายรึที่เด็กพวกนี้ต้องเหน็ดเหนื่อย เสียสุขภาพจิต และเสียโอกาสในชีวิตหลายอย่างไปกับระบบที่ไม่สอนให้เด็กหูตากว้างไกล
เมื่อรู้เช่นนี้ เด็กไทยก็อย่าอะไรกะระบบเลยครับ ใช้เวลาหา Vision ใส่ตัวกันดีกว่า เกรดไม่กี่ตัว คะแนนไม่กี่คะแนน เวลาเรียนไม่กี่คาบ อย่าไปหวงครับ สิ่งมีชีวิตอื่นๆจะวิจารณ์ชีวิตเราอย่างไรก็ช่างเถอะ เราไม่มีเวลาไปสนใจ เพราะถ้าเราไม่ใส่ใจความฝันของตัวเองและยอมให้คนอื่นมาบงการ เราเองจะเป็นคนที่เสียใจที่สุด คนอื่นไม่ได้มาเป็นทุกข์ด้วยนะครับเวลาเราเลือกทางผิด คนส่วนมากในสังคม "ชอบ" ที่จะให้มีคนเหมือนกับตัวเองมากๆ แค่นั้นเอง เพราะพวกเขาจะได้รู้สึกปลอดภัย และสบายใจ เวลาชีวิตเรามันจำกัดมากจริงๆ อย่าไปเสียเวลากับกระแสสังคมเลยครับ
ขยันเรียนรู้สิ่งที่มีค่า และสำคัญเถิดนะครับ ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จครับ ถ้าคุณคิดว่าไปให้ไกล ไปให้เร็ว แค่นั้นก็พอ ก็เรียนๆไปเถอะครับ แต่ถ้าคุณเห็นว่า ไปแล้วต้องถึงที่หมายที่ต้องการ ในเส้นทางที่ต้องการด้วย ก็จงเลือกความรู้ระดับสูงให้มากกว่าแบบอื่นเถอะครับ แล้วมันจะตามมาเองครับ
ปล. ที่ผมใช้คำว่าระดับต่ำ เพราะมันเป็นความรู้ที่เติมเต็มเชิงกายภาพได้ แต่ไม่สามารถเติมเต็มทางจิตวิญญาณได้ครับ เช่นคุณมีความรู้ในการแกะสลักไม้ คุณใช้มันหากินได้นะ ดีกว่ามารู้หลักการใช้ชีวิตของสตีฟจ็อบส์ เอาไปหาตังไม่ได้ ...แต่แน่นอน สตีฟจ็อบส์บอกเราว่าเราควรค้นหาสิ่งที่รักก่อน (ความรู้นี้เอาไปหากินยังไม่ได้ 555) ถ้าคุณซึมซับแนวคิดมา รักที่จะเป็นจิตรกร คุณอาจจะเป็นจิตรกรใส้แห้ง ที่กินข้าวไม่อิ่ม แต่มีความสุขกว่าเป็นช่างไม้ (ที่ไม่ได้อยากเป็นเลย) นี่แหละ คือความรู้ที่เติมเต็มทางจิตวิญญาณได้ จึงเป็นความรู้ระดับสูงครับ